ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 911 หญิงสาวผู้ห่มอาภรณ์เต้นรำ
ตอนที่ 911 หญิงสาวผู้ห่มอาภรณ์เต้นรำ
ด้านในถ้ำใต้ดินคือทางเดินและบันไดหินคดเคี้ยวที่ทอดยาวลงไปเบื้องล่าง มันลึกกว่าที่คาดคิดไว้มากนัก
หลิ่วหมิงเดินไปราวหนึ่งมื้ออาหารจึงเดินมาสุดขั้นบันไดหิน เมื่อเบื้องหน้าสว่างขึ้น ถ้ำใต้ดินใหญ่หลายหมู่แห่งหนึ่งก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า
ลึกเข้าไปในถ้ำมองเห็นทางเดินหินสีเทาเส้นเล็กกว้างหนึ่งจั้งกว่าเส้นหนึ่งที่ไม่รู้มุ่งไปที่ใดอยู่เลือนราง ผนังถ้ำสองฝั่งคือก้อนหินระเกะระกะจำนวนหนึ่งกับพืชสีแดงที่สูงต่ำไม่เท่ากันอีกหลายต้น
ไม่รู้เหตุใดภายในถ้ำจึงมีแสงเรืองรองสีเขียวอ่อนปกคลุมอยู่ พวกมันสะท้อนบนพื้นถ้ำกลายเป็นลวดลายที่ส่องสว่าง หากไม่ได้เดินผ่านทางเดินหินลึกเช่นนั้นมาก่อนหน้านี้ คงไม่รู้สึกสักนิดว่าตนเองอยู่ลึกลงมาใต้ดินหลายร้อยจั้ง
หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่งก็เดินต่อไปตามทางเดินหินสีเทาเส้นเล็กเบื้องหน้า
ทางเส้นเล็กไม่ยาวนัก เขาใช้เวลาไม่ถึงครึ่งก้านธูปก็เดินมาจนสุดทาง
มนุษย์ปีศาจชุดสีเทาผู้เป็นหัวหน้าที่ลงมาก่อนกำลังยืนอยู่เบื้องหน้าประตูหินสีน้ำเงินที่ถูกทำลายบานหนึ่งสุดทางเดินเส้นเล็ก และกำลังสำรวจอะไรบางอย่างอยู่
ประตูหินสูงสามถึงสี่จั้ง กว้างราวสองจั้ง ตรงกลางถูกทำลายจนเป็นรูขนาดใหญ่หนึ่งจั้งกว่า ด้านบนส่วนที่เหลือยังเห็นลวดลายจิตวิญญาณรูปวงแหวนมากมายไม่น้อยได้อยู่ มันมีมากถึงเจ็ดวง เพียงแต่เวลานี้หมดสิ้นพลังจิตวิญญาณแล้ว
มนุษย์ปีศาจที่เป็นหัวหน้ากำลังใช้มือลูบลวดลายจิตวิญญาณรูปวงแหวนบนประตูเหล่านี้ ไอหมอกสีขาวเจือจางสายหนึ่งวนเวียนอยู่ตรงปลายนิ้วของเขา
ทันใดนั้นมนุษย์ปีศาจผู้นี้ก็ยกมือขึ้นมาไว้ตรงปลายจมูกเพื่อสูดดมกลิ่น คล้ายกับค้นพบอะไรบางอย่าง เขาไม่พูดกับหลิ่วหมิงแต่พุ่งทะลุผ่านจุดที่เสียหายของประตูหินไปทันที
หลังจากหลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง ร่างกายก็ขยับไม่กี่หนปรากฏตัวเบื้องหน้าประตูหินบ้าง สายตาเพ่งมองประเมินอยู่ครู่หนึ่งเช่นเดียวกัน
“เอ๋ นี่มัน…ชั้นจำกัดเจ็ดห่วงโซ่!”
ระหว่างลวดลายจิตวิญญาณรูปห่วงเจ็ดวงนั่นบนประตูยักษ์สีน้ำเงินเป็นร่องตื้นมากมายพาดตัดสลับกันซับซ้อน แต่ละวงซ้อนกันอยู่อย่างลี้ลับยิ่งนัก หากไม่ได้สำรวจอย่างละเอียดในระยะใกล้เช่นนี้แต่มองจากไกลๆ คงไม่สังเกตเห็นสักนิด
หลิ่วหมิงเคยอ่านตำราค่ายกลในหอเก็บคัมภีร์แล้วพบคำบอกเล่าเกี่ยวกับชั้นจำกัดโบราณชนิดนี้โดยบังเอิญ ค่ายกลนี้ประกอบไปด้วยชั้นจำกัดขนาดเล็กเจ็ดชั้น แต่เนื่องจากระหว่างชั้นจำกัดเจ็ดชั้นเชื่อมต่อถึงกันและสนับสนุนกันอยู่ ด้วยเหตุนี้พลังป้องกันจึงแข็งแกร่งอย่างยิ่ง มีเพียงผู้ที่ชำนาญค่ายกลเท่านั้นจึงจะแก้ความสัมพันธ์ระหว่างห่วงเจ็ดวงนี้แล้วทลายไปทีละวงตามลำดับที่กำหนดไว้ได้
หากมีคนคิดจะใช้กำลังหักหาญทำลายมัน เกรงว่าต่อให้เป็นผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์ก็ไม่ใช่จะทำได้ในชั่วครู่ชั่วยาม
ทว่าตอนนี้ประตูบานนี้ถูกคนใช้กำลังโจมตีจนเปิดออก นอกจากนี้ดูจากร่องรอยและปราณที่หลงเหลืออยู่บนพื้นผิวก็เหมือนจะเพิ่งเกิดขึ้นไม่นานก่อนหน้านี้ ทั้งยังลงมือทำลายเพียงคนเดียวอีกด้วย
“น่าสนใจทีเดียว ดูท่าคนที่เข้ามาที่แห่งนี้ก่อนคงไม่ธรรมดา” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยออกมาเช่นนี้
เขาไม่รอให้มนุษย์ปีศาจคนอื่นด้านหลังเอ่ยเร่งก็ขยับพุ่งเข้าไปในประตูหินเช่นกัน
เสียงแหวกอากาศ “ฟึบ” “ฟึบ” ดังขึ้นต่อเนื่อง
มนุษย์ปีศาจหกคนที่เหลือพากันขยับร่างพุ่งทะลุผ่านรูบนประตูตามหลิ่วหมิงไปติดๆ เช่นเดียวกัน
เห็นชัดมากว่าที่มนุษย์ปีศาจเหล่านี้ตามติดหลิ่วหมิงไม่ห่างสักก้าวก็เพื่อป้องกันไม่ให้เขาเปลี่ยนใจหนีไประหว่างทาง
เบื้องหลังประตูหินคือสถานที่ซึ่งดูเหมือนตำหนักใต้ดินแห่งหนึ่ง สิ่งแรกที่พบคือทางเดินยาวขนาบด้วยสายน้ำเส้นหนึ่ง สองฟากฝั่งของทางเดินคือม่านน้ำตกหินสีดำที่รูปแบบแลดูขัดกันยิ่งนักทอดยาวไปจนสุดปลายเบื้องหน้า กลางม่านน้ำตกสองฝั่งมีธารน้ำพุใสไหลร่วงลงมากระทบหินสีดำสูงต่ำไม่เท่ากันเบื้องล่างเกิดหยาดน้ำกระเซ็นแถบแล้วแถบเล่าไม่หยุด จุดที่หยาดน้ำสองฝั่งกระเซ็นตัดกันส่งเสียงหยาดน้ำกระทบกันเป็นจังหวะดุจเสียงดนตรีใสกังวาน มีมนต์เสน่ห์ไปอีกแบบ
หากเป็นเวลาปกติไม่แน่หลิ่วหมิงอาจหยุดชื่นชมสักพัก แต่ยามนี้เขาย่อมไม่มีอารมณ์เช่นนั้น หลังจากพลิ้วกายผ่านไปเขาก็ไล่ตามมาทันมนุษย์ปีศาจหัวหน้าที่อยู่สุดปลายทางเดินยาว
สุดปลายทางเดินยาวคือสระน้ำที่ค่อนข้างประหลาดแห่งหนึ่ง น้ำในสระมาจากน้ำตกสองฟากฝั่งทางเดิน
ทว่าเวลานี้น้ำในสระกลับมีผลึกสีขาวขนาดไม่เท่ากันลอยอยู่ผืนแล้วผืนเล่า ดูประหนึ่งคล้ายกลีบดอกบัวลอยกระจัดกระจายอยู่แถบแล้วแถบเล่า
“คิดไม่ถึงว่าค่ายกลบัวขาวเริงวารีนี่ก็ถูกมันทำลายไปแล้วเช่นกัน ดูท่าพวกเราต้องรีบแล้ว!” มนุษย์ปีศาจชุดเทาที่เป็นหัวหน้าเอ่ยนิ่งๆ ประโยคหนึ่งแล้วกลายเป็นเมฆดำเหาะผ่านสระน้ำไปทันที
ค่ายกลที่มนุษย์ปีศาจผู้นี้เอ่ยถึง หลิ่วหมิงไม่เคยได้ยินมาก่อน หลังจากมองสระน้ำอย่างเร่งรีบครั้งหนึ่งเขาก็กลายเป็นแสงสีดำเหาะผ่านด้านบนไปทันทีด้วยเช่นกัน
จากนั้นคณะเดินทางของหลิ่วหมิงก็ผ่านค่ายกลและชั้นจำกัดอันลี้ลับติดกันอีกสามแห่ง แต่ชั้นจำกัดเหล่านี้กลับถูกคนทำลายไปแล้วทุกแห่งไม่มียกเว้น
หลังจากนั้นไม่นานนัก ในที่สุดหลิ่วหมิงกับมนุษย์ปีศาจทั้งหลายก็ออกจากตำหนักมาถึงปากทางเข้าหุบเขาใต้ดินแห่งหนึ่งบริเวณใกล้ๆ
หลิ่วหมิงขมวดคิ้วเล็กน้อย เขาสัมผัสได้แต่ไกลว่าลึกเข้าไปในหุบเขามีคลื่นพลังจิตวิญญาณผะแผ่วสายหนึ่งลอยออกมา กลิ่นอายแข็งแกร่งยิ่งนัก คล้ายคลึงกับที่หลงเหลืออยู่บนประตูหินสีน้ำเงินก่อนหน้านี้อยู่บ้าง
มนุษย์ปีศาจทั้งหลายที่มีบุรุษชุดเทาเป็นหัวหน้าก็สัมผัสได้เช่นเดียวกันว่าด้านในหุบเขามีคนอยู่ พวกเขามองหน้ากันครั้งหนึ่งแล้วทยอยกันยกสองแขนตั้งหน้าร่าง ทำท่ามืออันลึกลับอย่างที่สุดท่าหนึ่ง
ทันใดนั้นรอบร่างของทั้งเจ็ดคนก็มีไอหมอกสีเทาดำสายแล้วสายเล่าลอยปกคลุม กลายเป็นสายลมสีเทาประหลาดสายแล้วสายเล่าพัดหายไปจากที่เดิมอย่างเงียบเชียบ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้มือข้างหนึ่งก็ตบหัวไหล่ กระตุ้นวิชาลับภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนแล้วเก็บซ่อนกลิ่นอายแอบลอบเข้าไปต่ออย่างเงียบเชียบเช่นเดียวกัน
เขตนี้ไม่ใหญ่ หลังจากข้ามเนินดินลูกเล็กที่ไม่นับว่าสูงนักลูกหนึ่ง สภาพด้านในหุบเขาทั้งหมดก็ปรากฏแก่สายตา
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองแวบเดียว ดวงตาก็เปล่งประกาย
สุดปลายหุบเขาที่อยู่ห่างไปหลายร้อยจั้งมีป้ายหินขนาดยักษ์สูงราวสามสี่จั้งแผ่นหนึ่งตั้งขวางหนทางไปต่อไว้ บนแผ่นป้ายทอแสงสีน้ำเงินเข้มอยู่เลือนราง เมื่ออยู่ในโลกใต้ดินอันมืดสลัวแห่งนี้แลดูค่อนข้างสะดุดตา
หน้าป้ายหินมีร่างของสตรีสาวผู้งดงามห่มอาภรณ์สีแดง มองเห็นใบหน้าไม่ชัดคนหนึ่งอยู่ สองมือของนางกำลังสร้างยันต์แวววาวตัวแล้วตัวเล่าส่งเข้าไปในป้ายเบื้องหน้าไม่หยุด
แสงสีน้ำเงินบนผิวป้ายหินกะพริบวูบวาบเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวหม่นพร้อมกับที่ยันต์จมเข้าไป
ดวงตาของหลิ่วหมิงฉายแววตาเข้าใจจางๆ คนผู้นี้จะต้องเป็นผู้ที่ทำลายชั้นจำกัดหลายอันติดกันมาตลอดทางนี้แน่ และป้ายหินที่ทอแสงสีน้ำเงินขมุกขมัวแผ่นนี้ตรงหน้าคนผู้นี้ก็เห็นชัดว่าเป็นชั้นจำกัดอีกชั้นหนึ่ง
เขาเคลื่อนสายตาอีกครั้งก็พบว่าบนเส้นทางสู่สุดปลายหุบเขากำลังมีหมอกสีเทาดำสายแล้วสายเล่าลอยละล่องไปรวมตัวกันเบื้องหน้าอย่างเงียบเชียบ
ในใจเขาฉุกคิดอะไรได้จึงไม่ขยับไปด้านหน้าต่อแต่ยืนนิ่งอยู่บนเนินดินเช่นนี้ มองทุกสิ่งด้านหน้า
เมื่อไอหมอกสีเทาดำเหล่านี้ลอยมาห่างจากร่างอรชรไม่ถึงร้อยจั้ง ทันใดนั้นมันก็เพิ่มความเร็วแล้วพัดไปข้างหน้าล้อมสตรีอาภรณ์แดงไว้ ก่อนจะหมุนรวดเร็วกลายเป็นเงาสีเทาเจ็ดร่าง
พวกเขาก็คือมนุษย์ปีศาจทั้งเจ็ดคน!
หลังจากทั้งเจ็ดคนปรากฏกายก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นพร้อมกันอย่างเข้าขายิ่งนัก ปราณสีเทาเจ็ดลูกพุ่งออกจากกลางฝ่ามือในพริบตาแล้วหมุนวนกลางอากาศอย่างรวดเร็ว ก่อตัวเป็นเชือกสีเทาหนาเท่าแขนเส้นแล้วเส้นเล่า พุ่งเร็วรี่เข้าใส่หญิงสาว
สตรีที่ถูกล้อมปฏิกิริยาว่องไวอย่างที่สุด พริบตาที่ทั้งเจ็ดคนปรากฏตัว นางพลันหยุดเคล็ดวิชาที่มือราวกับรับรู้อยู่ก่อนแล้ว หลังจากตวาดเสียงหวานครั้งหนึ่ง อาภรณ์สีแดงบนร่างก็ลอยออกจากร่างประหนึ่งหมอกควัน ก่อตัวเป็นพายุหมุนสีแดงเส้นผ่านศูนย์กลางหนึ่งจั้งลูกหนึ่ง หุ้มทั้งร่างไว้ด้านใน
ชั่วขณะหนึ่งเสียงอสนีบาตคำรามดังลั่นขึ้นกลางพายุหมุน
เสียง “ฟู่” “ฟู่” หนักหน่วงดังออกมา!
โซ่ที่ก่อตัวจากไอปีศาจสีเทาเจ็ดสายสัมผัสถูกพายุหมุนสีแดงสดตรงกลางเพียงเล็กน้อยก็พังทลายลงทีละท่อนกลายเป็นไอสีเทาสายแล้วสายเล่า ไม่อาจรุกคืบเข้าไปในพายุหมุนได้แม้แต่นิด
“เหอะ! มนุษย์ปีศาจกระจอกถึงกับกล้าลอบจู่โจมข้า!” เสียงใสของสตรีดังออกมาจากกลางพายุหมุนสีแดงสด
เสียงพูดเพิ่งจบลง ทันใดนั้นพายุหมุนสีแดงก็ขยายออกมาด้านนอก ดูท่าทางเหมือนกับว่าจะรวบมนุษย์ปีศาจที่ลอบโจมตีนางทั้งเจ็ดคนเข้าไปด้านในทั้งหมด
มนุษย์ปีศาจเหล่านั้นเหมือนจะคาดเดาได้อยู่แล้วว่าไม่มีทางโจมตีครั้งเดียวสำเร็จ จึงไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจออกมา ตรงกันข้ามกลับพากันประกบมือทั้งสองข้างอย่างไม่รีบร้อนไม่ลนลาน ไอปีศาจสีเทาทั้งเจ็ดร่างเคลื่อนไหวไม่หยุด
จากนั้นทั้งเจ็ดคนก็ยื่นแขนข้างซ้ายออกมาคว้าไปกลางอากาศอย่างพร้อมเพรียง ไอปีศาจสีเทาเข้มข้นเจ็ดสายพุ่งออกมาจากตรงกลาง
หลังจากที่ไอปีศาจด้านหลังโถมเข้าไป ไอปีศาจสายแล้วสายเล่าที่พังทลายและกำลังจะถูกพายุหมุนสีแดงสดพัดกระจายไปเหล่านั้นฉับพลันทันใดก็รวมตัวกันอีกครั้ง ชั่วครู่ให้หลังก็กลายเป็นกรงเล็บมารสีเทาขมุกขมัวขนาดหลายจั้งหลายข้างตะปบไปตรงกลางในทันใด
พายุหมุนสีแดงสดที่ล้อมสตรีนางนี้อยู่ราวกับไม่มีกำลังต้านทานกรงเล็บมารเจ็ดข้างนี้แม้แต่น้อย หลังจากเสียง “ฟึบ” ดังขึ้นครั้งหนึ่งก็ปล่อยให้มันทะลวงตรงเข้ามาในทันที!
บนใบหน้าของมนุษย์ปีศาจเจ็ดคนนั้นฉับพลันเผยรอยยิ้มประหลาดเหมือนกันออกมา
หลิ่วหมิงพรั่นพรึงเล็กน้อย รู้สึกแปลกอยู่เลือนราง
ทว่าจากนั้นภาพที่คิดไม่ถึงก็บังเกิดขึ้น!
พายุหมุนสีแดงสดที่เดิมทีขยายใหญ่ไม่หยุดนั่น หดเข้าไปตรงกลางอย่างรวดเร็ว ทั้งยังหมุนเร็วขึ้นกว่าเดิม
พร้อมกับที่เสียงหนักหน่วงดังขึ้นหลายครั้ง แสงสีแดงกลางอากาศพลันสว่างจ้าขึ้นวูบหนึ่งแล้วดับลงอย่างเร็วไว เผยร่างคนที่อยู่ด้านในออกมา
กรงเล็บมารสีเทาขมุกขมัวเจ็ดข้างที่จมเข้าไปด้านในนั่นหายไปไร้ร่องรอย
นี่ทำให้มนุษย์ปีศาจทั้งเจ็ดมองหน้ากันด้วยความตะลึงงัน พวกเขามองไปตรงกลางอย่างไม่อยากเชื่ออยู่บ้าง
หลิ่วหมิงก็เพ่งสายตามองไปดุจเดียวกัน
แล้วเขาก็เห็นหญิงสาวเรือนร่างสะโอดสะองอรชรคนหนึ่งกำลังยืนสง่างามอยู่ตรงกลางระหว่างมนุษย์ปีศาจเจ็ดคน
สิ่งที่มือข้างหนึ่งของสตรีนางนี้ถืออยู่ก็คืออาภรณ์สีแดงผืนนั้นที่เคยสวมอยู่บนร่างก่อนหน้านี้ ส่วนบนร่างมีชุดนางในสีขาวที่ไม่เปื้อนฝุ่นสักเม็ดอีกตัวหนึ่ง เส้นผมนุ่มสลายยาวจรดเอวเหมือนม่านน้ำตกคลุมแผ่นหลัง ฟันขาวดวงตาสุกใส ดวงหน้าดั่งหยกขาว ใบหน้างามล้ำล่มเมืองของนางไม่ด้อยกว่าเจียหลานผู้ครอบครองร่างจิตวิญญาณมายาสวรรค์แม้แต่น้อย
สิ่งที่ทำให้หัวใจหลิ่วหมิงกระตุกดังตึกตักก็คือหน้าตาของนางงดงามเยือกเย็น ให้ความรู้สึกคล้ายกับเย่เทียนเหมยอยู่หลายส่วน ทว่ามีกลิ่นอายความเยาว์วัยสอดแทรกอยู่บ้างจึงทำให้นางมีเสน่ห์ที่บรรยายไม่ถูกเพิ่มขึ้นมา
ในเวลานี้เองมนุษย์ปีศาจทั้งเจ็ดคนก็คำรามเบาๆ พร้อมกัน มือข้างหนึ่งตะปบใส่ความว่างเปล่าอีกครั้ง
เสียง “บึ๊ม” ดังขึ้นหลายหน
สายลมสีดำเจ็ดสายพัดเสียงดังหวีดหวิดจากทั่วทุกสารทิศออกห่างจากสตรีนางนี้เพียงไม่กี่จั้ง หลังจากเสียงหนักหน่วงครั้งหนึ่งฉับพลันก็กลายเป็นหนอนตัวเล็กสีดำเต็มท้องฟ้าพุ่งเข้าใส่สตรีนางนี้อย่างมืดฟ้ามัวดิน
หนอนมารเหล่านี้แต่ละตัวขนาดเพียงหนึ่งชุ่นกว่า ร่างกายเหมือนดักแด้ของหนอนไหม ทั่วร่างปราณดำเวียนวน บนหัวมีดวงตาขนาดเท่าถั่วเหลืองสี่ข้าง เขี้ยวโง้งคู่หนึ่งยาวออกมาข้างนอกประดุจคีม หน้าตาดุร้ายยิ่งนัก