ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 910 ขู่บังคับ
ตอนที่ 910 ขู่บังคับ
“ออกมา ไม่ต้องซ่อนแล้ว!”
บุรุษชุดเทาคนหนึ่งยกมือขึ้นในทันใด เขาดีดนิ้วเบาๆ สายลมสีดำที่หมุนเป็นเกลียวลูกหนึ่งก็ก่อตัวขึ้นจากความว่างเปล่าแล้วซัดมายังต้นไม้ใหญ่ที่หลิ่วหมิงซ่อนตัวอยู่
เสียงเปรี้ยงดังขึ้นครั้งหนึ่ง
พริบตานั้นที่ต้นไม้ใหญ่แห้งเหี่ยวสัมผัสถูกสายลมสีดำรูปเกลียว มันก็ถูกระเบิดกระจายกลายเป็นเศษไม้เต็มท้องฟ้า
เงาดำร่างหนึ่งถอยพรวดออกมาจากเศษไม้เต็มฟ้า หลิ่วหมิงนั่นเอง!
หลิ่วหมิงพลิกมือข้างหนึ่ง ในมือมีโล่สีเหลืองแผ่นหนึ่งปรากฏออกมาในทันใด พร้อมกันนั้นในใจก็ขบคิดรวดเร็ววิเคราะห์สถานการณ์ที่เกิดขึ้นกะทันหันตรงหน้า
มนุษย์ปีศาจกลุ่มนี้เห็นชัดว่ามุ่งมาหาเขา หากอาศัยลูกเล่นของเขาจัดการแค่คนสองคนหรือสักสามสี่คน เขาก็ยังพอมีความมั่นใจอยู่ แต่หากต้องรับมือกับมนุษย์ปีศาจแข็งแกร่งเจ็ดคนในคราวเดียวคงลำบากมากจริงๆ
ขณะที่หลิ่วหมิงใคร่ครวญอยู่ในใจนี่เอง ทันใดนั้นบุรุษชุดเทาที่ดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าก็พลันเอ่ยปากขึ้นมา
“เจ้าสังหารคนของเผ่าข้าคนหนึ่งด้วยพลังของตนเองเพียงลำพัง คิดว่าเจ้าก็คงไม่ใช่คนธรรมดา! แต่ไม่เป็นไร พวกเราทั้งหลายไม่ได้มาตามหาเจ้าเพื่อแก้แค้น แต่เพราะหวังว่าเจ้าจะร่วมมือกับพวกเราเอาของบางสิ่งออกมาจากซากโบราณสถานแห่งหนึ่งใกล้ๆ นี้ หลังเสร็จธุระย่อมมีผลประโยชน์มอบให้เจ้า”
คำพูดของมนุษย์ปีศาจผู้นี้ทำให้หลิ่วหมิงที่เดิมทีกำลังครุ่นคิดอยู่ว่าควรจะรับมืออย่างไรอดไม่ได้อึ้งไปเล็กน้อย
ในเมื่ออีกฝ่ายเอ่ยเช่นนั้น ถ้าเช่นนั้นก็เห็นชัดว่าพวกเขาไม่ใช่พวกเดียวกับมนุษย์ปีศาจที่เขาสังหารไปก่อนหน้านี้
คิดดูแล้วก็คงใช่ แผ่นดินว่านหมัวพื้นที่กว้างใหญ่ไม่เป็นรองแผ่นดินจงเทียน กลุ่มอำนาจของมนุษย์ปีศาจที่เข้ามายังเศษซากของโลกบนคงจะไม่ได้มีเพียงกลุ่มเดียวแน่
“ร่วมมือหรือ? มนุษย์กับมารอยู่กันคนละฝั่ง ท่านกำลังพูดเล่นอยู่หรือ?” หลิ่วหมิงครุ่นคิดในใจอย่างรวดเร็วแล้วตอบกลับไปด้วยสีหน้าเรียบเฉย
“ไยจะร่วมมือกันไม่ได้เล่า? ฮึๆ ในเศษซากโลกบนแห่งนี้ไม่เหมือนกับโลกมนุษย์ การร่วมมือกันระหว่างเผ่ามนุษย์ของพวกเจ้ากับเผ่าของเราก่อนหน้านี้ก็ไม่ใช่ว่าไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน ครั้งนี้พวกเรามาตามหาเจ้าก็เพราะค้นพบว่าสหายชำนาญวิชาลับภาพสัญลักษณ์ซึ่งสามารถช่วยพวกเราทำลายชั้นจำกัดของซากโบราณสถานแห่งนั้นได้ง่าย แน่นอนหากไม่ตอบรับก็ได้ แต่ถึงเวลานั้นพวกเราก็คิดเหตุผลที่จะปล่อยสหายไปไม่ออก” บุรุษชุดเทาผู้นั้นเอ่ยอย่างนิ่งสงบ แต่อีกหกคนที่เหลือข้างกายเขาล้วนมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าเย็นชาไร้ความรู้สึก ท่าทางประหนึ่งไม่ยินยอมให้เขาปฏิเสธ
หลิ่วหมิงได้ฟัง ในใจก็พรั่นพรึง
ด้วยนิสัยของเขาย่อมไม่มีทางเชื่อวาจาของมนุษย์ปีศาจเหล่านี้ง่ายๆ ทว่าในสถานการณ์ที่ศัตรูแข็งแกร่งตนเองอ่อนแอและถูกมนุษย์ปีศาจทั้งหลายจับจ้องมาดร้ายอยู่เช่นนี้ ก็ดูเหมือนจะไม่มีช่องว่างให้เขาปฏิเสธ
“ต่อให้สิ่งที่เจ้าพูดครึ่งแรกเป็นเรื่องจริง ข้าจะรู้ได้อย่างไรว่าหลังเสร็จงานพวกเจ้าจะกลับคำหรือไม่! หากเป็นเช่นนั้น ผู้แซ่หลิ่วยินดีลงมือสู้กันตอนนี้ดีกว่าช่วยให้พวกเจ้าได้สมบัติล้ำค่าไป” หลิ่วหมิงยังคงเอ่ยโดยไม่เปลี่ยนสีหน้า
“ฮ่าๆ ได้ยินมาว่าเผ่ามนุษย์หวาดระแวงเสมอ ไม่ผิดจริงๆ! ในเมื่อเป็นเช่นนี้พวกเราจะให้สัตย์สาบานต่อนามของจอมมารตรงนี้ ไม่ตระบัดสัตย์เด็ดขาด” บุรุษชุดเทาที่เป็นหัวหน้าขมวดคิ้วครู่หนึ่งก็เอ่ยเช่นนี้ออกมาอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
“นามของจอมมาร”
หลิ่วหมิงได้ยินคำนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปมากในทันที
จากที่เขารู้มาในคัมภีร์ ‘จอมมาร’ ที่ว่านี้ย่อมหมายถึงราชาแห่งเผ่ามารที่รุกรานโลกมนุษย์ในยุคโบราณ กล่าวกันว่าเขาทรงพลังบุกตะลุยไปหลากหลายโลกจนเป็นผู้ที่น่าหวาดกลัวประหนึ่งเทพมารที่แท้จริง
ไม่ว่าจะเป็นเผ่ามารในยุคโบราณหรือมนุษย์ปีศาจของแผ่นดินว่านหมัวในยามนี้ล้วนมองเขาเป็นที่พึ่งทางจิตใจมาตลอด
ดังนั้นไม่ว่าเผ่ามารหรือมนุษย์ปีศาจเมื่อสาบานต่อนามของจอมมาร ย่อมเป็นคำสาบานที่จริงจังอย่างที่สุด น้อยคนนักจะกล้ากลับคำ
“ได้ หากพวกเจ้าสาบานต่อนามแห่งจอมมารจริง ข้าก็คงไม่เชื่อไม่ได้” หลังจากหลิ่วหมิงขบคิดอย่างรวดเร็วก็กัดฟันเอ่ยขึ้น
“ดีมาก หวังว่าท่านจะจำคำนี้ไว้” คนชุดเทาที่เป็นหัวหน้าหัวเราะร่า แล้วขยับแขนครั้งหนึ่งกรีดข้อมืออีกข้างหนึ่งทันที หลังจากเลือดสีดำแดงไหลรินลงมา เขาก็สาบานหนักแน่นต่อนามแห่งจอมมาร สัญญาว่าหากผิดต่อคำสาบานนี้ ตนเองจะกลายเป็นเครื่องสังเวยแด่จอมมาร
มนุษย์ปีศาจชุดเทาหกคนที่เหลือข้างกายเขาก็สาบานหนักแน่นต่อนามแห่งจอมมารอย่างพร้อมเพรียงเช่นเดียวกัน
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็อึมครึม ครู่หนึ่งให้หลังถึงอ้าปากเอ่ยอีกว่า
“ในเมื่อข้ารับปากจะเคลื่อนไหวด้วยกันกับพวกเจ้าแล้ว ตอนนี้ก็บอกข้าได้แล้วกระมังว่าในซาก โบราณสถานมีสมบัติอันใดอยู่แล้วจะแบ่งผลประโยชน์ด้านในกันอย่างไร ข้าหวังว่าจะตกลงเรื่องนี้ให้เรียบร้อยก่อน”
“ได้! สหายตรงไปตรงมาดี! แต่อันที่จริงเรื่องสมบัติในซากโบราณสถานแห่งนี้ข้าก็ไม่มีสิ่งใดจะบอกเช่นกัน พวกเรารู้เพียงว่าด้านในมีสมบัติล้ำค่ามากมาย แต่ไม่ทราบว่าแท้จริงเป็นสิ่งใด ส่วนจะแบ่งสรรอย่างไร ในเมื่อพวกเรามีเจ็ดคน เจ้าคนเดียว ถ้าเช่นนั้นเจ้าก็เอาไปหนึ่งในแปดส่วน คงไม่นับว่าเอาเปรียบเจ้า” บุรุษชุดเทาที่เป็นหัวหน้าเอ่ยขึ้นเชื่องช้า
“หนึ่งในแปดส่วนน้อยเกินไปสักหน่อย! ข้าต้องการหนึ่งในสามส่วน”
ในเมื่ออีกฝ่ายเป็นฝั่งเสนอให้ร่วมมือย่อมบ่งบอกว่าต้องการตนจริงๆ หลังจากใคร่ครวญอยู่พักหนึ่งหลิ่วหมิงจึงต่อรองราคาอย่างใจกล้า
“หนึ่งในสามออกจะมากเกินไปกระมัง! ข้าตัดสินใจ ยอมให้เจ้าหนึ่งในสี่ส่วนเป็นอย่างไร มากกว่านี้ไม่มีทางเป็นไปได้เด็ดขาด” สองตาสีฟ้าครามของบุรุษชุดเทาทอแสงเจิดจ้าวูบหนึ่งแล้วจึงเอ่ยปากเช่นนี้
มนุษย์ปีศาจอีกหกคนข้างตัวเขาก็พากันพยักหน้า มองหลิ่วหมิงด้วยสายตาเย็นชาเช่นเดียวกัน
“ได้ ถ้าเช่นนั้นก็หนึ่งในสี่!” หลังจากหลิ่วหมิงใคร่ครวญเล็กน้อยก็ตอบตกลง
“ดียิ่ง งานไม่สมควรชักช้า ถ้าเช่นนั้นก็ตามพวกเรามาเถอะ!”
บุรุษชุดเทาที่เป็นหัวหน้าแสดงสีหน้าพึงพอใจแล้วสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่ง ปราณดำที่พลุ่งพล่านทั่วร่างลุกโหมขึ้นมา
ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเมฆมารก้อนใหญ่ก็ปรากฏขึ้นกลางอากาศล้อมคนทั้งหมดไว้ด้านใน สายลมแรงสายหนึ่งแหวกท้องฟ้าไปทางทิศตะวันออก
ด้านในเมฆมารหลิ่วหมิงรักษาระยะห่างจากมนุษย์ปีศาจทั้งหลายอย่างตั้งใจแต่ก็เหมือนไม่ได้ตั้งใจ
แม้จะสาบานต่อจอมมารแล้ว อีกทั้งก่อนหน้าเข้าไปในซากโบราณสถาน คนเหล่านี้ไม่น่าจะบุ่มบ่ามลงมือกับเขา แต่เรื่องใดๆ ก็ตามระวังไว้ก่อนย่อมเป็นดี
บุรุษชุดเทาที่เป็นหัวหน้ากลับแปลกใจอยู่บ้างเมื่อหลิ่วหมิงอยู่ในเมฆมารแต่กลับไม่ได้รับผลกระทบแม้แต่น้อย เขาจึงถามขึ้นมาเหมือนไม่ได้ตั้งใจว่าก่อนหน้านี้หลิ่วหมิงเคยฝึกฝนวิชามารหรือไม่
เรื่องนี้หลิ่วหมิงย่อมหัวเราะกลบเกลื่อนไป นอกจากยอมรับว่าตนเป็นศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ตอนเขาจี้ถามซ้ำไปมาก็ไม่เปิดเผยอะไรอย่างอื่นอีก
แน่นอนหลิ่วหมิงย่อมไม่ปล่อยโอกาสไปเช่นกัน เขาสืบถามข้อมูลเกี่ยวกับแผ่นดินว่านหมัวและมนุษย์ปีศาจจากบุรุษชุดเทาผู้นี้ บุรุษชุดเทาผู้นี้ก็คล้ายไม่มีสิ่งใดปิดบัง บอกเล่าให้หลิ่วหมิงฟังอย่างเปิดเผย
แท้จริงแล้วแผ่นดินว่านหมัวในตำนานซึ่งมีชื่อเสียงเคียงคู่กับแผ่นดินจงเทียนแห่งนี้มีจุดที่แตกต่างจากแผ่นดินจงเทียนมากมาย สิ่งที่เด่นชัดที่สุดจุดหนึ่งก็คือมนุษย์ปีศาจบนแผ่นดินแห่งนั้นเรียกได้ว่าเป็นผู้ฝึกฝนกันถ้วนหน้า หรือก็คือทุกคนล้วนเป็นผู้ฝึกฝนสายปีศาจ
ส่วนไอปีศาจแท้ที่มีค่าอย่างที่สุดสำหรับวิชามาร กระทั่งบนแผ่นดินว่านหมัวเองก็ยังเป็นสิ่งที่หายากและล้ำค่าอย่างยิ่ง ทว่าเทียบกับบนแผ่นดินจงเทียนที่ไอปีศาจแท้แทบจะสาบสูญไปแล้ว ที่นั่นยังมีช่องทางไม่น้อยที่จะหามาได้
เพราะบนแผ่นดินว่านหมัวมี ‘แหล่งกำเนิดมาร’ ซึ่งเป็นหลุมลึกไร้ก้นขนาดใหญ่น้อยกระจายอยู่ทั่วดุจเม็ดหมากบนกระดาน แหล่งกำเนิดมารแต่ละแห่งล้วนมีไอปีศาจผุดออกมาไม่หมดไม่สิ้น ในหมู่ไอมารที่ออกมาจากแหล่งกำเนิดมาร จะมีไอปีศาจแท้จำนวนหนึ่งซึ่งระดับความบริสุทธิ์แตกต่างกันไปแทรกอยู่
แหล่งกำเนิดมารที่สร้างไอปีศาจแท้ออกมาเหล่านี้เรียกกันว่า ‘แหล่งกำเนิดมารแท้’ เรียกได้ว่าล้ำค่ายิ่งนัก
กลุ่มอำนาจใหญ่ต่างๆ บนแผ่นดินว่านหมัวล้วนใช้แหล่งกำเนิดมารเหล่านี้เป็นรากฐานเพิ่มพูนพลัง ยิ่งครอบครองแหล่งกำเนิดมารแท้มากก็ยิ่งแสดงว่ากลุ่มอำนาจแห่งนั้นแข็งแกร่ง
นอกจากนี้สิ่งที่มนุษย์ปีศาจกับเผ่ามนุษย์แตกต่างกันก็คือพวกเขาให้ความสำคัญกับสายเลือดอย่างยิ่ง ในกลุ่มอำนาจแต่ละแห่งมีเพียงสายเลือดบริสุทธิ์หรือผู้ที่มีพรสวรรค์ยอดเยี่ยมที่สุดเท่านั้นจึงจะมีโอกาสเข้าไปฝึกฝนดูดซับไอปีศาจแท้ที่ผุดออกมาไม่ขาดสายจากแหล่งกำเนิดมาร
ส่วนมนุษย์ปีศาจที่พรสวรรค์ย่ำแย่ที่เหลือส่วนใหญ่ล้วนต้องฝึกฝนกับไอปีศาจธรรมดา แน่นอนบางครั้งหากทำภารกิจของนิกายบางประการสำเร็จหรือบางครั้งอยู่ในตลาดก็มีโอกาสแลกไอปีศาจแท้มาได้เช่นกัน แต่ใช้ฝึกฝนก็มักจะน้อยเกินไป
หลิ่วหมิงฟังถึงตรงนี้ ในใจก็อดไม่ได้สะเทือนใจอยู่บ้าง การแบ่งแยกระหว่างศิษย์แกนนำกับศิษย์ธรรมดาของแผ่นดินว่านหมัวแห่งนี้คล้ายศิษย์สายนอกกับศิษย์สายในของนิกายบนแผ่นดินจงเทียนอยู่บ้าง แต่หากถูกจัดไปเป็นศิษย์วงนอกเพราะพรสวรรค์กับสายเลือด คิดว่าโอกาสจะพลิกชะตาก็คงเป็นเรื่องยากเย็นแสนเข็ญ
ในเวลาเดียวกันเขาก็อดไม่ได้คิดไปถึงมนุษย์ปีศาจเหล่านั้นที่ถูกขังอยู่ในฟองอากาศลึกลับ ในใจก็รู้สึกว้าวุ่นเล็กน้อย
ทั้งสองคนสนทนาถามตอบเรื่องราวบนแผ่นดินของแต่ละคนเช่นนี้ ส่วนมนุษย์ปีศาจหกคนที่เหลือกลับทำประหนึ่งไม่ได้ยินสิ่งเหล่านี้ แต่ละคนสนใจแต่จะหลับตาทำสมาธิ
แม้หลิ่วหมิงดูเหมือนจะสนทนากับบุรุษชุดเทาผู้นี้อย่างสนุกสนาน แต่จิตสัมผัสกลับไม่ผ่อนคลายลงเลย ตั้งแต่ต้นจนจบสังเกตความเปลี่ยนแปลงรอบด้านอยู่ตลอด
สิ่งที่ทำให้เขารู้สึกประหลาดใจก็คือตลอดทางที่เมฆมารก้อนนี้ผ่าน ปีศาจอสูรแต่ละชนิดล้วนหลบแทบไม่ทัน ไม่กล้าเข้าใกล้แม้แต่น้อย
เวลาเกือบครึ่งวันผ่านไปเร็วเหมือนชั่วพริบตา คณะเดินทางก็มาถึงเขตที่ไม่รู้จักแห่งหนึ่งอย่างรวดเร็วยิ่งนัก
เมื่อเมฆมารสลายไป ในที่สุดหลิ่วหมิงก็มองเห็นทิวทัศน์เบื้องหน้าชัดเจน
สิ่งที่สะท้อนเข้าสู่ม่านตาก็คือที่ราบกว้างใหญ่แห่งหนึ่ง บนผืนดินสีเหลืองนอกจากยอดเขาสูงพันกว่าจั้งลูกหนึ่งก็คือถ้ำมหึมาสีดำสนิทแห่งหนึ่งตรงตีนเขาซึ่งราวกับจะเชื่อมลงไปลึกใต้ดิน รอบถ้ำมีร่องรอยการโจมตีนานาชนิดสะเปะสะปะ
“ถึงกับมีคนชิงเข้าไปด้านในก่อนก้าวหนึ่งแล้วรึ! แต่เหมือนจะเข้าไปได้ไม่นานนัก พวกเราไป!” บุรุษชุดเทาที่เป็นหัวหน้าผู้นั้นมีสีหน้าตกตะลึงและโกรธเกรี้ยวเล็กน้อย เขาหันกลับมาพูดกับหลิ่วหมิงประโยคหนึ่งแล้วปราณดำทั่วร่างก็หอบเขาเหาะเข้าปากถ้ำไปทันที
หลิ่วหมิงสำรวจร่องรอยที่เป็นร่องลึกยาวร้อยกว่าจั้งเส้นหนึ่งใกล้ยอดเขาอย่างละเอียด จากนั้นหางตาก็กระตุกเล็กน้อยอย่างห้ามไม่ได้
เห็นชัดว่าปากถ้ำแห่งนี้เดิมทีถูกทับอยู่ใต้เขาลูกนี้ แต่ตอนนี้ถูกคนใช้กำลังเปิดออกอย่างง่ายดาย เห็นได้ว่าพละกำลังของผู้ที่ลงมือช่างมหาศาล
“สหายยังรอสิ่งใด พวกเราก็เข้าไปเถิด”
ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังตกตะลึงอยู่นั้น ด้านหลังก็มีเสียงเย็นชาเสียงหนึ่งดังขึ้น มนุษย์ปีศาจชุดเทาที่เหลืออยู่คนหนึ่งเอ่ยปากขึ้นมา
หลิ่วหมิงหันกลับไปมองมนุษย์ปีศาจที่เอ่ยวาจาครั้งหนึ่ง หลังจากนั้นจึงแค่นเสียงหยันแผ่วเบา ร่างกายพุ่งเข้าไปในถ้ำใหญ่ด้านล่างทันที
มนุษย์ปีศาจชุดเทาหกคนที่เหลือย่อมตามลงมาติดๆ