ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 889
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นทีหนึ่ง
ปราณดำสายหนึ่งก็หุ้มศีรษะคนที่ร่วงลงบนพื้นไว้ วิญญาณของเขายังไม่ทันหนีออกมาก็ถูกขังไว้ด้านในจากนั้นก็ถูกหลอมละลายกลายเป็นความว่างเปล่า
หลิ่วหมิงเหลือบตามองศีรษะด้านในปราณสีดำ แม้บนใบหน้าเขาจะมีเลือดไหลโชก แต่ก็ยังมองเห็นหน้าตาคร่าวๆ อยู่ เขาเป็นบุรุษวัยกลางคนใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมที่ดวงตาสองข้างลึกโหลผู้หนึ่ง
“นี่คงจะเป็นโฉมหน้าที่แท้จริงของปีศาจพันมายา แม้อยู่ต่อหน้าผู้คนมีพันมายาหมื่นโฉมหน้า แต่หลังจากตายไปเท่านั้นถึงจะเผยโฉมหน้าที่แท้จริงแก่ผู้คนได้ นี่ก็เป็นเรื่องที่น่าเศร้าเรื่องหนึ่ง”
หลิ่วหมิงพึมพำประโยคหนึ่งจากนั้นก็ยิ้มน้อยๆ ในใจแล้วสลัดความคิดนี้ทิ้งไป
เขายกมือข้างหนึ่งขึ้นกวัก ทันใดนั้นศีรษะของปีศาจพันมายาก็ถูกปราณดำม้วนเก็บเข้าไปในแหวนย่อส่วนทันที
“นายท่าน…”
แสงสีเหลืองส่องสว่างขึ้นบนพื้น เซียเอ๋อร์โผล่ออกมา เวลานี้ชุดตาข่ายสีดำบนร่างนางขาดวิ่นอยู่บ้าง สีหน้าก็ซีดเผือด หน้าอกพองยุบนิดๆ ดูท่าคงจะเป็นเพราะเมื่อครู่ถูกไอปีศาจของปีศาจพันมายาทำร้ายบาดเจ็บเล็กน้อย แต่ไม่ได้บาดเจ็บถึงลมปราณ
“ไม่เป็นไรนะ?” หลิ่วหมิงเอ่ยถามอย่างเป็นห่วง
“คิกคิก เมื่อครู่ข้าฉวยโอกาสที่คนผู้นี้ไม่ระวังแทงเขาแรงๆ ครั้งหนึ่ง ได้ช่วยนายท่านแล้วใช่ไหมเจ้าคะ?” เซียเอ๋อร์มองศพไร้ศีรษะของปีศาจพันมายาแล้วเงยใบหน้าสะสวยขึ้นมา เอ่ยราวกับจะขอคำชม
ในใจหลิ่วหมิงถอนหายใจ แต่ปากกลับเอ่ยชมเชย
“ใช่แล้ว ต้องขอบคุณเซียเอ๋อร์ที่ช่วยเหลือถึงสังหารเขาได้อย่างราบรื่น”
เซียเอ๋อร์ได้ยินก็ยิ้มร่าทันที
หลิ่วหมิงเหล่ตามองทีหนึ่งแล้วสะบัดมือยิงปราณสีดำสายหนึ่งออกมาอีกครั้ง รัดแหวนหยกขาววงหนึ่งบนนิ้วหัวแม่มือของปีศาจพันมายาขึ้นมาไว้บนมือ
แหวนวงนี้ดูเหมือนทำมาจากหยกธรรมดา แต่แผ่คลื่นพลังเวทคลุมเครือออกมา
เขาเพ่งจิตแล้วปล่อยจิตสัมผัสแทรกเข้าไป
เมื่อกวาดจิตสัมผัสเล็กน้อยครั้งหนึ่งก็พบว่าแหวนหยกวงนี้เป็นอาวุธจิตวิญญาณเก็บของชิ้นหนึ่งจริงๆ มิติด้านในมีขนาดถึงหลายสิบจั้ง ด้านในเก็บโอสถ หินแร่ อาวุธจิตวิญญาณและของอื่นๆ ไว้ไม่น้อย
หลิ่วหมิงกวาดสายตาสำรวจของเหล่านี้ผ่านๆ ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไป
แสงสีทองสว่างขึ้นบนฝ่ามือ จากนั้นคัมภีร์หยกเก่าแก่ที่ส่องประกายสีทองอ่อนเล่มหนึ่งก็โผล่ออกมา สิ่งนี้ก็คือคัมภีร์ที่ปีศาจพันมายาเรียกออกมาตอนควบคุมมหาค่ายกลโปรดสัตว์ก่อนหน้านี้
เขาแนบมันกับหน้าผากแล้วแทรกจิตสัมผัสเข้าไปทันที เขามีสีหน้าตะลึงในทันใดจากนั้นก็กลายเป็นยินดียิ่งนัก สิ่งที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์หยกก็คือวิธีควบคุมค่ายกลเขาพระสุเมรุโปรดสัตว์นั่นเอง
แต่ตรงนี้ไม่ใช่สถานที่เหมาะแก่การศึกษาอย่างละเอียด เขาจึงเก็บคัมภีร์หยกรวมถึงแหวนหยกขาวไปทันที
แทบจะในพริบตาที่หลิ่วหมิงทำทุกสิ่งนี้เสร็จสิ้น เสียงแหวกอากาศก็ดังมาจากขอบฟ้าไกลออกไป พวกผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่สวมชุดยาวสีแดงสี่คนฉับพลันร่อนลงมา
สายตาของทั้งสี่คนกวาดมองทันที!
ร่องรอยการต่อสู้บนพื้นดินใกล้ๆ คล้ายกำลังบอกเล่าเรื่องราวการต่อสู้อันรุนแรงและแสนสั้นเมื่อครู่แก่พวกเขา ในดวงตาพวกผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่ล้วนฉายแววตาหวาดกลัวจางๆ
พวกเขามองจากไกลๆ เห็นว่าการต่อสู้ที่นี่จบลงแล้วถึงกล้าเข้ามา
“ผู้อาวุโส…” ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่จับจ้องหลิ่วหมิงที่อยู่ในหลุมลึก สีหน้าหลากหลายอารมณ์อย่างที่สุด
บนศพไร้หัวยังคงสวมอาภรณ์มังกรทองห้าเล็บตัวนั้น ความจริงกระจ่างแก่สายตาแล้ว
“ก่อนหน้านี้ข้าบอกแล้วว่าผู้ฝึกฝนชั่วร้ายคนนี้คือปีศาจพันมายา แม้ไม่ทราบว่าเหตุใดเขาต้องปลอมตัวเป็นจักรพรรดิแคว้นเจียง แต่คนผู้นี้ถูกสังหารแล้ว เรื่องหลังจากนี้ยกให้พวกเจ้าเก็บกวาดกันเอง ครั้งนี้ข้าเดินทางมาเพื่อศีรษะของเขาเท่านั้น” หลิ่วหมิงมองผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่ครั้งหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้นเรียบๆ พร้อมกันนั้นปราณดำก็ม้วนออกมารอบร่าง เสื้อผ้าปลิวสะบัดทั้งที่ไม่มีสายลม
“เมื่อครู่พวกข้าเอ่ยวาจาล่วงเกินผู้อาวุโส โปรดอภัยด้วย! ผู้อาวุโสกำจัดผู้ฝึกฝนชั่วร้ายคนนี้ให้แก่แคว้นเจียงของพวกเรา พวกข้าย่อมซาบซึ้งไม่มีวันหมดสิ้น เพียงแต่ไม่ทราบว่า…ผู้อาวุโสจะแจ้งนามสักหน่อยได้หรือไม่?” ผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่เห็นหลิ่วหมิงกำลังจะจากไปก็รีบเอ่ยปากขึ้นมา
วังหลวงเกิดเรื่องใหญ่เช่นนี้ วันนี้จักรพรรดิตัวจริงเป็นตายยังไม่ทราบ อยู่หนใดก็ไม่รู้ ความผิดของพวกเขาทั้งสี่ที่รับผิดชอบอารักขาย่อมไม่เบา หากผู้อาวุโสตระกูลเจียงถามขึ้นมาแล้วกระทั่งชื่อของอีกฝ่ายเขาก็ยังไม่รู้ เกรงว่าคงมีโทษหนักเป็นเท่าตัว
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว ส่งกระแสจิตบอกชื่อกับเขาอย่างนิ่งสงบ หลังจากนั้นจึงกระตุ้นเคล็ดวิชาในมือ ปราณดำโอบล้อมรอบร่างของเขากับเซียเอ๋อร์แหวกท้องฟ้ามุ่งออกไปไกล
พวกผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่สี่คนแสดงสีหน้านอบน้อมเฝ้ามองจนแสงสีดำหายลับไปจากขอบฟ้า จากนั้นจึงหันศีรษะกลับมามองผืนดินระเนระนาด ทุกคนล้วนเงียบงันไร้วาจา
“เก็บศพของคนผู้นี้ให้เรียบร้อยแล้วพลิกเมืองหนานหลูค้นหาเจียงหลีตัวจริงทันที แล้วก็แจ้งเรื่องนี้กับเหล่าผู้อาวุโสที่เซี่ยสุ่ยจวีในทันทีด้วย” ครู่หนึ่งให้หลังก็ยังคงเป็นผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่ทำลายความเงียบ เอ่ยปากสั่งสามคนด้านหลังขึ้นมาก่อน
สามคนที่เหลือได้ยินก็ขานรับแยกย้ายกันไปทำงานในทันใด
บนใบหน้าของผู้เฒ่ารูปร่างสูงใหญ่สีหน้าแปรเปลี่ยนไม่หยุด หลังจากนั้นก็ถอนหายใจ
เพราะเรื่องปีศาจพันมายา ไม่ว่าจะเป็นในตระกูลหรือในหมู่มนุษย์ธรรมดาทั่วทั้งแคว้นเจียงก็ล้วนปั่นป่วนกันไม่น้อย สุดท้ายถึงขั้นทำให้ผู้ฝึกฝนระดับสูงในนิกายและตระกูลของแคว้นรอบด้านแคว้นเจียงตื่นตัวไปด้วย พวกเขาร่วมกันออกหน้าร่างกฎจำนวนหนึ่งเกี่ยวกับความปลอดภัยของจักรพรรดิมนุษย์
แน่นอนเรื่องเหล่านี้เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นภายหลัง
ในเวลานี้หลิ่วหมิงกลายเป็นลำแสงสีดำออกจากเมืองหนานหลูไปอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
หนึ่งชั่วยามให้หลัง หลิ่วหมิงก็ร่อนลงบนหน้าผาแห่งหนึ่งบนเทือกเขาอีกา
ยามนี้ท้องฟ้าเริ่มสว่างแล้ว หลิ่วหมิงสะบัดมือส่งแสงสีดำสายหนึ่งออกไปขุดถ้ำขนาดไม่เล็กไม่ใหญ่แห่งหนึ่งบนหน้าผา หลังจากวางชั้นจำกัดง่ายๆ ชั้นหนึ่ง แล้วเข้าไปนั่งข้างใน
วันนี้ต่อสู้ดุเดือดและตามไล่ล่าอย่างต่อเนื่องทำให้เขาเสียทั้งพลังเวทและพลังจิตไปมากมาย ส่วนเซียเอ๋อร์ที่พลังเวทไม่เพียงพอก็เข้าไปพักในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณแล้ว
หลังจากหลิ่วหมิงพลิกมือเรียกโอสถเม็ดหนึ่งออกมากินลงไปก็เริ่มเคลื่อนพลังเวท โคจรลมปราณช้าๆ
เวลาผ่านไปถึงสามวันเต็มๆ เขาถึงลืมตาขึ้น แม้พลังเวทในร่างยังไม่ฟื้นกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ แต่ก็ฟื้นกลับมาแปดเก้าส่วนไม่ไกลจากสิบส่วนแล้ว
เขาพลิกมือข้างหนึ่งเรียกคัมภีร์หยกเก่าแก่เล่มนั้นที่พบในแหวนหยกขาวของปีศาจพันมายาออกมาทันที จากนั้นแนบกับหน้าผากศึกษาอย่างละเอียด
ในนี้ไม่เพียงบันทึกคำแนะนำเกี่ยวกับค่ายกลพระสุเมรุโปรดสัตว์ไว้อย่างละเอียด ยังมีวิธีควบคุมอย่างเป็นรูปธรรมอีกด้วย
เดิมทีหลิ่วหมิงก็สนใจศาสตร์ค่ายกลอย่างยิ่งอยู่แล้ว ยิ่งไม่ต้องพูดถึงค่ายกลโบราณที่ตกทอดมาจากยุคโบราณ
สิ่งที่เป็นโอกาสหายากยิ่งกว่าก็คืออุปกรณ์วางค่ายกลชุดนี้ยังคงเก็บรักษาในสภาพสมบูรณ์มาจนถึงวันนี้ ขอเพียงศึกษาให้ทะลุปรุโปร่งก็ใช้งานได้ทันที
การที่เฟ่ยอี๋ปีศาจพันมายาผู้นั้นหนีได้ยาวนานเช่นนี้โดยที่ไม่มีคนของนิกายใหญ่สังหารได้ นอกจากพลังของตัวเขาที่ไม่อ่อนแอกับวิชาพันมายาที่ร่างกายครอบครองอยู่ สาเหตุที่สำคัญกว่านั้นก็คืออุปกรณ์ค่ายกลที่มีความเป็นมาอันยิ่งใหญ่ชุดนี้
เนิ่นนานหลังจากนั้นหลิ่วหมิงถึงดึงจิตสัมผัสออกมาจากในคัมภีร์หยก บนใบหน้าเห็นชัดว่ามีสีหน้าเปรมปรีดิ์ยากจะอดกลั้น
จากบันทึกบนคัมภีร์หยก มหาค่ายกลโปรดสัตว์ชุดนี้มาจากนิกายสายพุทธแห่งหนึ่งในยุคโบราณ อุปกรณ์การวางค่ายกลของมหาค่ายกลน้อยยิ่งนัก ต้องการเพียงแผ่นค่ายกลสี่แผ่นกับธงค่ายกลแปดผืนที่ใช้ร่วมกัน
วิธีวางค่ายกลก็ไม่ซับซ้อน เพียงฝังแผ่นค่ายกลกับธงค่ายกลไว้ใต้ดินตามวิธีที่ถูกต้องแล้วใช้หินจิตวิญญาณระดับสูงฝังไว้ตรงดวงตาค่ายกล มอบพลังเวทที่เพียงพอให้มหาค่ายกลทั้งหมด เท่านี้มหาค่ายกลก็ทำงานเป็นปกติได้แล้ว อีกทั้งยังกระตุ้นมหาค่ายกลให้เปลี่ยนรูปแบบเป็นค่ายกลที่ต่างออกไปด้วยธงค่ายกลหลักสองผืนได้อีกด้วย
มหาค่ายกลโปรดสัตว์ชุดนี้นอกจากจะสืบทอดเอกลักษณ์ในด้านความแข็งแกร่งของค่ายกลสายพุทธมาแล้ว เมื่อค่ายกลเปลี่ยนรูปก็ยังเปลี่ยนไปมีพลังในการกักขังและสังหารอีกหลายรูปแบบ เพียงพอกักขังศัตรูคนใดที่อยู่ต่ำกว่าระดับดาราพยากรณ์ที่ตกลงมาในค่ายกลได้
สิ่งสำคัญที่สุดก็คือค่ายกลนี้มีคุณสมบัติพิเศษในด้านข่มภูตผีวิญญาณร้าย เสียงสวดภาษาสันสกฤตที่ดังออกมาจากในค่ายกลทำให้ผีร้ายที่ถูกขังอยู่ด้านในกลับไปเกิดได้
ทว่าหากต้องการให้ค่ายกลนี้สำแดงอิทธิฤทธิ์ได้มากที่สุด จำต้องมีสองคนควบคุมมหาค่ายกลพร้อมกัน นอกจากนี้จำต้องมีทักษะเชี่ยวชาญอย่างยิ่ง
แต่เรื่องเหล่านี้ไม่เป็นปัญหาสำหรับหลิ่วหมิง ตัวเขาเองมีพรสวรรค์ในการแบ่งสมาธิทำสองอย่างในเวลาเดียวกันอยู่แล้ว อีกทั้งพลังจิตก็ยังเหนือกว่าคนธรรมดา แล้วยังมีหนอนพลังจิตเสริมส่งอีก เขาย่อมรับผิดชอบสองบทบาทในเวลาเดียวกัน ควบคุมค่ายกลได้อย่างแน่นอน
ส่วนความเชี่ยวชาญในทักษะค่อยๆ ฝึกฝนเอาในแดนมายาของดวงตามายาก็ได้
เวลาผ่านไปอีกเกือบครึ่งวัน หลิ่วหมิงถึงลุกขึ้นยืนเงียบๆ เขาเก็บคัมภีร์หยกเข้าไปในแหวนย่อส่วนอย่างระมัดระวัง สีหน้ากลับมาสงบดังเดิม
กล่าวได้ว่ามหาค่ายกลชุดนี้เป็นผลพลอยได้ประการหนึ่งจากการเดินทางครั้งนี้ แต่เวลาชั่วครู่ชั่วยามไม่อาจจะศึกษาให้ถ่องแท้ได้
สำหรับเขาแล้วภารกิจเร่งด่วนยังคงเป็นการรวบรวมแต้มคุณูปการให้เพียงพอ หลังจากนั้นเข้าไปฝึกปรือในทางปีศาจร้ายเพื่อค้นหาโอกาสน้อยนิดที่จะเข้าสู่ระดับแก่นแท้
ชั่วครู่ให้หลัง เรือหยกแวววาวที่ถูกหุ้มด้วยแสงรัศมีสีขาวน้ำนมลำหนึ่งก็ลอยขึ้นจากกลางเขาร้าง หายลับไปยังขอบฟ้าอย่างรวดเร็ว
ครึ่งเดือนกว่าให้หลัง ในหอความเป็นความตายสายในบนเทือกเขาหมื่นวิญญาณ
ผู้อาวุโสเจียงเดิมทีกำลังนั่งว่างอยู่ในวิหารหลังใหญ่อันว่างเปล่า หยอกล้อกับแมวดาวสีขมิ้นที่ตามติดเขาเป็นเงาตัวนั้น หลังจากเห็นหลิ่วหมิงเขาก็หัวเราะร่าลุกขึ้นมาทันที
“ศิษย์หลานหลิ่ว ไม่พบกันนาน วันนี้เดินทางมา หรือว่าจะสังหารผู้ฝึกฝนชั่วร้ายคนไหนได้แล้ว? หรือว่า…”
ผู้อาวุโสเจียงพูดได้ครึ่งหนึ่ง ทันใดนั้นสายตาก็เหล่ไปเห็นรอยยิ้มน้อยๆ ที่ประดับอยู่บนใบหน้าของหลิ่วหมิง เขาคล้ายจะตระหนักถึงอะไรบางอย่างได้ จึงเอ่ยขึ้นด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเล็กน้อย
หลิ่วหมิงไม่เอ่ยคำใด แต่มือข้างหนึ่งลูบแหวนย่อส่วนในมือ ในมือพลันมีห่อผ้าสีฟ้าห่อหนึ่งเพิ่มขึ้นมาแล้วโยนไปให้
แขนเสื้อของผู้อาวุโสเจียงสะบัดจนแขนเสื้อกางออกกว้าง เขารับห่อผ้าสีฟ้าไว้ในมือ หลังจากนั้นวางลงบนแท่นศิลาแล้วเปิดออกดู ศีรษะโชกเลือดศีรษะหนึ่งปรากฏออกมา
สายตาของผู้เฒ่าเป็นประกาย เขาจ้องมองศีรษะจากบนจรดล่างอยู่ชั่วครู่แล้วพลิกมือข้างหนึ่งเรียกกระจกทองแดงสีเหลืองขมุกขมัวขนาดเท่าฝ่ามือบานหนึ่งออกมาทันที
แสงสีเหลืองสายหนึ่งครอบศีรษะไว้ หลังจากนั้นครู่หนึ่งสายตาของผู้อาวุโสเจียงก็ค่อยๆ เปล่งประกาย
“ดี! ยอดเยี่ยม! นี่คือศีรษะของปีศาจพันมายาที่มีความชั่วยาวเป็นหางว่าวคนนั้น! ศิษย์หลานหลิ่วมีความสามารถยอดเยี่ยมจริงแท้ เวลาไม่กี่เดือนก็สังหารผู้ฝึกฝนชั่วช้าที่เจ้าเล่ห์อย่างที่สุดคนนี้ได้ หากเล่าลือออกไป ศิษย์หลานจะต้องชื่อเสียงเลื่องลืออีกครั้งแน่”
“ข้าเพียงโชคดีหาร่องรอยของคนผู้นี้พบ ประจวบเหมาะเคราะห์ดีถึงสังหารเขาลงได้ ผู้อาวุโสเจียงชมเกินไปแล้ว” หลิ่วหมิงส่ายหน้า ตอบอย่างถ่อมตัว
ผู้อาวุโสเจียงหัวเราะพลางเก็บกระจกทองแดงกับศีรษะของปีศาจพันมายาไป
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หยิบป้ายประจำตัวของศิษย์สายในส่งไปให้อย่างคุ้นเคยยิ่งนัก
“รางวัลตามรายชื่อความเป็นความตายของปีศาจพันมายาคือสามแสนห้าหมื่นแต้มคุณูปการ บวกกับหนึ่งแสนแต้มจากผู้อาวุโสนิกายเรา ทั้งหมดสี่แสนห้าหมื่นแต้มคุณูปการ” ในมือผู้เฒ่าเปล่งแสงสีทอง กระบองสั้นสีทองแท่งหนึ่งปรากฏขึ้นในมือเขาแล้วแตะเบาๆ บนป้ายประจำตัวของหลิ่วหมิง ส่วนปลายด้านหน้าเกิดแสงสีขาววิบวับ
หลิ่วหมิงรับป้ายกลับไป ใช้จิตสัมผัสกวาดรอบหนึ่งก็พบว่าแต้มคุณูปการในนั้นสะสมมาได้หนึ่งล้านสามแสนกว่าแต้ม ห่างจากหนึ่งล้านห้าแสนอีกไม่ไกลแล้ว