ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 903 ธาราลวงวิญญาณ
ตอนที่ 903 ธาราลวงวิญญาณ
“ศิษย์น้องที่รู้ศาสตร์ควบคุมค่ายกล ออกมาบังคับด้วยกันหน่อย” จินเทียนชื่อเอ่ยเสียงดัง
เงาคนสี่ร่างเหาะออกมาจากกลุ่มคนทันที พวกเขาคือเวินเจิง หลงเหยียนเฟย โอวหยางเชี่ยน และคนสุดท้ายก็คือหลิ่วหมิง ความรู้เกี่ยวกับค่ายกลของเขากระตุ้นแผ่นค่ายกลช่วยสนับสนุนชิ้นหนึ่งย่อมไม่มีปัญหาแต่อย่างใด
ทั้งสี่คนรับแผ่นค่ายกลไปคนละแผ่น ผ่านไปครู่หนึ่งแสงค่ายกลสี่สายก็ทยอยฉายออกมาทำให้การป้องกันหุบเขามั่นคงยิ่งขึ้น
ชั่วขณะหนึ่งเมื่อแสงสีเลือดถี่ยิบที่ค้างคาวกระหายเลือดพ่นออกมาโจมตีลงบนม่านแสงซึ่งประสานจากค่ายกลป้องกันหลายค่ายกล พวกมันก็ทยอยแตกสลายกลายเป็นฝนแสงสีโลหิตเฉกเช่นเดียวกับยามเกลียวคลื่นกระทบโขดหิน
ผู้คนที่นั่นเห็นเช่นนี้ในที่สุดก็โล่งอกขึ้นมาบ้าง
ทว่ายิ่งค้างคาวโถมเข้าใกล้มามากขึ้นเรื่อยๆ ค่ายกลกลางท้องฟ้าก็แทบจะถูกร่างกายของค้างคาวสีดำกับดวงตาสีเลือดที่ชวนให้คนขนหัวลุกปกคลุมจนหมด
“ตอนนี้ดูท่าคงไม่มีอันตรายชั่วคราว แต่เป็นเช่นนี้ต่อไปคงไม่ใช่แผนการระยะยาว!” ฉิวหลงจื่อเห็นเช่นนี้ก็เอ่ยเสียงเข้ม
“ชั้นจำกัดเหล่านี้ป้องกันได้เพียงชั่วเวลาหนึ่งเท่านั้น ปีศาจค้างคาวมากมายเช่นนี้ล้อมทั้งหุบเขาไว้ ฝั่งเรากำลังลดทอนฝั่งนั้นกำลังเพิ่มพูนจะถูกโจมตีทลายเมื่อใดก็รอแค่เวลาเท่านั้น” จินเทียนชื่อก็พยักหน้าพูดในทำนองเห็นด้วย
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ไม่สู้พวกเรา…”
“ระวัง มีปีศาจอสูรค้างคาวระดับผลึกปรากฏตัวแล้ว”
ดวงตาของฉิวหลงจื่อทอประกายวูบหนึ่ง ขณะที่เขากำลังคิดจะพูดอะไรบางอย่าง ทันใดนั้นก็ถูกหลิ่วหมิงเอ่ยขัด
ทุกคนตกตะลึงจากนั้นมองตามสายตาเขาขึ้นไปบนท้องฟ้า
แล้วพวกเขาก็เห็นค้างคาวตัวหนึ่งที่ขนาดใหญ่กว่าตัวอื่นหนึ่งเท่าพุ่งออกมาจากฝูงค้างคาวด้านนอกชั้นจำกัด ขนาดของมันราวกับลูกวัว ปีกค้างคาวขนาดมหึมาทอแสงสีแดงก่ำดั่งโลหิต เขี้ยวโค้งในปากแต่ละซี่ประหนึ่งดาบแหลมคมยื่นออกมาด้านนอก คลื่นปราณปีศาจที่แผ่ออกมาจากบนร่างเห็นชัดว่าบรรลุระดับผลึกแล้ว
ค้างคาวยักษ์กรีดร้องเสียงแหลมแล้วอ้าปากกว้างพ่นลำแสงสีเลือดหนาเท่าถังน้ำเส้นหนึ่งโจมตีลงบนค่ายกลพสุธาด้านนอกสุด
จินเทียนชื่อเห็นเช่นนี้พลันคิ้วขมวด สะบัดมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกไป บนค่ายกลพสุธาปรากฏไอหมอกรูปเกลียวสีน้ำตาลแถบหนึ่งลดทอนการโจมตีของลำแสงสีเลือด
“ตรงนี้ก็มีค้างคาวระดับผลึกอีกตัว!”
“ตรง…ตรงนี้ก็มีตัวหนึ่ง!”
ชั่วขณะหนึ่งปีศาจจอสูรค้างคาวระดับผลึกโผล่ออกมาตัวแล้วตัวเล่าราวกับหน่อไม้หลังฝน ปากของพวกมันพ่นลำแสงสีเลือดที่เห็นชัดว่าพลังเพิ่มเป็นเท่าทวีเข้าโจมตีชั้นจำกัดกลางท้องฟ้าอย่างบ้าคลั่งไม่หยุดหย่อน
จินเทียนชื่อสีหน้าเคร่งเครียด สองมือยิงเคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าต่อเนื่องกระตุ้นค่ายกลพสุธาให้แปรเปลี่ยนจนชั้นจำกัดนอกหุบเขามีพลังเพิ่มขึ้นมากชั่วขณะหนึ่งด้วย จึงต้านการโจมตีของค้างคาวระดับผลึกเหล่านี้ไว้ได้ทั้งหมด
ทว่าผ่านไปเพียงชั่วครู่เกราะป้องกันก็ถูกย้อมด้วยจุดด่างสีแดงจำนวนไม่น้อยราวกับแผลที่กินลึกถึงกระดูก พวกมันกัดกินแสงแวววาวบนเกราะป้องกันไม่หยุดทำให้แสงรัศมีของค่ายกลทั้งหมดเริ่มหม่นหมองลงไปเรื่อยๆ
แสงสีเลือดที่ค้างคาวระดับผลึกเหล่านี้พ่นออกมาเห็นชัดว่ามีฤทธิ์ในการปนเปื้อนและกัดกร่อน นี่ทำให้ทุกคนรู้สึกพรั่นพรึงอย่างยิ่ง
“ดูท่าไม่หนีคงไม่ได้แล้ว ต้องคิดวิธีฝ่าลงล้อมออกไปเดี๋ยวนี้!” จินเทียนชื่อสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งแล้วเอ่ยด้วยน้ำเสียงจริงจังอยู่บ้าง
ผู้คนรอบด้านได้ยินต่างมองหน้ากันทันที ที่จริงในใจทุกคนล้วนรู้ชัดยิ่งว่าการฝ่าวงล้อมเป็นวิธีเดียว ทว่าเผชิญหน้ากับปีศาจอสูรระดับของเหลวจิตวิญญาณหลายพันตัวแล้วยังมีปีศาจอสูรระดับผลึกอีกไม่น้อย บุ่มบ่ามออกจากหุบเขาเกรงว่าคงแทบจะเท่ากับการรนหาที่ตาย
“แย่แล้ว ยังมีปีศาจค้างคาวกระหายเลือดระดับแก่นแท้ด้วย!”
มือของหลิ่วหมิงควบคุมค่ายกลสีน้ำเงิน ทว่าความสนใจกว่าครึ่งยังคงอยู่ที่ปีศาจค้างคาวด้านนอก หลังจากประกายสีดำไหลเคลื่อนในดวงตาพักหนึ่ง ทันใดนั้นเขาก็หันไปมองทิศทางหนึ่งนอกหุบเขาไม่ไกลแล้วเอ่ยขึ้นเสียงเข้ม
ทุกคนได้ยินคำนี้ล้วนตกตะลึงหันศีรษะไปมอง ทว่าก็เห็นด้านนั้นมีแต่ปีศาจค้างคาวที่เหมือนจุดอื่น ไม่มีจุดใดพิเศษ
ขณะที่คนส่วนใหญ่กำลังสงสัยอยู่ในใจนั่นเอง เสียงกรีดร้องแหลมดังชัดเจนสายหนึ่งก็ดังมาจากด้านนอกหุบเขา พายุปีศาจสีแดงดำลูกหนึ่งฉับพลันพัดมาจากทิศทางที่หลิ่วหมิงมองอย่างไม่มีลางบอกแม้แต่น้อย ความเร็วน่าตะลึงยิ่งนัก!
ปีศาจค้างคาวระดับของเหลวจิตวิญญาณรอบด้านถูกพายุปีศาจซัดเหมือนใบไม้แห้งกลางสายลมสารทฤดู ร่างกายถูกพัดปลิวออกไปอย่างง่ายดายไม่อาจควบคุม พวกมันส่งเสียงร้องแสบแก้วหูดังระงม
ในเวลานี้เองพายุปีศาจสีแดงดำฉับพลันก็หยุดลง สิ่งมีชีวิตขนาดมโหฬารตัวหนึ่งปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้าทุกคน
หลังจากทุกคนเพ่งมองไปก็อดไม่ได้สูดลมหายใจเย็นยะเยือกเข้าปอด
ปีศาจค้างคาวตัวนี้เมื่อกางสองปีกออก ทั้งร่างยาวถึงยี่สิบกว่าจั้ง แทบจะบดบังท้องนภาไปเกือบครึ่ง ปากใหญ่โตสีเลือดมีเขี้ยวคมประหนึ่งคมดาบไขว้สลับกันทอประกายเย็นเยียบน่าจนลุก ใต้ปีกค้างคาวมหึมามีกรงเล็บแหลมคมสีดำคู่หนึ่งยื่นออกมา เล็บแต่ละเล็บบนนั้นยาวถึงหนึ่งจั้งกว่าเหมือนกับกระบี่ยักษ์สีดำสิบเล่มทำให้คนสั่นสะท้านทั้งที่ไร้ลมหนาว
ปราณปีศาจบนร่างค้างคาวยักษ์ตัวนี้ซัดสาดราวกับคลื่นน้ำ เห็นชัดว่าพลังบรรลุถึงระดับแก่นแท้ช่วงต้น ดวงตาดุจโคมไฟทั้งสองข้างกวาดมองผู้คนที่อยู่ในวงแสงของค่ายกล ทำให้ศิษย์ระดับผลึกเหล่านั้นล้วนสั่นเทาอย่างห้ามไม่ได้
ไม่ทันรอให้ผู้คนในหุบเขาเคลื่อนไหวอย่างใด ค้างคาวยักษ์ก็กระพือปีกสองข้าง อ้าปากกว้างพ่นลูกบอลแสงสีเลือดขนาดเท่าโอ่งน้ำลูกหนึ่งออกมารวดเร็วดั่งสายฟ้าฟาด กระแทกลงบนเกราะแสงสีน้ำตาลทองของค่ายกลพสุธาอย่างรุนแรง
เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นครั้งหนึ่ง ลูกบอลแสงสีเลือดระเบิดรุนแรงกลางท้องฟ้าเหนือหุบเขา กระแสลมนับไม่ถ้วนซัดถาโถมออกไป
เกราะแสงสีน้ำตาลทองที่เดิมทีหม่นแสงลงส่งเสียงดัง “เปรี๊ยะ” ออกมาครั้งหนึ่ง บนผิวเกิดรอยร้าวรูปร่างดุจใยแมงมุมนับไม่ถ้วยแผ่ขยายออกไปอย่างรวดเร็ว ท่าทางจวนเจียนจะพังทลาย
ในเวลาเดียวกันนี้แผ่นค่ายกลในมือของจินเทียนชื่อก็ส่งเสียงปริแตกดังกังวาน แสงสีเหลืองด้านบนส่องสว่างวูบหนึ่งแล้วหม่นแสงลงในพริบตา
ศิษย์ที่ควบคุมแผ่นค่ายกลคนอื่นเช่นพวกหลงเหยียนเฟยเห็นทุกสิ่งนี้ล้วนตกตะลึง แต่ละคนเร่งรีบส่งพลังปราณบริสุทธิ์สายหนึ่งเข้าสู่แผ่นค่ายกลในมือ จากนั้นกรอกพลังเวทเข้าไปในนั้นอย่างบ้าคลั่ง
ครู่ต่อมาผิวของเกราะแสงสีเหลืองบนท้องฟ้าสูงก็เปล่งแสงรัศมีหลากสีสอดประสานกัน ผิวหน้าที่เดิมทีปริร้าวส่องสว่างขึ้นครู่หนึ่งก็ประสานสนิทดังเดิมอีกครั้ง
เวลานี้ค้างคาวระดับแก่นแท้ตัวนั้นไม่ได้ส่งการโจมตีออกมาอีก มันขยับร่างบินเป็นวงอยู่เหนือค้างคาวทั้งหมดแล้วส่งเสียงกรีดร้องยาวสั้นไม่เท่ากันครั้งแล้วครั้งเล่า
ทันใดนั้นค้างคาวตัวอื่นก็ขยับวุ่นวายพักหนึ่งแล้วเริ่มบินวนเป็นวงจัดกระบวนทัพ
“ปีศาจค้างคาวระดับแก่นแท้ตัวนี้สติปัญญาไม่ต่ำต้อย มีมันบังคับบัญชา ค้างคาวตัวอื่นคงจะแสดงพลังได้มากกว่าเดิม หากมีปีศาจค้างคาวระดับแก่นแท้โผล่มาอีกสักตัว พวกเราคงจะหนีไม่ได้จริงๆ แล้ว!” จินเทียนชื่อมองดูแผ่นค่ายกลในมือ เขาครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้น
“แม้พูดเช่นนี้ แต่ค้างคาวกระหายเลือดด้านนอกจำนวนมากเกินไป หากฝืนฝ่าออกไปข้ากับเจ้าย่อมไม่เป็นไร แต่ศิษย์คนอื่นคงจะ…” ประกายแสงในดวงตาของฉิวหลงจื่อไหววูบขณะที่เอ่ยแผ่วเบา
“ไม่เป็นไร ที่ตัวข้าพกของสิ่งหนึ่งมาด้วย มันมีชื่อว่าธาราลวงวิญญาณ ของสิ่งนี้มีพลังในการล่อลวงปีศาจอสูรมากยิ่งนัก โดยเฉพาะกับปีศาจอสูรจำพวกที่กระหายเลือดยิ่งมีแรงดึงดูดมหาศาล หากมีคนพกธาราลวงวิญญาณพุ่งออกไป น่าจะล่อปีศาจค้างคาวเหล่านี้ไปได้กว่าครึ่ง เช่นนั้นย่อมมั่นใจได้ว่าคนที่เหลือจะหนีออกจากหุบเขาแห่งนี้ไปได้” ดวงตาของจินเทียนชื่อทอประกายแล้วเอ่ยขึ้นมา
“ธาราลวงวิญญาณ…”
หลิ่วหมิงได้ยิน ดวงตาพลันเป็นประกาย
เขาเคยอ่านบันทึกเกี่ยวกับสิ่งนี้ในตำราที่หอเก็บคัมภีร์ ของสิ่งนี้ใช้อิ่นหมัวเซียง ชื่อหลีจื่อรวมกับวัตถุดิบปรุงโอสถล้ำค่าอีกจำนวนหนึ่งผสมขึ้นมา เป็นของเหลวจิตวิญญาณที่มีกลิ่นหอมพิเศษเป็นเอกลักษณ์
อิ่นหมัวเซียงกับชื่อหลีจื่อล้วนเป็นของที่มีแรงดึงดูดต่อปีศาจอสูรอย่างยิ่ง มันล่อลวงปีศาจอสูรระดับต่ำกว่าระดับของเหลวจิตวิญญาณได้อย่างง่ายดาย แต่กับปีศาจอสูรที่สูงกว่าระดับผลึกจะได้ผลลดลงอย่างมาก ส่วนปีศาจอสูรระดับแก่นแท้แทบจะไม่มีผลเลย ด้วยเหตุนี้ผู้ฝึกฝนระดับต่ำที่ล่าปีศาจอสูรหาเลี้ยงชีพจำนวนมากจึงเตรียมไว้อยู่บ้างเสมอเพื่อใช้ล่อปีศาจอสูรออกจากรัง จะได้สังหารสะดวก
เมื่อผ่านการปรุงจนเกิดเป็นธาราลวงวิญญาณ มันจะกลายเป็นสิ่งที่ดียิ่งกว่าพวกอิ่นหมัวเซียง ไม่เพียงล่อปีศาจอสูรระดับผลึกได้ แต่ยังมีแรงดึงดูดต่อปีศาจอสูรระดับแก่นแท้อีกประมาณหนึ่งด้วย ทว่ามันปรุงยากอย่างที่สุด มีเพียงปรมาจารย์ปรุงโอสถระดับสุดยอดจำนวนหนึ่งถึงจะผสมของเหลวจิตวิญญาณพิเศษชนิดนี้ออกมาได้ ดังนั้นราคาจึงสูงยิ่งนัก มักจะเป็นของที่แพงจนหาคนซื้อลำบาก
“วิธีนี้ของพี่จินอาจได้ผล แต่ท่านกับข้าล้วนต้องอยู่ควบคุมค่ายกล หากเป็นเช่นนี้คนที่ล่อปีศาจอสูรออกไปคงจะมีโอกาสตายเก้าส่วนรอดเพียงส่วนเดียว” ฉิวหลงจื่อได้ยินชื่อธาราลวงวิญญาณ สีหน้าก็ผ่อนคลายลง แต่เมื่อนึกอะไรขึ้นได้ก็เอ่ยออกมาอีกครั้ง
“อันตรายย่อมมีบ้าง แต่ตอนศิษย์น้องคนนี้ออกไป ข้าจะใช้วิชาช่วยเปิดทางเส้นหนึ่งให้เขาก่อน เช่นนี้อันตรายย่อมน้อยลงไปบ้าง อีกทั้งหลังงานสำเร็จ ผู้ที่รับผิดชอบล่อปีศาจค้างคาวออกไปจะได้รับศิลารวมจิตวิญญาณที่นี่ครึ่งหนึ่งเป็นรางวัลที่เอาตัวเข้าเสี่ยงอันตราย ทุกคนน่าจะไม่คัดค้านใช่ไหม?” จินเทียนชื่อเอ่ยขึ้นราวกับคิดมาดีแล้ว
เขาพูดพลางสะบัดแขนเสื้อลงด้านล่าง ทันใดนั้นแสงเรืองรองสีทองแถบหนึ่งก็พุ่งออกมาจากด้านใน ครอบค่ายกลจิตวิญญาณใต้เท้าเอาไว้
ฟุบ ฟุบ ฟุบ!
เสียงดังขึ้นต่อเนื่องพักหนึ่ง ศิลารวมจิตวิญญาณในค่ายกลถูกแสงเรืองรองสีทองซัดผ่านพลันกลายเป็นดวงแสงสีน้ำเงินถูกดูดออกมา พริบตาเดียวพวกมันก็ทอแสงสีน้ำเงินเรืองๆ สุมอยู่ด้านข้างเป็นกอง ปราณจิตวิญญาณท่วมท้น
ในเวลาเดียวกันนี้ วังวนปราณจิตวิญญาณมหึมาบนท้องฟ้าเหนือหุบเขาก็สลายหายไปอย่างรวดเร็วพร้อมกับที่ศิลารวมจิตวิญญาณถูกดึงออกไป ปราณจิตวิญญาณเข้มข้นในหุบเขากระจายตัวไปด้านนอก
หลังจากทุกคนได้ยินสิ่งที่จินเทียนชื่อพูดก็มองไปยังศิลารวมจิตวิญญาณกองนี้บนพื้นแล้วมองหน้าคน ชั่วขณะไม่มีผู้ใดเอ่ยปากคัดค้าน
ขณะที่คนไม่น้อยในนั้นมองดูศิลารวมจิตวิญญาณบนพื้น ในดวงตาก็ฉายแววละโมบออกมายิ่งกว่าเดิม
แม้ก่อนหน้านี้พวกเขาจะฝึกฝนอยู่ในค่ายกลรวมจิตวิญญาณได้เพียงครึ่งวัน แต่พวกเขาก็ได้ลิ้มรสความเร็วในการฝึกฝนอันหอมหวานเช่นนี้กับตัวแล้ว
ศิลารวมจิตวิญญาณกองนี้มีมากถึงพันกว่าก้อน ครึ่งหนึ่งในนั้นก็คือห้าร้อยกว่าก้อน แม้ในภายหลังจะต้องมอบให้นิกายเกินครึ่ง ส่วนที่เหลือก็ยังพอวางค่ายกลรวมจิตวิญญาณขนาดเล็กหลายค่ายกล พูดอีกอย่างก็คือหากนำวัตถุจิตวิญญาณที่สาบสูญจากโลกภายนอกไปแล้วชนิดนี้ออกไปขายย่อมได้ราคามหาศาลอย่างที่ไม่อาจจินตนาการได้แน่นอน
ทว่าเมื่อคนเหล่านี้กวาดสายตามองค้างคาวเต็มท้องฟ้าเหนือหุบเขา น้ำเย็นก็รินรดศีรษะพากันหุบปากสนิทอีกหน
หลัวเทียนเฉิงมองศิลารวมจิตวิญญาณบนพื้น สองตาเปล่งประกายอยู่หลายหน เห็นชัดว่าในใจก็หวั่นไหวอย่างยิ่งเช่นกัน