ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 913 ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง
ตอนที่ 913 ปีศาจจิ้งจอกเก้าหาง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ หัวใจก็เต้นระทึก ก้นบึ้งหัวใจรู้สึกถึงอันตรายยิ่งยวดในทันที เขาคิดก็ไม่คิดร่างกายขยับวูบเดียวพุ่งถอยออกไปด้านหลัง
ในเวลาเดียวกันนี้ทั่วร่างของหญิงสาวในคุกสีดำก็เปล่งแสงสีขาวแสบตาออกมา ร่างของนางเลือนหายไปชั่วครู่จากนั้นกลับกลายเป็นปีศาจจิ้งจอกสีขาวดุจหิมะตัวหนึ่งที่ถูกโซ่มารมัดไว้
สตรีนางนี้เป็นผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจคนหนึ่งจริงๆ
ยังไม่ทันที่มนุษย์ปีศาจทั้งหลายจะได้คิดใช้วิชา เสียงดังสนั่นประหนึ่งแผ่นดินไหวขุนเขาสั่นคลอนก็ดังขึ้น คุกสีดำทั้งหมดถูกแสงสีขาวนับไม่ถ้วนสาดส่องจนระเบิด พร้อมกันนั้นคลื่นปราณน่าหวาดกลัวสายหนึ่งก็ซัดออกมาอย่างรุนแรง
มนุษย์ปีศาจทั้งเจ็ดรวมทั้งบุรุษชุดเทาพากันถอยหลังดังตึงๆ สิบกว่าก้าวกว่าจะหวุดหวิดตั้งร่างมั่นคงได้
ในเวลาเดียวกันนี้ปราณปีศาจสีเทาขมุกขมัวสายหนึ่งก็พัดผ่านไป ที่เดิมนั้นเหลือเพียงจิ้งจอกยักษ์สีขาวดุจหิมะตัวหนึ่งที่ด้านหลังมีหางเส้นหนาเท่าแขนเก้าเส้นโบกสะบัดตามลม ทั่วทั้งร่างมีเพลิงสีขาวห้อมล้อม
โซ่มารสีดำที่เดิมทีมัดมันอยู่หายไปอย่างไร้ร่องรอย
ดวงตาทั้งสองข้างของปีศาจจิ้งจอกเต็มไปด้วยแววตาเย็นชาเฉกเช่นเดียวกับหญิงสาวผู้สวมชุดนางในอย่างไม่ผิดเพี้ยน เมื่อมันปรากฏตัวขึ้น สายตาก็มองมาตรงที่หลิ่วหมิงอยู่
ก่อนหน้านี้สตรีผู้นี้ก็พลังระดับแก่นแท้ขั้นต้นอยู่แล้ว แต่ดูจากปราณปีศาจที่แผ่ออกมาจากบนร่างของนางยามนี้ เวลาเพียงครู่เดียวพลังกลับเพิ่มพรวดไปถึงระดับแก่นแท้ขั้นสมบูรณ์แบบ นี่ทำให้หลิ่วหมิงกับมนุษย์ปีศาจทั้งเจ็ดคนหน้าถอดสีทันที
ต้องรู้ว่าแดนลึกลับเศษซากแห่งโลกบนนี่ไม่ยินยอมให้ผู้ที่มีพลังสูงกว่าระดับแก่นแท้เข้ามา สตรีนางนี้อาศัยเพียงระดับพลัง เวลานี้ก็เป็นบุคคลที่อยู่บันไดขั้นบนสุดในแดนลึกลับเศษซากแห่งโลกบนแห่งนี้แล้ว นางอยู่ห่างจากระดับดาราพยากรณ์อีกเพียงก้าวเดียว เมื่อรวมกับที่นางเป็นเผ่าปีศาจ กายเนื้ออันแข็งแกร่งยิ่งทำให้นางเป็นผู้ที่เหนือกว่าคนระดับเดียวกัน
มนุษย์ปีศาจชุดเทาที่เป็นหัวหน้าตกตะลึง ความคิดหมุนเร็วไว ทันใดนั้นเขาก็อ้าปากพ่นอาวุธจิตวิญญาณระฆังน้อยที่ทอแสงสีน้ำเงินเรืองรองชิ้นหนึ่งออกมา
หลิ่วหมิงเองก็ลูบฝักกระบี่ที่ซ่อนอยู่ข้างเอวอย่างไม่รู้ตัว
สถานการณ์เช่นนี้ หากไม่ใช้ลูกเล่นทั้งหมดที่มี เกรงว่าคงจะโชคร้ายมากกว่าโชคดีแล้วจริงๆ
ทว่าไม่ทันที่ทั้งสองคนจะได้เคลื่อนไหวก้าวต่อไป ปีศาจจิ้งจอกสีขาวก็พลันกระโดดจากที่เดิม ร่างกายเลือนหายไปกลางอากาศอย่างกะทันหัน
ครู่ต่อมาเงาสีขาวก็ปรากฏกายขึ้นเบื้องหน้ามนุษย์ปีศาจผู้เป็นหัวหน้า เสียง “ปัง” ดังขึ้นครั้งหนึ่งทั้งร่างของเขาก็ปลิวออกไปประหนึ่งถุงกระสอบ ไม่ทันกระตุ้นระฆังน้อยสีเงินในมือให้ทำงานแม้แต่น้อย
เงาสีขาวขยับไหวอีกวูบหนึ่งก็หายไปไม่เห็นอีกครั้ง
ต่อจากนั้นเสียง “ปัง” “ปัง” ก็ดังขึ้นอย่างต่อเนื่องตรงนั้นตรงนี้!
มนุษย์ปีศาจที่เหลือหกคนทยอยถูกโจมตีปลิวไปอย่างไม่มีกำลังตอบโต้แม้แต่น้อยเช่นเดียวกัน
พริบตาเดียวมนุษย์ปีศาจระดับแก่นเสมือนเจ็ดคนก็นอนกองระเนระนาดอยู่บนพื้นกันหมด หน้าอกยุบลึกเข้าไปเป็นรอยใหญ่ราวกับถูกสิ่งที่ใหญ่ยักษ์โจมตีอย่างหนักหน่วง ร่างกายถูกเส้นสีขาวเส้นแล้วเส้นเล่ารัดไว้ ไม่อาจกระดิกได้แม้แต่น้อย
เวลานี้เงาสีขาวก็ขยับวูบหนึ่งกลางอากาศ จิ้งจอกขาวเก้าหางตัวนั้นปรากฏกายขึ้นอีกครั้ง ทั้งยังมองมายังหลิ่วหมิงด้วยสายตาเย็นยะเยือก
หลิ่วหมิงเคร่งเครียด ขณะที่กำลังจะขยับนั่นเอง ในหูพลันได้ยินเสียงเย็นชาของหญิงสาวดังขึ้น
“มนุษย์ อย่าขยับ มิเช่นนั้นอย่าหาว่าข้าไม่เกรงใจ!”
หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขายืนอยู่ที่เดิมไม่ขยับจริงๆ
เวลานี้เองปีศาจจิ้งจอกเก้าหางก็เก็บปราณปีศาจทั่วร่างไป ร่างกายพร่าเลือนวูบหนึ่งก็กลายเป็นร่างมนุษย์ใหม่อีกหน พร้อมกันนั้นแสงเรืองรองสีแดงแถบหนึ่งบนท้องฟ้าก็ร่วงลงมาห่มบนร่างของนาง อาภรณ์สีแดงชิ้นนั้นก่อนหน้านี้นั่นเอง
“ดูท่าแปลงกายกลับร่างเดิมจะกินพลังเจ้ามากอย่างที่สุดเช่นกัน สหายหลิ่วไม่ต้องหวาดกลัว หากพวกเราร่วมมือกัน ไม่แน่ว่าจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของนาง…” แม้มนุษย์ปีศาจที่เป็นหัวหน้าจะกระดิกไม่ได้อยู่บนพื้น แต่ใบหน้ากลับเผยสีหน้าโหดเหี้ยมคำรามเบาๆ มาทางหลิ่วหมิง
“พูดจาวางโตไม่อาย!”
ยังไม่ทันที่เขาจะยืนมั่นคง หญิงสาวผู้สวมชุดนางในก็ยกมือขึ้น พายุปีศาจสีขาวรุนแรงหอบหนึ่งพัดหวีดหวิวออกไปโจมตีบุรุษชุดเทาจนปลิวออกไปอีกครั้งพร้อมเสียงดังกึกก้อง ร่างของเขากระแทกบนหน้าผาด้านหนึ่งอย่างหนักหน่วง
ครั้งนี้ต่อให้เป็นมนุษย์ปีศาจผู้เป็นหัวหน้าก็กระอักเลือดออกมาหลายคำ ชั่วขณะหนึ่งไม่อาจเอ่ยวาจาได้
“ข้าขอแนะนำพวกเจ้าให้ว่าง่ายอยู่นิ่งๆ ถึงข้าจะไม่สนใจสังหารผู้อ่อนแออย่างพวกเจ้าแม้แต่น้อย! แต่ในเมื่อลงมือลอบโจมตีข้า เรื่องนี้ย่อมไม่จบง่ายๆ” สตรีผู้สวมชุดนางในเอ่ยอย่างดูแคลนเล็กน้อย
“อ้อ ท่านเซียนหมายความว่า…” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เปลี่ยนสีหน้าแล้วเอ่ยปากขึ้น
“ชั้นจำกัดที่นี่ค่อนข้างยุ่งยาก ถึงข้าคนเดียวจะทำลายได้ แต่ก็คงเสียเวลาไม่น้อย หากพวกเจ้าช่วยข้าเอาสมบัติชิ้นหนึ่งในโบราณสถานมาได้ ข้าก็จะพิจารณาปล่อยพวกเจ้าไป หากไม่ยอม ถ้าเช่นนั้นข้าก็ไม่ถือสาหากจะโยนพวกเจ้าเข้าไปในชั้นจำกัดด้านหน้าแล้วปล่อยให้พวกเจ้าดับสูญไปเอง” สตรีสาวกวาดสายตามองคนทั้งหมดอย่างเย็นชา จากนั้นเอ่ยด้วยใบหน้าไร้อารมณ์
“ในเมื่อเจ้าตามหาที่นี่จนพบก็คงรู้สภาพข้างในอยู่บ้าง แต่ไม่รู้ว่าเมื่อครู่เจ้าพูดความจริงหรือไม่? หากต้องการสมบัติเพียงชิ้นเดียวจริง พวกเราก็คงไม่จำเป็นต้องสู้กัน?” ในที่สุดมนุษย์ปีศาจที่เป็นหัวหน้าก็เรียกความเยือกเย็นกลับมาได้บางส่วนแล้วเอ่ยขึ้นมา
“พวกเจ้ามนุษย์ปีศาจช่างโอหังจริงแท้ จนถึงตอนนี้ยังกล้าเอ่ยวาจาเช่นนี้ต่อหน้าข้า! ข้าพูดชัดเจนยิ่งนักแล้วว่าเมื่อหาของที่ตนเองต้องการพบก็จะจากไป สมบัติที่เหลือหากพวกเจ้าต้องการก็อาศัยความสามารถไปเอามา ข้าจะไม่ขัดขวาง ส่วนจะเชื่อหรือไม่ก็แล้วแต่พวกเจ้า!” หญิงสาวผู้สวมชุดนางในเอ่ยอย่างเสียดสีเล็กน้อยแล้วดีดมือข้างหนึ่ง
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง!
ยันต์สีเงินแผ่นแล้วแผ่นเล่าพุ่งรวดเร็วออกมา โฉบวูบเดียวก็จมเข้าไปในร่างของมนุษย์ปีศาจทั้งเจ็ดคน คล้ายจะวางชั้นจำกัดบางประเภทไว้
หลิ่วหมิงก็ไม่ได้รับการยกเว้น มียันต์สีเงินแผ่นหนึ่งพุ่งรวดเร็วมาดุจเดียวกัน
หลิ่วหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็หัวเราะฝืดเฝื่อนครั้งหนึ่งแล้วยอมรับมาแต่โดยดี
หลังจากเห็นพลังอันน่าหวาดกลัวของสตรีสาวเผ่าปีศาจผู้นี้ เขาย่อมไม่คิดว่าการหลบจะเป็นทางเลือกที่ฉลาด
ผลที่ตามมาคือเขารู้สึกถึงความเย็นสบายสายหนึ่งทะลักเข้ามาจากจุดที่ยันต์สีเงินจมลงไป ปราณทั้งร่างฉับพลันเพิ่มพูนขึ้นหลายส่วน ทว่าหัวใจกลับเจ็บแปลบเล็กน้อยคล้ายกับถูกสลักบางสิ่งเอาไว้
หลิ่วหมิงใช้จิตสัมผัสกวาดมองสภาพในร่างทันที เขาค้นพบว่าในทะเลจิตวิญญาณมียันต์ประหลาดสีเงินอ่อนแผ่นหนึ่งกำลังหมุนอย่างเชื่องช้า แผ่ปราณปีศาจประหลาดสายหนึ่งออกมา
“พวกเจ้าไม่ต้องคิดมากอันใด ยันต์จิตวิญญาณปีศาจนี่จะช่วยฟื้นพลังเวทให้พวกเจ้า แต่ในยันต์มีวิญญาณปีศาจของข้าอยู่เสี้ยวหนึ่งจึงเชื่อมต่อกับจิตใจของข้าอยู่ หากพวกเจ้าไม่เชื่อฟังจะมีผลอย่างไร คงไม่ต้องให้ข้าพูดมาก เอาล่ะ ตอนนี้พวกเจ้าไปเปิดชั้นจำกัดบนป้ายหินแผ่นนั้นก่อน” หญิงสาวผู้สวมชุดนางในอธิบายหลายประโยคจบก็สั่งพวกหลิ่วหมิงอย่างไม่เกรงใจสักนิด จากนั้นนางก็ทำท่าเคล็ดวิชาด้วยมือข้างหนึ่ง เส้นสีขาวบนร่างมนุษย์ปีศาจเจ็ดคนสลายหายไปกับความว่างเปล่า
มนุษย์ปีศาจหลายคนสีหน้าทะมึนทันทีจากนั้นจึงพากันลุกขึ้น แต่ละคนกินโอสถลงไปอย่างเร็วไว
หลังจากมนุษย์ปีศาจผู้เป็นหัวหน้าดวงตาโชนแสงส่งกระแสจิตหารือกับคนอื่นอยู่หลายประโยค เขาก็พามนุษย์ปีศาจคนอื่นเดินไปหาป้ายหินขนาดมหึมา
หญิงสาวผู้สวมชุดนางในนั่งขัดสมาธิอยู่ที่เดิมอย่างไม่เกรงใจ ท่าทางราวกับจะนั่งรอคนอื่นทำลายชั้นจำกัด
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองบนร่างหญิงสาวที่นั่งขัดสมาธิอยู่รอบหนึ่งถึงเดินไปยังป้ายหิน สองตาหรี่ลงสำรวจจากบนจรดล่างไม่หยุด
ผิวของป้ายหินขนาดมหึมายังคงมีม่านแสงสีน้ำเงินเข้มอยู่ชั้นหนึ่ง และมีร่องกว้างหนึ่งฉื่อกว่าเรียงแถวแนวตั้งอยู่แปดเส้น สุดปลายร่องสลักภาพลวดลายจิตวิญญาณแปดเหลี่ยมประหลาดภาพหนึ่งอยู่ ตรงมุมทั้งแปดสลักดวงตาไว้แปดดวง แต่ดวงตาทั้งแปดดวงนี้มีทั้งใหญ่ทั้งเล็ก ดวงที่ใหญ่ดุจดวงตาวัว ดวงที่เล็กกลับเท่าเมล็ดถั่วเขียว รูปร่างแตกต่างกันไป แต่ละดวงล้วนไม่เหมือนกัน
หลิ่วหมิงเห็นภาพแปดเหลี่ยมภาพนี้ ในใจก็ฉุกคิดถึงบางอย่าง รู้สึกว่าตนเองเคยอ่านพบในตำราเล่มไหนสักเล่ม แต่ชั่วขณะยังนึกไม่ออก
เวลานี้เองร่องที่สามจากทางซ้ายก็ถูกแสงจิตวิญญาณแวววาวถมจนเต็ม ส่วนภาพดวงตาตรงมุมที่สามของภาพลวดลายจิตวิญญาณแปดเหลี่ยมด้านบนก็เปล่งแสงจิตวิญญาณแวววาวออกมาดุจเดียวกัน
“เหมือนว่าจะต้องกรอกพลังเวทเข้าไปในร่องเหล่านี้ไม่หยุด จุดให้ภาพดวงตาเหล่านี้ส่องสว่างถึงจะแก้ได้” มนุษย์ปีศาจที่เป็นหัวหน้ามองอยู่ครู่หนึ่งก็เอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า
มนุษย์ปีศาจที่เหลืออีกหกคนไม่พูดไม่จา คล้ายกับว่าเห็นด้วยกับการตัดสินใจของคนผู้นี้
แม้แต่หลิ่วหมิงก็คิดเช่นนี้เหมือนกัน ทว่าในใจกลับรู้สึกอยู่เลือนรางว่าบางสิ่งไม่ถูกต้อง แต่ยามนี้เขาก็บอกเหตุผลอะไรไม่ได้
“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเช่นนั้นก็อย่าชักช้าเสียเวลา สหายหลิ่วรับผิดชอบด้านขวาสุด ที่เหลือปล่อยให้พวกเราจัดการเอง” มนุษย์ปีศาจผู้เป็นหัวหน้าเห็นหลิ่วหมิงไม่พูดก็เอ่ยอย่างเด็ดขาดทันที
สี่คนในมนุษย์ปีศาจที่เหลือยกสองแขนขึ้น แล้วเริ่มกระตุ้นไอปีศาจสีดำพลุ่งพล่านให้ก่อตัวเป็นยันต์สีดำตัวแล้วตัวเล่าแยกย้ายกันพุ่งไปยังร่องที่ว่างอยู่สี่ร่องด้านซ้ายทันที
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็สร้างยันต์ที่เปี่ยมด้วยพลังเวทตัวหนึ่งขึ้นมากรอกเข้าไปในร่องด้านซ้ายสุดเช่นเดียวกัน
เมื่อทุกคนส่งยันต์จมลงไปในร่อง ในร่องพลันเกิดลำแสงแวววาวสายหนึ่งยืดยาวไปด้านบนทีละนิดๆ
ม่านแสงสีน้ำเงินบนผิวของป้ายหินกะพริบวูบวาบเดี๋ยวสว่างเดี๋ยวหม่นแสงตามด้วย
ระหว่างที่ลำแสงคืบคลานไปด้านบน ป้ายหินไม่ปรากฏความผิดปกติอื่นใด หลิ่วหมิงจึงค่อยๆ วางใจ
หลิ่วหมิงกับมนุษย์ปีศาจคนอื่นควบคุมความเร็วของยันต์ที่กรอกเข้าไปได้ค่อนข้างเข้าขา จึงทำให้ลำแสงสี่เส้นบนป้ายหินยาวขึ้นเรื่อยๆ ด้วยจังหวะเดียวกัน
เวลาชั่วจิบชาหนึ่งถ้วยผ่านไป เสียง “ฟู่” แผ่วเบาห้าครั้งก็ดังขึ้นแทบจะพร้อมกัน
ในที่สุดร่องห้าเส้นที่เหลือก็ถูกถมจนเต็มพร้อมกันด้วยการร่วมแรงร่วมใจระหว่างหลิ่วหมิงกับมนุษย์ปีศาจสี่คน
ทันใดนั้นป้ายหินก็สั่นไหวอย่างรุนแรง ม่านแสงสีน้ำเงินชั้นนั้นบนผิวก็ส่ายไหวไม่หยุดตามไปด้วย
ดวงตาห้ามุมที่เหลือของภาพลวดลายจิตวิญญาณแปดเหลี่ยมเหนือร่องนั้นยิ่งกะพริบส่องสว่าง
เพียงแต่ภาพดวงตาบางดวงในนั้นกะพริบเพียงวูบเดียวก็เปลี่ยนกลายเป็นสีแดงก่ำดุจโลหิตในทันใด
“แย่แล้ว!”
เมื่อหลิ่วหมิงเห็นภาพนี้สีหน้าของเขาก็เปลี่ยนไปทันที มือข้างหนึ่งยกขึ้นตบหัวไหล่ แสงสีน้ำเงินส่องสว่างเจิดจ้าออกมาทันที เงาวัวสีน้ำเงินม้วนตัวลอยออกมา สองขากระทืบพร้อมกันนั้นร่างกายก็เหาะออกไปด้านหลัง
มนุษย์ปีศาจหลายคนด้านข้างยังไม่ทันตอบสนตอง บนป้ายหินก็ส่งเสียงดัง “วิ้ง”ออกมา!
ลำแสงสีเลือดหนาเท่าแขนเส้นหนึ่งพุ่งออกมาจากภาพดวงตาสีเลือด ทะลวงผ่านศีรษะของมนุษย์ปีศาจคนหนึ่งที่อยู่ตรงกับมันในพริบตา
มนุษย์ปีศาจผู้นั้นร่างกายบวมพองในทันใดจากนั้นก็ระเบิดออกดัง “ปัง” เลือดเนื้อสีดำแดงสาดกระเซ็นไปทั่ว
มนุษย์ปีศาจสามคนที่เหลือตกตะลึงยิ่งนัก แต่ขณะเดียวกันปราณดำก็ม้วนออกมารอบร่าง ถอยพรวดไปด้านหลังด้วย
ทว่าในเวลานี้ เหตุการณ์ไม่คาดฝันก็บังเกิดขึ้นอีกหน!
ลำแสงสีเลือดฉับพลันแบ่งจากหนึ่งกลายเป็นสอง จากสองกลายเป็นสี่พุ่งรวดเร็วเข้าใส่ร่างของหลิ่วหมิงรวมถึงมนุษย์ปีศาจทั้งสามคนอีกครั้ง