ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 866
“หืม วิชาขี่กระบี่!”
ดวงตาของหลิ่วหมิงหรี่ลงอย่างประหลาดใจ เขาคิดไม่ถึงว่าผู้เฒ่าผมขาวผู้นี้จะเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่คนหนึ่ง ท่าทางค่อนข้างชำนาญวิชาขี่กระบี่ทีเดียว
แต่พลังสายตาของเขาระดับใด ชั่วพริบตาที่ผู้เฒ่าลงมือก็มองออกแล้วว่ากระบี่บินเล่มนี้เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดเล่มหนึ่งเท่านั้น ไม่ใช่กระบี่บินพลังจิตวิญญาณอันใด
รุ้งกระบี่สีเหลืองส่องแสงวูบหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหน้าหลิ่วหมิงแล้วฟันลงมาอย่างรุนแรงส่งเสียงดังหวีดหวิว
ในเวลาเดียวกันสามคนที่เหลือก็ลงมือพร้อมกันอย่างเข้าขายิ่งนัก บุรุษผอมสูงอ้าปากพ่นอาวุธประหลาดเล่มหนึ่งออกมา ลักษณะเป็นครึ่งดาบครึ่งกระบี่ หน้าตาค่อนข้างแปลกประหลาด
บุรุษร่างกำยำตวาดเสียงดัง แสงสีดำในมือส่องสว่าง กระบองสีดำสูงกว่าคนแท่งหนึ่งโผล่ออกมา อาวุธจิตวิญญาณมหึมาเช่นนี้พบเห็นได้น้อยนักจริงๆ แต่ค่อนข้างเหมาะกับร่างกายกำยำของเขาทีเดียว
สตรีสาวอายุน้อยสะบัดมือทีหนึ่งก็ปล่อยลิ่มสีขาวสั้นๆ แท่งหนึ่งออกมา เมื่อมันโต้ลมก็ขยายใหญ่ขึ้นเป็นขนาดสิบกว่าจั้ง
ทั้งสามคนท่องมนตร์แล้วกระตุ้นเคล็ดวิชาพร้อมกัน อาวุธจิตวิญญาณของแต่ละคนกำลังจะพุ่งเข้าใส่ซาฉู่เอ๋อร์ด้านนั้น
หลิ่วหมิงแค่นเสียงหยันขณะที่สองมือกำแน่นเป็นหมัด ปราณดำเข้มข้นทะลักออกมาจากในร่าง เคลื่อนพันบนสองแขนแล้วสั่นอย่างรุนแรง เสียงมังกรคำรามแผ่วต่ำดังออกมา
เสียง “ฟู่” ดังขึ้น!
กระแสลมแรงสายหนึ่งส่งเสียงดังฟู่แผ่ขยายออกไปรอบด้านอย่างรุนแรงโดยมีเขาเป็นศูนย์กลาง หมัดที่มีหัวมังกรสีดำสนิทหุ้มอยู่สองข้างต่อยเข้าใส่คมของกระบี่บินที่พุ่งประจันเข้ามา
เสียงดังสนั่น!
รุ้งกระบี่สีเหลืองฉับพลันสั่นไหว รุ้งกระบี่แตกสลายทีละชุ่นๆ ตัวกระบี่บินก็ถูกพลังมหาศาลสายหนึ่งดีดปลิวออกไป มันกลิ้งหลุนๆ กลางอากาศปลิวออกไปสิบกว่าจั้งถึงหยุดได้อย่างหวุดหวิด
ผิวของกระบี่บินส่องแสงสีเหลืองวูบวาบไม่หยุดแล้วยังส่งเสียงครวญครางแผ่วเบาออกมาด้วย ราวกับว่าถูกหลิ่วหมิงโจมตีครั้งเดียวก็เสียหายไม่น้อย
ผู้เฒ่าผมขาวหน้าซีด กระบี่บินสีเหลืองเล่มนี้เป็นกระบี่บินประจำกายของเขา มันเชื่อมต่อกับจิตใจ ดังนั้นพลังเวทในร่างเขาจึงปั่นป่วนขึ้นมาวูบหนึ่งอย่างห้ามไม่ได้
แม้เขาเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ แต่แก่นแท้ที่เขาผนึกได้เป็นเพียงแก่นแท้ระดับล่างสามทวาร ในหมู่ผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้นับเป็นพวกที่พลังต่ำสุด เขาจึงไม่อาจฝืนรับการโจมตีอันแข็งแกร่งของหลิ่วหมิงที่เข้าสู่ระดับแก่นเสมือนแล้วได้สักนิด
หลิ่วหมิงโจมตีหนึ่งหมัดได้ผล ร่างกายก็ขยับพาเงาเลือนรางสายหนึ่งไปปรากฏตัวเบื้องหน้าซาฉู่เอ๋อร์ เขาตวาดเบาๆ แล้วโจมตีออกมาอีกสองหมัด
สองหมัดของเขาปราณดำพลุ่งพล่าน เกิดวังวนสีดำสนิทขึ้นท่ามกลางกระแสปราณรอบหมัด กระแสปราณแข็งแกร่งหวดบนต้นไม้รอบด้านดั่งแส้ กิ่งไม้สะบัดไหวไม่หยุดจนกิ่งไม้เรียวเล็กจำนวนหนึ่งพากันหักร่วง
อาวุธจิตวิญญาณของพวกชายฉกรรจ์ร่างยักษ์กำยำทั้งสามคนเพิ่งกลายเป็นแสงเรืองรองหลากสีสันซัดมาก็ปะทะกับกระแสปราณจากหมัดของหลิ่วหมิงทันที
เปรี้ยง!
วังวนสีดำสนิทฉับพลันหอบอาวุธจิตวิญญาณทั้งสามชิ้นเข้าไป หลังจากปราณดำพลุ่งพล่านรวมตัวกันอีกครั้งก็กลายเป็นดวงตะวันเจิดจ้าสีดำดวงหนึ่งลอยออกมา
ครู่ต่อมาพลังมหาศาลประหนึ่งขุนเขาครวญมหาสมุทรคำรามก็โถมออกมาจากด้านใน
กระบอง กระบี่ยาวรูปร่างประหลาดและลิ่มสั้นสีขาวต่างถูกกระแสปราณสีดำสนิทของหมัดกระแทกปลิวไปพร้อมกัน แสงรัศมีด้านบนหม่นแสงลง เห็นชัดว่าพลังจิตวิญญาณเสียหายเช่นกัน
ร่างกายของทั้งสามคนสะท้านอย่างรุนแรง พวกเขาถอยดังตึงๆ ติดต่อกันหลายก้าว ทุกคนส่งเสียงดังอ๊อกแล้วอ้าปากพ่นเลือดออกมา
หลังพวกเขาตั้งหลักได้อย่างยากลำบาก ใบหน้าก็เต็มไปด้วยความตกตะลึงมองมาทางหลิ่วหมิง ชั่วขณะหนึ่งไม่กล้าลงมือง่ายๆ อีก
หลิ่วหมิงเพียงยกมือยกเท้าก็โจมตีอาวุธจิตวิญญาณของทั้งสี่คนจนปลิวในครั้งเดียว
เวลานี้ซาฉู่เอ๋อร์เพิ่งยกมีดแวววาวในมือขึ้นขวางหน้าร่าง ส่วนมืออีกข้างหนึ่งเรียกอาวุธจิตวิญญาณรูปนาฬิกาทรายชิ้นหนึ่งออกมาแปลงเป็นกำแพงทรายสีดำผืนหนึ่งเบื้องหน้า
สตรีผู้นี้เห็นภาพตรงหน้าก็ตกใจมากเช่นเดียวกัน
เทียบกับตอนอยู่ในทะเลทรายกุ่ยโม่ เห็นชัดว่าหลิ่วหมิงแข็งแกร่งขึ้นมากเหลือเกิน
“พี่หลิ่ว ท่าน…”
“ระวัง”
ขณะที่ซาฉู่เอ๋อร์อ้าปากอยากพูดอะไรบางอย่าง หลิ่วหมิงก็เปลี่ยนสีหน้าไปทันที เขายื่นมือออกมาคว้าแขนซาฉู่เอ๋อร์ดั่งสายฟ้าแลบ ปราณดำก้อนหนึ่งหุ้มทั้งสองคนไว้แล้วพุ่งถอยออกไป
เพียงครู่เดียวมือใหญ่ที่ส่องแสงสีม่วงข้างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่าด้านบน คว้ามายังจุดที่ซาฉู่เอ๋อร์ยืนอยู่เมื่อครู่
เสียงเปรี้ยงดังขึ้นทีหนึ่ง ฝุ่นหินดินทรายปลิวฟุ้ง บนพื้นปรากฏรอยประทับฝ่ามือยักษ์ขนาดสิบกว่าจั้งรอยหนึ่งทันที
“ท่านเป็นถึงผู้อาวุโสระดับดาราพยากรณ์ ลงมือกับผู้เยาว์ระดับผลึกเช่นนี้อย่างพวกเรา ไม่รู้สึกว่าลดตัวบ้างหรือ?” หลิ่วหมิงพาซาฉู่เอ๋อร์เหาะวนรอบหนึ่งแล้วร่อนลงห่างไปสิบกว่าจั้ง สายตาจ้องบางจุดกลางอากาศดั่งสายฟ้าแลบ เขาเอ่ยออกมาขณะที่ใบหน้าเผยสีหน้าระวังออกมาเป็นครั้งแรก
“ระดับดาราพยากรณ์”
ซาฉู่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านข้างมองหลิ่วหมิงอย่างซาบซึ้งยิ่งนัก เมื่อครู่หากเขาไม่ลงมือ นางก็คงตกอยู่ในมือยักษ์ที่ส่องแสงสีม่วงไปแล้ว แต่หลังจากได้ยินคำพูดของหลิ่วหมิงชัด ใบหน้างามก็ถอดสีทันที
“เอ๋? ถึงกับมองจุดที่ข้าซ่อนตัวอยู่ออก พลังจิตไม่ธรรมดาจริงๆ” อากาศตรงที่หลิ่วหมิงจ้องอยู่ฉับพลันมีแสงสีม่วงไหวกระเพื่อม จากนั้นร่างของบุรุษวัยกลางคนผู้หนึ่งก็ปรากฏขึ้นจากความว่างเปล่า เขาลอยลงมาอย่างช้าๆ
คนผู้นี้ดูอายุไม่มาก หน้าตาธรรมดา แต่มีเส้นผมยาวจรดเอวสีดำมันขลับสยายอยู่หลังร่าง เขาปรากฏตัวปุบ แรงกดดันจิตวิญญาณมหาศาลของระดับดาราพยากรณ์ก็โถมเข้ามายังจุดที่หลิ่วหมิงอยู่อย่างไม่ปิดบังสักนิด
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าปราณดำรอบร่างไหลเคลื่อนขณะที่แรงมหาศาลสายหนึ่งโถมทับมาจากเบื้องหน้า เขาแค่นเสียงเบาๆ ทันที ร่างกายโอนเอนครั้งสองครั้งถึงตั้งหลักใหม่ได้
ส่วนซาฉู่เอ๋อร์ที่อยู่ด้านหลัง กำแพงทรายสีดำเบื้องหน้านางระเบิดกระจายในพริบตา เรือนร่างบอบบางถอยไปด้านหลังไกลเจ็ดแปดก้าว แสงสีขาวชั้นหนึ่งสว่างขึ้นรอบร่างถึงตั้งร่างมั่นคงได้
ขนาดได้หลิ่วหมิงบังอยู่ด้านหน้า ยังขวางได้เพียงครึ่งเท่านั้น
ซาฉู่เอ๋อร์มองบุรุษผมยาวอย่างตกตะลึง ใบหน้างามไร้สีเลือด
ครอบครัวของโอวหยางขุยในจวนที่อยู่ไม่ไกลยิ่งทนไม่ไหว คนทั้งหมดส่วนใหญ่ตาเหลือกลอย หมดสติไปทันที
“ผู้อาวุโสเจี้ยนหยวน!”
พวกผู้เฒ่าผมขาวสี่คนเห็นเช่นนี้ก็รีบร้อนคำนับบุรุษผู้สยายผมอย่างนอบน้อมและดีใจยิ่ง
บุรุษผู้สยายผมโบกมือ ทั้งสี่คนพลันถอยออกไปด้านข้างแล้วนิ่งเงียบไม่เอ่ยวาจา
“เจ้าก็คือหลิ่วหมิงแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์สินะ ข้าได้ยินว่าไม่นานมานี้เจ้าเพิ่งยืมใช้กำแพงหลิงหลงงามพิสุทธิ์อันเป็นสมบัติล้ำค่าของตระกูลโอวหยางเราจนทะลวงเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนได้ ตอนนี้จะสะบั้นสัมพันธ์เป็นอริกับตระกูลโอวหยางของเราแล้วหรือ?” บุรุษผู้สยายผมเอ่ยปากขึ้นเรียบๆ
“ไม่กล้า ผู้เยาว์ระลึกถึงบุญคุณของตระกูลโอวหยางอยู่ตลอด แต่ข้ากับแม่นางซาผู้นี้รู้จักกันมานานแล้ว พวกเรามีสัญญาต่อกันมาก่อน ข้าจึงไม่อาจนิ่งดูดายให้นางถูกผู้อื่นจับตัวไปได้” หลิ่วหมิงครุ่นคิดเร็วรี่แล้วค้อมกายเล็กน้อยตอบกลับไปอย่างนอบน้อมยิ่งนัก
แม้หลังเข้าสู่ระดับแก่นเสมือน พลังของเขาจะก้าวหน้าขึ้นมาก แต่เผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับดาราพยากรณ์เช่นนี้ เขาก็ยังไม่มั่นใจเท่าไรนักว่าจะพาซาฉู่เอ๋อร์หนีรอดไปได้
แต่ยังดีที่เขามีฐานะเป็นศิษย์ของนิกายยอดบริสุทธิ์จึงไม่กลัวว่าอีกฝ่ายจะลงมือโหดเหี้ยมกับเขาจริงๆ ในใจเขาจึงไม่ตระหนกนัก
บุรุษผู้สยายผมฟังแล้วหัวเราะหยัน เขามองสำรวจหลิ่วหมิงตั้งแต่หัวจรดเท้าแล้วเอ่ยเสียงเข้มว่า
“แม้พลังของเจ้าจะไม่เลว แต่พลังเพียงระดับแก่นเสมือนเท่านั้น เจ้าคิดว่าอาศัยความสามารถเท่านี้จะขวางข้าได้จริงหรือ?”
“ผู้เยาว์ย่อมรู้ว่าตนไม่ใช่คู่ต่อสู้ของผู้อาวุโสแน่นอน แต่ข้าก็ไม่อาจนิ่งดูดายมองดูแม่นางซาถูกผู้อาวุโสพาตัวไปได้ หากเจรจากันไม่ได้ก็ได้แต่ขอให้ผู้อาวุโสชี้แนะสักหน่อยแล้ว” หลิ่วหมิงหัวเราะฝืดเฝื่อนเอ่ยขึ้น
“ฮ่าๆ น่าสนใจ! นับตั้งแต่ข้าโอวหยางเจี้ยนหยวนเข้าสู่ระดับดาราพยากรณ์เพิ่งเคยพบคนที่กล้าขอคำชี้แนะจากข้าทั้งที่พลังต่ำต้อยเช่นนี้เป็นครั้งแรก หากข้าลงมือกับเจ้าจริงๆ เกรงว่าตาเฒ่าเทียนเกอคนนั้นคงเอามาเป็นข้ออ้างเรียกเงินก้อนโตจากตระกูลโอวหยางแน่ เอาเช่นนี้เถิด ข้าไม่รังแกคนรุ่นหลังอย่างพวกเจ้าสองคน ขอเพียงพวกเจ้าสองคนทนรับหนึ่งฝ่ามือของข้าได้ ข้าจะหันหลังกลับจากไปทันที หากไม่เช่นนั้นสาวน้อยคนนี้ต้องตามข้ากลับไปตระกูลโอวหยางแต่โดยดี” โอวหยางเจี้ยนหยวนหัวเราะลั่นแล้วเอ่ยออกมาเช่นนี้
“เรื่องนี้…” หลิ่วหมิงลังเลอยู่บ้าง
“ได้ เอาตามที่ผู้อาวุโสว่า หากพวกเราสองคนไม่อาจทนรับหนึ่งฝ่ามือของผู้อาวุโสได้ ฉู่เอ๋อร์จะกลับไปกับผู้อาวุโส” ซาฉู่เอ๋อร์ได้ยิน ดวงตาสองข้างพลันเป็นประกายแล้วตอบรับในทันที
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว เขากำลังคิดจะเอ่ยอันใดกับซาฉู่เอ๋อร์ บุรุษผมยาวฝั่งตรงข้ามกลับหัวเราะหยัน ไม่เห็นเขาเคลื่อนไหวอย่างใดแต่บนร่างพลันมีแสงสีม่วงส่องสว่างจ้า แรงกดดันจิตวิญญาณมหาศาลแผ่ออกมาพร้อมกับที่เงาของยักษ์ตนหนึ่งลอยออกมาจากแผ่นหลังของเขาช้าๆ
รอบร่างของเงายักษ์มีไอมงคลสีม่วงพวยพุ่ง เห็นอยู่เลือนรางว่าบนชุดยาวตัวใหญ่ที่มันสวมอยู่ปักภาพมังกรเทพ แม้ใบหน้าของมันจะพร่ามัวไม่ชัด แต่ก็มองเห็นว่าบนศีรษะของเงายักษ์สวมหมวกจักรพรรดิ ทั่วร่างเต็มไปด้วยปราณอันน่าเกรงขามหาใดเทียบ
“นี่คือร่างพลังเวทของตระกูลโอวหยาง จักรพรรดิเซียนเทียน!” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ม่านตาก็หดเล็กลง
นิกายยอดบริสุทธิ์มีวิชานานาชนิดสืบทอดกันมามากมายนัก แม้อยู่บนยอดเขาสายในลูกหนึ่ง วิชาที่ศิษย์บนนั้นฝึกฝนก็ไม่เหมือนกัน
แต่ตระกูลโอวหยางไม่ได้เป็นเช่นนั้น คนแทบทั้งตระกูลโอวหยางต่างฝึกฝนวิชาเดียวกัน นั่นก็คือวิชาจักรพรรดิเซียนเทียน
บันทึกในตำราซึ่งหลิ่วหมิงเคยอ่านพบที่นิกายยอดบริสุทธิ์กล่าวไว้ว่าบรรพบุรุษตระกูลโอวหยางเคยเป็นราชวงศ์ของแคว้นใหญ่แห่งหนึ่ง จักรพรรดิผู้มีพรสวรรค์เหนือธรรมดาผู้หนึ่งเป็นผู้สร้างวิชานี้ขึ้นมาด้วยตัวเอง
เมื่อมีผู้ฝึกฝนวิชานี้จนเข้าสู่ระดับดาราพยากรณ์ ร่างพลังเวทแห่งฟ้าดินที่เขาเสกออกมาก็คือเงาของจักรพรรดิองค์นั้นในสมัยนั้นซึ่งมีพลังไร้ขอบเขต
หลิ่วหมิงไม่กล้าชักช้า เขาสูดหายใจลึกเฮือกหนึ่งกำลังจะลงมือ แต่ทันใดนั้นซาฉู่เอ๋อร์ด้านหลังกลับก้าวขึ้นมาข้างหน้า ฝ่ามืองามยกขึ้นจากนั้นลูกบอลกลมสีทองลูกหนึ่งก็บินออกมาจากในแขนเสื้อ
เสียงแกรกดังออกมา!
ลูกบอลกลมสีทองพร่าเลือนวูบหนึ่งก็พุ่งโต้ลมกลายเป็นหุ่นมนุษย์สูงหนึ่งจั้งกว่าตัวหนึ่ง ผิวสีทองของมันมียันต์ประหลาดมากมายแผ่อยู่เต็ม พวกมันส่องแสงวิบวับใต้แสงตะวันไม่หยุด คล้ายกับว่าทั้งร่างเปี่ยมไปด้วยพลังอันไร้ที่สิ้นสุด
หลิ่วหมิงสูดลมหายใจเย็นเฮือกหนึ่ง!
หุ่นสีทองตัวนี้ช่างดูคุ้นตา นี่ไม่ใช่หุ่นองครักษ์ตัวนั้นที่อยู่ข้างกายชิงหลิงขุยตี้แห่งหนานฮวงหรือ!
ซาฉู่เอ๋อร์สะบัดมือข้างหนึ่งอีกครั้ง เคล็ดวิชาสีทองสายหนึ่งร่วงลงบนตัวหุ่น ยันต์บนผิวของหุ่นมนุษย์ฉับพลันส่องแสง เสียงกึกๆ ดังขึ้น ในแขนสองข้างพลันมีแสงสีทองไหลเคลื่อน ขวานเล่มใหญ่สีทองสองเล่มโผล่ออกมา คมขวานสะท้อนแสงเป็นประกายเย็นเยียบ
“นี่เหมือนจะเป็นหุ่นที่สืบทอดกันมาอย่างลับๆ ของนิกายเทียนกง เจ้าได้มันมาจากที่ใด? แต่สาวน้อย หากเจ้าคิดว่าอาศัยเพียงหุ่นตัวเล็กๆ ตัวเดียวจะขวางหนึ่งการโจมตีของข้าได้ ถ้าเช่นนั้นก็ผิดมหันต์แล้ว” สายตาของบุรุษผู้สยายผมจับจ้องอยู่บนหุ่นมนุษย์สีทอง บนหน้าเขาปรากฏสีหน้าประหลาดใจเล็กน้อย แต่จากนั้นก็แค่นเสียงหยันเอ่ยขึ้นทันที
เพิ่งเอ่ยจบ เงายักษ์เบื้องหลังบุรุษผู้สยายผมก็เปล่งแสงสีม่วง ฝ่ามือยักษ์สีม่วงข้างหนึ่งยืดออกมา ห้านิ้วกางออกขณะที่ปลายนิ้วระเบิดแสงสีม่วงนับหมื่นสายออกมา คว้าลงมาหาพวกหลิ่วหมิงราวกับจะปิดท้องนภา