ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 883
ค่ายกลแสงสีทองส่องสว่างกะพริบแปรเปลี่ยนไม่หยุดแลดูงดงามอย่างที่สุด พื้นดินเบื้องล่างมีแสงสีทองชั้นหนึ่งปกคลุมอยู่ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไร ท้องฟ้าเหนือศีรษะก็เช่นเดียวกัน ราวกับว่าตัวเขาถูกขังอยู่ในกรงแสงสีทองขนาดยักษ์
หลิ่วหมิงที่อยู่ในค่ายกลตั้งท่าเคล็ดวิชาด้วยมือข้างหนึ่งแล้วกระตุ้นพลังจึงตั้งร่างมั่นคงได้ ทั้งร่างเขาหุ้มอยู่ในปราณดำจนรูปร่างขมุกขมัว แต่เมื่อมองผ่านปราณดำเข้าไปจะเห็นชัดว่าบนใบหน้าเขาคือใบหน้าเรียบเฉย
เวลานี้เองกำแพงแสงสีดำตรงปากทางเข้าหุบเขาพลันกะพริบเล็กน้อย ธงคำสั่งสีดำผืนหนึ่งลอยออกมา เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นหนึ่งครั้ง ทันใดนั้นแขนซีดเผือดข้างหนึ่งก็ยื่นออกมาจากในความมืดโดยที่ถือธงคำสั่งสีดำไว้ในมือ
“เจ้าคือผู้ใด? เหตุใดจึงลอบเล่นงานข้าเช่นนี้?” เสียงแข็งกระด้างเล็กน้อยของหลิ่วหมิงดังออกมาจากในค่ายกลสีทอง
“เหอะ…” เสียงแค่นหัวเราะดังออกมาจากในความมืด เงาคนสีขาวร่างหนึ่งลอยออกมาอย่างเชื่องช้า นั่นเป็นร่างของบุรุษผอมสูงผู้มีเครื่องหน้าธรรมดา ใบหน้าขาวไร้หนวดเครา ดูแล้วอายูราวสามสิบต้นๆ ผู้หนึ่ง
บุรุษชุดขาวมองหลิ่วหมิงที่อยู่ในค่ายกลด้วยสีหน้าเหมือนหยอกเย้าแต่ไม่เอ่ยวาจา
ทันใดนั้นด้านในค่ายกลสีทองก็มีเสียงกระแทกหนักๆ ดังขึ้นหลายครั้ง ค่ายกลส่องแสงกะพริบวูบวาบ
“อย่าเปลืองแรงเสียเปล่าเลย นี่คือค่ายกลเขาพระสุเมรุโปรดสัตว์แห่งสายพุทธ พลังป้องกันแข็งแกร่งกว่าค่ายกลนักรบพระโพธิสัตว์เขาพระสุเมรุสิบเท่า พลังต่ำกว่าระดับดาราพยากรณ์ไม่อาจทำลายมันได้!” ทันใดนั้นอีกเสียงหนึ่งก็ดังขึ้นกลางอากาศ
หลังจากนั้นแสงสีแดงก็กะพริบวูบหนึ่ง ลำแสงสายหนึ่งหยุดอยู่ข้างกายบุรุษชุดขาวที่ปากทางเข้าหุบเขาแล้วเผยร่างของจั่วกงเฉวียนออกมา
บุรุษชุดขาวกับจั่วกงเฉวียนสบตากันครั้งหนึ่งก็หัวเราะดังลั่น
“สหายจั่ว นี่เจ้าหมายความว่าอย่างไร ถึงกับร่วมมือกับผู้อื่นเล่นงานข้า เจ้าคิดจะจุดเพลิงโทสะให้นิกายมารเงาสวรรค์ของข้าหรือ?” เสียงที่แข็งกระด้างเล็กน้อยของหลิ่วหมิงดังออกมาจากในค่ายกลอีกครั้ง
“นิกายมารเงาสวรรค์? ฮ่าๆ เวลานี้ท่านยังจะเสแสร้งอีกหรือ? หลิ่วหมิงแห่งนิกายยอดบริสุทธิ์ สหายหลิ่ว!” จั่วกงเฉวียนหัวเราะอย่างเย็นชาแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงเสียดสี
“เจ้า…” เสียงของหลิ่วหมิงเหมือนตกตะลึงอยู่บ้าง
“ช่วงนี้ชื่อเสียงของท่านดังกระฉ่อน ในเมื่อกำลังมุ่งล่าผู้ฝึกฝนชั่วร้ายอย่างพวกเรา ครั้งนี้พยายามเข้าใกล้สหายจั่วคิดว่าคงต้องการหัวของข้าผู้นี้กระมัง?” บุรุษชุดขาวเอ่ยนิ่งๆ
“…เจ้าก็คือปีศาจพันมายางั้นหรือ? จั่วกงเฉวียนรวมหัวกับเจ้าตั้งแต่แรก! น่าขำ ข้ายังคิดจะใช้เขาตามหาร่องรอยของเจ้า ตั๊กแตนจับจักจั่น นกขมิ้นตลบหลังแท้ๆ” เสียงของหลิ่วหมิงฟังดูเกรี้ยวกราดอย่างยิ่ง
“สหายหลิ่วก็รู้ว่าข้ากับสหายฟั่นตั้งกลุ่มล่าอสูรด้วยกันมาก่อน ย่อมมีมิตรไมตรีระหว่างกันไม่เลว หลายปีนี้มีผู้ฝึกฝนฝ่ายธรรมะไม่น้อยเดินทางมายังตลาดถงหยางเพื่อไล่ล่าสหายฟั่น คนเหล่านี้ทำให้ข้าได้ทรัพย์ก้อนโตทีเดียว” จั่วกงเฉวียนหัวเราะหึๆ
ปีศาจพันมายาฟังแล้วบนหน้าก็ปรากฎรอยยิ้มเย็นชา แววตาที่เขามองหลิ่วหมิงประหนึ่งกำลังมองดูคนตาย
“จั่วกงเฉวียน วันนี้เจ้ารู้แล้วว่าข้าคือศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ เจ้ายอมล่วงเกินนิกายเราเพียงเพื่อผู้ฝึกฝนอิสระฝ่ายอธรรมคนเดียวจริงหรือ หากข่าวเรื่องนี้แพร่ออกไป ผลลัพธ์จะเป็นอย่างไร ในใจเจ้าคงรู้ชัด!” เสียงของหลิ่วหมิงเย็นชาขึ้น
จั่วกงเฉวียนได้ฟัง สีหน้าก็ชะงักไปเล็กน้อย สีหน้าของปีศาจพันมายาก็เปลี่ยนไปเล็กน้อยด้วยเช่นกัน สายตาเคลื่อนมาจับบนร่างจั่วกงเฉวียนแล้วหัวเราะเบาๆ เอ่ยขึ้นว่า
“พี่จั่ว อย่าไปฟังวาจายุแยงของคนผู้นี้ ขอเพียงกำจัดเขาเสียที่นี่ เรื่องนี้นอกจากเจ้ากับข้ายังจะมีผู้ใดรู้อีก? นอกจากนี้พี่จั่วอย่าได้ลืมเรื่องที่เคยทำก่อนหน้านี้”
“พี่ฟั่นพูดถูกต้อง ถึงตอนนี้แล้วจะปล่อยเจ้าหนูคนนี้ไปไม่ได้เด็ดขาด” จั่วกงเฉวียนกัดฟันแล้วเผยสีหน้าโหดเหี้ยมออกมาอีกหน
“ดียิ่ง ถ้าเช่นนั้นก็ลงมือเถิด กำจัดเจ้าหนูคนนี้เสีย เอาสมบัติที่ตัวเขามาแบ่งกัน อย่าปล่อยเวลาเนิ่นนานจนเกิดเรื่องไม่คาดฝัน!” ปีศาจพันมายาสีหน้าผ่อนคลายลงแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ
จั่วกงเฉวียนพยักหน้าแล้วพลิกมือข้างหนึ่ง ในมือมีธงค่ายกลสีทองผืนหนึ่งเพิ่มขึ้นมา จากนั้นปีศาจพันมายาก็หยิบธงค่ายกลที่เหมือนกันทุกประการอีกผืนหนึ่งออกมาด้วย ร่างกายของทั้งสองคนพุ่งออกไปสองฝั่งพร้อมกันโดยไม่ได้นัดหมาย ยืนขนานเป็นเส้นเดียวกับค่ายกลแต่อยู่คนละฝั่ง
“เจ้าหนู ค่ายกลโปรดสัตว์สายพุทธชุดนี้ของข้าได้มาจากซากอารยธรรมยุคโบราณแห่งหนึ่งโดยบังเอิญ ยามที่พบไม่มีร่องรอยความเสียหายสักนิด ค่ายกลนี้ไม่เพียงมีความสามารถในการกักขัง ยังสามารถทำให้วิญญาณทุกดวงที่ถูกค่ายกลขังไว้กลับคืนสู่สังสารวัฏก่อนเวลาได้อีกด้วย วันนี้เจ้าได้ตายในมหาค่ายกลนี้ก็นับว่าไม่เสียชาติเกิดแล้ว” ปีศาจพันมายาหัวเราะหยัน ธงค่ายกลสีทองในมือโบกสะบัดกำลังจะกระตุ้นค่ายกล
ทว่าเสียงพูดของเขาเพิ่งเงียบลง เหตุการณ์ประหลาดพลันบังเกิด!
แสงสีดำสว่างขึ้นใต้เท้าปีศาจพันมายา เส้นสีดำเส้นหนึ่งแหวกอากาศออกมาแทงเข้าใส่เท้าทั้งสองข้างของเขาทันที
ในเวลาเดียวกันนี้เงาคนสีดำร่างหนึ่งก็ปรากฏขึ้นเบื้องหลังเขาประหนึ่งภูตพราย ห้านิ้วบนมือใหญ่สีดำสนิทข้างหนึ่งมีแสงสีดำแหลมคมยืดออกมาก่อนจะตะปบพรวดลงมา
“เจ้าได้อย่างไร…”
ปีศาจพันมายาหน้าถอดสีแล้วหลุดปากขึ้นมา
ทว่าเขามีชีวิตรอดมาจนถึงวันนี้ได้ทั้งที่นิกายยอดบริสุทธิ์ประกาศค่าหัวมานานปีย่อมเป็นพวกที่มีไหวพริบและเฉียบขาด เขากระทืบเท้าอย่างแรง ร่างกายขยับวูบพุ่งออกไปด้านข้าง แทบจะเฉียดด้านข้างของแสงสีดำห้าสายไป
แสงสีขาวสว่างขึ้นไม่ไกล ร่างกายของปีศาจพันมายาปรากฏขึ้นอีกครั้ง
คราวนี้เขาสีหน้าซีดเผือดเล็กน้อย บนแผ่นหลังปรากฏรอยเลือดยาวห้าเส้นแต่บาดแผลไม่ลึก ไม่ได้บาดเจ็บถึงกระดูก ทว่าเนื้อหนังฉีกขาดเลือดไหลรินลงมาเป็นทางยาว ความเจ็บปวดแสบร้อนส่งมาเป็นระลอกๆ ธงค่ายกลสีทองที่เดิมทีอยู่ในมือเขาร่วงลงไปในค่ายกลสีทองเบื้องล่างอย่างไม่ทันระวัง
จั่วกงเฉวียนที่ยืนอยู่อีกด้านข้างของค่ายกล เห็นเหตุพลิกผันที่เกิดขึ้นในชั่วสะเก็ดไฟแลบเบื้องหน้าก็อดไม่ได้ตกตะลึง ธงค่ายกลสีทองในมือชะงักไปในทันใด
“เจ้า! เจ้าไม่ได้ถูกขังอยู่ด้านในมหาค่ายกลโปรดสัตว์หรือ?” ปีศาจพันมายามองเงาคนสีดำแล้วตะคอกถามอย่างตกตะลึงและเกรี้ยวกราด
“ฮ่ะๆ เจ้าสองคนคิดว่าคนที่ถูกขังอยู่ด้านในคือข้าจริงหรือ?”
เพิ่งสิ้นเสียง ปราณดำบนร่างเงาคนสีดำก็สลายออกมาช้าๆ เผยเงาร่างของคนที่อยู่ด้านใน เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง เขาสองมือไพล่หลังมองปีศาจพันมายาเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม
ปีศาจพันมายาสีหน้าเคร่งขรึม มือข้างหนึ่งยกขึ้นจะขยับ ทันใดนั้นใต้เท้าก็ชาหนึบ ร่างกายโซเซวูบหนึ่ง เกือบจะล้มลงไปกับพื้น
“แย่แล้ว! มีพิษ!”
บนน่องของเขามีรูเลือดขนาดเล็กที่แทบมองไม่เห็นรูตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เลือดพิษสีดำสนิทประหนึ่งหมึกไหลจ๊อกออกมา พร้อมกันนั้นปราณสีดำสายหนึ่งก็แผ่จากตรงบาดแผลไปบนขาอย่างเชื่องช้า
ม่านตาของปีศาจพันมายาหดเล็กลง เมื่อครู่ตอนเขาหลบ ชั่วเวลาฉุกละหุกไม่อาจหลบเส้นสีดำที่โผล่มาจากใต้ดินได้พ้นจึงทำให้น่องถูกทะลวงเป็นรู
สิ่งที่คาดคิดไม่ถึงก็คือเส้นสีดำนี้ไม่เพียงโจมตีทะลุปราณแกร่งคุ้มร่างของตนได้ แต่ยังมีพิษร้ายที่กระทั่งผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ก็ต้านทานไม่ไหวอยู่บ้างอีกด้วย
ในใจเขาครุ่นคิดรวดเร็วดั่งสายฟ้า สองมือทำท่าเคล็ดวิชาอย่างเร็วไว บนร่างฉับพลันมีแสงมารสีดำชั้นหนึ่งลอยออกมากลายเป็นเกราะพลังเวทชั้นหนึ่งป้องกันอยู่รอบร่าง ปราณดำบนขาเองก็ถูกแสงมารนี้กดไว้จึงหยุดแผ่ขยายไปชั่วคราว
ครั้งนี้บนพื้นดินข้างตัวหลิ่วหมิงที่อยู่ฝั่งตรงข้ามส่องแสงสีเหลืองขึ้นวูบหนึ่ง แมงป่องใสแวววาวขนาดเท่าฝ่ามือตัวหนึ่งโผล่ออกมา ตั้งแต่ต้นจรดปลายส่วนหางของมันโค้งขึ้นยามอยู่ใต้แสงจันทราสาดส่องทอแสงสีเขียวประหลาดอ่อนๆ เห็นชัดว่ามันคือแมงป่องกระดูก
“ไป!”
หลิ่วหมิงตวาดเย็นชาคำหนึ่ง ปราณดำบนร่างพลุ่งพล่านออกมากลายเป็นฝ่ามือยักษ์สีดำขนาดหลายจั้งข้างหนึ่ง กดทับลงมาหาปีศาจพันมายา
ปีศาจพันมายารู้สึกว่าอากาศรอบด้านอัดแน่นขึ้นในฉับพลัน แรงมหาศาลน่าหวาดกลัวสายหนึ่งกดทับลงมา กระทั่งเกราะแสงรอบร่างเขาก็สั่นไหวไม่หยุด
“จงออกมา!”
ปีศาจพันมายาเปลี่ยนสีหน้าไปทันที แสงสีดำสว่างขึ้นในมือเขาขณะที่เรียกธงคำสั่งสีดำผืนหนึ่งออกมา ด้านบนวาดรูปปีศาจอสูรสีเหลืองตัวหนึ่งไว้เลือนราง เขาโยนมันลงไป ผิวของธงคำสั่งพลันมีปราณดำพวยพุ่งขึ้นมา จากนั้นเงาจิ้งจกสีเหลืองขนาดหลายจั้งตัวหนึ่งก็กระโจนออกมาจากด้านใน
สองตาของเงาจิ้งจกทอประกายสีแดงฉาน ร่างกายมันสั่นวูบหนึ่ง ทันใดนั้นหางยาวเป็นพิเศษด้านหลังฉับพลันกลายเป็นเงาสีดำพร่ามัวไม่ชัดเส้นหนึ่งกวาดออกไป ทิ้งเงาเลือนรางสายแล้วสายเล่าไว้กลางอากาศ
เสียง “ปัง” ดังขึ้น!
ฝ่ามือยักษ์สีดำกับเงาดำที่เกิดจากหางของเงาจิ้งจกปะทะกัน วงกระเพื่อมไร้ร่างแผ่ออกไปสี่ด้านแปดทิศ หางของเงาจิ้งจกนี้ถึงกับต้านฝ่ามือยักษ์สีดำไว้กลางอากาศจนไม่อาจร่วงลงมาได้ชั่วขณะ
เวลานี้จั่วกงเฉวียนที่ยืนอยู่ไกลออกไปสีหน้าแปรเปลี่ยนไปมาไม่หยุด แววตาวูบไหวมองดูหลิ่วหมิงกับปีศาจพันมายาใช้วิชาโต้ตอบกันไปมาต่อสู้กันอย่างรุนแรง แต่ไม่มีเจตนาจะก้าวเข้าไปช่วยฝ่ายหนึ่งฝ่ายใด
เขายังคิดไม่ออกว่าหลิ่วหมิงหลุดออกมาจากในมหาค่ายกลโปรดสัตว์ได้อย่างไร อย่างไรพลังของค่ายกลนี้ก็ทำให้คนตะลึงมาแล้วหลายครั้ง ทั้งสองคนใช้ค่ายกลนี้กักขังสังหารผู้ฝึกฝนของนิกายอื่นมาไม่น้อย
แต่ดูจากสถานการณ์ตรงหน้า แม้เขากับปีศาจพันมายาจะร่วมมือกัน สังหารหลิ่วหมิงปิดปากก็ยังไม่มั่นใจได้เต็มร้อย นี่ทำให้เขาอดลังเลอยู่บ้างไม่ได้
“สหายจั่ว จากสิ่งที่เจ้าทำก่อนหน้านี้ เจ้ายังคิดว่าเขาจะปล่อยเจ้าไปอีกงั้นหรือ?” ปีศาจพันมายาหาช่องว่างถลึงตาใส่จั่วกงเฉวียนอย่างแรงแล้วคำรามเสียงดัง
จั่วกงเฉวียนได้ยินพลันตะลึง จากนั้นดวงตาจึงทอประกายเหี้ยมเกรียม ในที่สุดก็ตัดสินใจ สองเท้ากระทืบพื้นอย่างรุนแรงโผขึ้นกลางอากาศ สองมือมีถุงมือหมัดสีแดงคู่หนึ่งเพิ่มขึ้นมาตั้งแต่เมื่อไรไม่ทราบ หมัดสีแดงคู่หนึ่งเหวี่ยงปล่อยเปลวเพลิงร้อนแรงสีแดงฉานออกมาเต็มผืนฟ้าก่อตัวเป็นหมัดยักษ์สีแดงเพลิงสองข้างโจมตีเข้าใส่หลิ่วหมิง
จุดที่มันพุ่งผ่านไปทิ้งรอยไหม้เกรียมร้อนผ่าวที่เห็นชัดด้วยตาเปล่าสองสายไว้กลางอากาศ
ในเวลานี้เอง เสียง “ฟึบ” ดังสนั่นก็ดังขึ้นจากพื้นดินใกล้ๆ ศิลาใหญ่น้อยนับไม่ถ้วนพุ่งเร็วรี่ออกมา ทยอยพุ่งชนหมัดอัคคียักษ์
แมงป่องกระดูกด้านข้างฉับพลันกลายร่างเป็นรูปลักษณ์ของสตรีผู้สวมชุดตาข่ายสีดำ นางใช้พลังควบคุมดินขวางการโจมตีของจั่วกงเฉวียนไว้อย่างไม่ลังเลสักนิด
เสียงดังสนั่นลอยมาอย่างต่อเนื่อง!
ไม่ว่าจะเป็นศิลาก้อนใหญ่เท่าใดเมื่อถูกหมัดอัคคียักษ์ล้วนมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านสีแดงสลายไปในทันที พวกมันไม่อาจขวางหมัดยักษ์ที่ร่วงลงมาได้แม้แต่น้อย
เซียเอ๋อร์ตวาดเสียงหวาน สองตาเปล่งแสงเรืองรองสีน้ำตาลทอง ฝ่ามือสีกลีบบัวสองข้างทำท่าเคล็ดวิชาเบื้องหน้าอย่างเร็วไวแล้วประทับบนผืนดินอย่างแรง
ผืนดินทั้งหุบเขาระเบิดตามต่อกัน ศิลายักษ์ขนาดหลายจั้งนับไม่ถ้วนปลิวขึ้นฟ้ารวมตัวกันเป็นกำแพงศิลายักษ์ผืนหนึ่งที่บนผิวเปล่งแสงสีเหลือง จากนั้นขวางหน้าหมัดอัคคียักษ์ไว้
เสียง “บึ๊ม” ดังสนั่น!
แม้กำแพงศิลานี้จะถูกหมัดอัคคียักษ์โจมตีจนกร่อนแตกสลายไม่หยุด แต่ก็มีศิลายักษ์เติมเข้าไปอย่างต่อเนื่องไม่ขาดสายจนมันฝืนยืนหยัดตั้งอยู่ได้