ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 919 วิญญาณปีศาจ
บนยันต์สลักลวดลายจิตวิญญาณที่บูดเบี้ยวไว้ หลิ่วหมิงไม่รู้จักสักตัว คิดว่าคงเป็นยันต์ของเผ่าปีศาจบางเผ่า ทว่าจากระดับความประณีตของมันกับปราณปีศาจที่แผ่ออกมาเลือนรางบนนั้นเห็นชัดว่าเป็นยันต์ที่ทำขึ้นมาเป็นพิเศษชนิดหนึ่ง
หลิ่วหมิงจ้องยันต์สีเงินอยู่พักหนึ่งก็พยักหน้าช้าๆ ด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปมาไม่หยุด
“ได้ ในเมื่อสหายมีวิธีตามหาที่ตั้งวังหมื่นปีศาจ ถ้าเช่นนั้นผู้แซ่หลิ่วก็จะเดินทางไปกับท่านสักครั้ง ทว่าคำพูดไม่น่าฟังต้องพูดเอาไว้ก่อน หากไปถึงสถานที่แห่งนั้นแล้วพบกับอันตรายที่ไม่อาจล่วงรู้อย่างอื่นขึ้น ข้าไม่รับประกันว่าจะร่วมเดินทางกับท่านจนถึงที่สุดได้”
“วางใจเถอะ! เพื่อการเดินทางครั้งนี้ข้าค้นหาข้อมูลก่อนเดินทางมายังเศษซากของโลกบนตั้งไม่รู้เท่าไร ไม่มีทางผิดพลาดแน่นอน จะว่าไปแล้วพื้นที่ซึ่งพวกเราฝ่าเข้าไปเมื่อครู่ ยันต์นี่ไม่มีปฏิกิริยาแม้แต่น้อย แสดงว่าก่อนหน้านี้แม้พวกเราเสี่ยงอันตรายมากเช่นนี้ก็ยังตามหาผิดที่” หญิงสาวฟังแล้วไม่ใส่ใจสักนิด ตรงกันข้ามกลับหัวเราะเสียงหวานเอ่ยขึ้นมา
เมื่อหญิงสาวหมุนตัวอีกครั้ง นางก็เดินหน้าต่อ
หลิ่วหมิงย่อมตามหลังสตรีนางนี้ไป เขาเดินไปพลางก็สำรวจรอบด้านอย่างละเอียดและลอบจดจำเส้นทางเอาไว้
……
สองวันให้หลังหลิ่วหมิงกับหญิงสาวผู้สวมชุดนางในก็ทำลายชั้นจำกัดไปตลอดทางจนตระเวนทั่วเกือบครึ่งของซากโบราณสถานแล้ว แม้ระหว่างนี้จะได้โชคลาภมาบ้าง หาโอสถและวัตถุดิบล้ำค่าพบจำนวนหนึ่ง แต่ก็เป็นจำนวนไม่มากนัก พวกเขาสองคนแบ่งไปเท่าๆ กัน
ทว่านานเช่นนี้ยังหาวังหมื่นปีศาจไม่พบ ในใจของหลิ่วหมิงก็อดไม่ได้ลังเลขึ้นมาบ้าง ในใจตัดสินใจทันทีว่าหากผ่านไปอีกหนึ่งวันยังคงไร้เงื่อนงำ เขาจะขบคิดเรื่องแยกทาง
อย่างไรในเศษซากของโลกบนแห่งนี้ แต่ละวันล้วนสำคัญยิ่งยวด ไม่อาจเสียเวลาที่นี่นานเกินไปได้
เที่ยงวันที่สาม ขณะที่ทั้งสองคนทำลายชั้นจำกัดอันร้ายกาจขนาดหนึ่งหมู่กว่าแล้วเดินเข้าไปในห้องโถงข้างที่ค่อนข้างกว้างขวางแห่งหนึ่ง ยันต์ที่สตรีผู้นี้ถือไว้ในมือก็พลันเปล่งแสงสีเงินหลายวงออกมา
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ใบหน้าก็ปรากฏสีหน้ายินดี หญิงสาวผู้สวมชุดนางในก็สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อยแล้วหยุดเท้าลงด้วย นางเริ่มสำรวจรอบด้านของโถงข้าง
ห้องโถงข้างแห่งนี้มีพื้นที่ราวสิบหกถึงสิบเจ็ดจั้ง ในห้องโถงนอกจากโต๊ะศิลารูปวงกลมที่เก่าคร่ำตัวหนึ่งกับม้านั่งศิลาสามตัวรอบๆ ก็มีแต่รูปสลักหินหัวปีศาจที่หน้าตาแตกต่างกันแปดตัวซึ่งวางอยู่เป็นระยะบนกำแพงรอบด้าน
รูปสลักหินเหล่านี้หากมองเพียงปราดเดียวก็ไม่แตกต่างจากรูปสลักหินธรรมดาแต่อย่างใด เพียงแต่ใบหน้าดุร้ายของหัวปีศาจแปดตัวล้วนมองมายังโต๊ะศิลากลางห้องโถง
เวลานี้เองหญิงสาวผู้สวมชุดนางในก็สะบัดแขนกลมกลึง ชี้ไปยังหัวหมาป่าที่อ้าปากสีแดงสดตัวหนึ่งในนั้น
แสงสีขาวเส้นหนึ่งส่งเสียงดังฟึ้บก่อนจะจมหายไปด้านใน ดวงตาบนหัวหมาป่าฉับพลันเปล่งแสงสว่าง เงาหมาในสีเทาขนาดสองถึงสามจั้งตัวหนึ่งกระโจนออกมาแล้วแหงนหน้าหอนไร้เสียงใส่เพดานของห้องโถงด้านข้าง
“น่าจะเป็นที่นี่ไม่ผิด” หญิงสาวผู้สวมชุดนางในพึมพำกับตนเองประโยคหนึ่งแล้วหมุนตัวส่งแสงสีขาวเส้นแล้วเส้นเล่าไปยังหัวของปีศาจที่เหลือ
หัวปีศาจที่เหลือเหล่านั้นกลายเป็นเงาร่างแล้วร่างเล่าหลุดออกมาจากรูปสลักหินเช่นเดียวกัน
ชั่วขณะหนึ่งในห้องโถงข้างก็มีเงาปีศาจอสูรที่แลดูประหนึ่งมีชีวิตแปดตัว พวกมันเริ่มไล่จับกัน เล่นกันอย่างสนุกสนาน
“หรือที่แห่งนี้จะเป็นทางเข้าวังหมื่นปีศาจ?” ในที่สุดหลิ่วหมิงที่มองอยู่ด้านข้างอย่างนิ่งเฉยมาตลอดก็เอ่ยปากถามขึ้นมา
“ในเมื่อยันต์มีปฏิกิริยา มากกว่าครึ่งก็คงไม่ผิดแล้ว”
หญิงสาวผู้สวมชุดนางในตอบกลับมาอย่างราบเรียบแล้วโยนยันต์สีเงินในมือไปกลางอากาศ นิ้วเรียวงามนิ้วหนึ่งจี้ดัชนีออกไป
เสียงฟู่ดังขึ้นครั้งหนึ่ง
ยันต์สีเงินระเบิดกลายเป็นแสงสีเงินจุดแล้วจุดเล่ากระจายไปทั่วทั้งห้องโถงข้างในพริบตา
เงาปีศาจอสูรแปดตัวนั่นสัมผัสถูกแสงสีเงินก็กลายเป็นปราณปีศาจสายแล้วสายเล่าจมเข้าไปในโต๊ะศิลาตรงกลางในทันใด
โต๊ะศิลารูปวงกลมฉับพลันเริ่มสั่นไหว บนผิวปรากฏลวดลายค่ายกลสีเงินที่ชัดเจนอย่างยิ่งอันหนึ่งออกมา หลังจากส่งเสียงครืดคราดหลายครั้งมันก็จมลึกเข้าไปใต้พื้นดิน
ชั่วครู่หลังจากนั้นบนพื้นดินพลันปรากฏค่ายกลที่ทอแสงสีเทาอ่อนขนาดหลายจั้งค่ายกลหนึ่ง
“พวกเราไป!” หลังจากหญิงสาวผู้สวมชุดนางในมองหลิ่วหมิงครั้งหนึ่ง ร่างกายก็พุ่งเข้าไปด้านในค่ายกล
หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ชั่วครู่ก็พลิกมือฉีกยันต์หลายแผ่นเสริมเกราะป้องกันหลายชั้นให้ตนเองแล้วจึงเดินตามหลังนางเข้าไปติดๆ
ครู่ต่อมาปราณปีศาจสายหนึ่งก็พัดขึ้นมาจากรอบค่ายกล หลิ่วหมิงได้ยินเสียงร้องคำรามเลือนรางครั้งหนึ่ง จากนั้นก็รู้สึกว่าสรรพสิ่งรอบด้านเลือนหายไป ฟ้าดินพลิกหมุน
เมื่อเขาตั้งสมาธิได้ เห็นทุกสิ่งรอบด้านชัดอีกครั้งก็พบว่าตัวเองอยู่ในวังลึกลับสีดำสนิททั้งหลังแห่งหนึ่ง
หญิงสาวผู้สวมชุดนางในด้านข้างมองสำรวจรอบด้านไม่หยุดเช่นเดียวกัน
ยามทอดสายตามองรอบด้าน วังทั้งหลังดูเหมือนมองไปไร้ที่สิ้นสุด แม้เงยศีรษะขึ้นมองก็ยังรู้สึกว่ามีแต่ความว่างเปล่าอันมืดมิด
หลิ่วหมิงใช้จิตสัมผัสกวาดรอบบริเวณหลายลี้ก็ไม่พบว่ามีสิ่งผิดปกติใด แต่เมื่อจะลองสำรวจไกลออกไปอีกกลับพบว่ากำลังไม่พอ
สถานที่แห่งนี้เป็นไปได้อย่างยิ่งว่าจะสะกดจิตสัมผัสเอาไว้!
“มิติแห่งนี้ใหญ่กว่าที่ข้าจินตนาการไว้มากมายนัก ปราณปีศาจเปี่ยมล้นอย่างยิ่ง เพียงแต่วิญญาณปีศาจในที่แห่งนี้หลับใหลมาไม่รู้นานกี่หมื่นปีแล้ว จึงก่อเกิดเป็นความสมดุลอันละเอียดอ่อนบางอย่างระหว่างกัน หากไม่เข้าใกล้มากพอ เผ่ามนุษย์อย่างพวกเจ้าก็คงยากจะสัมผัสได้ เจ้าลองกระตุ้นวิชาลับภาพสัญลักษณ์ของเจ้าดู น่าจะรับรู้ได้เช่นเดียวกับข้า” ทันใดนั้นหญิงสาวผู้สวมชุดนางในก็ขยับริมฝีปากเล็กน้อยส่งกระแสจิตบอกหลิ่วหมิง
“ขอบคุณสหายยิ่งที่เตือน” หลิ่วหมิงใจสะท้านแล้วประสานกำปั้นเอ่ยตอบนาง
ต่อจากนั้นเขาจึงหลับตาทั้งสองข้างลง กรอกพลังเวทเข้าไปในภาพสัญลักษณ์เชอฮ่วนบนหัวไหล่ช้าๆ หลังจากนั้นมือข้างหนึ่งก็ตบแผ่วเบา ในเสื้อพลันมีแสงสีน้ำเงินส่องสว่างออกมา เงาวัวสีน้ำเงินตัวหนึ่งปรากฏออกมาในทันใด
พริบตาที่เงานี้ปรากฏกาย ความว่างเปล่าไม่กี่สิบจั้งรอบตัวก็พลันเกิดคลื่นไหวกระเพื่อมระลอกแล้วระลอกเล่า ไอหมอกสีขาวผลุบๆ โผล่ๆ หลายสายพากันรวมตัวกันเป็นก้อนอยู่ตรงที่เดิม ครู่หนึ่งหลังจากนั้นก็กลายเป็นเงาเต่ายักษ์สีเหลืองตัวหนึ่งกับเงาพญาวิหคสามขาที่สยายปีกโผบินอีกตัวหนึ่ง
ร่างกายของทั้งสองตัวมีขนาดถึงสิบกว่าจั้ง แม้เลือนรางอยู่บ้างแต่ตัดสินจากปราณก็ยังพอมองออกว่าทั้งสองตัวล้วนเป็นวิญญาณปีศาจระดับผลึก
ที่เหนือความคาดหมายของหลิ่วหมิงก็คือหลังจากทั้งสองตัวมองเงาเชอฮ่วนเหนือร่างหลิ่วหมิงเพียงครั้งเดียวแล้ว พวกมันทั้งสองก็มีสีหน้าหวาดผวา หมุนตัวแหวกท้องฟ้าพุ่งหนีไปไกลทันที
เวลานี้เองหลิ่วหมิงยังไม่ทันได้ใช้วิชา เงาเชอฮ่วนก็ลืมตาสองข้างขึ้น มันกู่ร้องใส่ท้องฟ้าอย่างไร้เสียงจากนั้นแสงสีน้ำเงินรอบร่างก็เจิดจ้ากลายเป็นแสงสีน้ำเงินแถบหนึ่งไล่ตามปราณปีศาจสองสายที่เลือนรางไม่ชัดไกลๆ นั่นไปติดๆ ความเร็วน่าตะลึงอย่างที่สุด
หลังจากผ่านไปเพียงสิบกว่าลมหายใจ แสงสีน้ำเงินที่อยู่ไกลออกไปก็กะพริบวูบหนึ่ง แล้วกลับมาพร้อมกับเสียงสายลมแรงพัดหวีดหวิว เงาเชอฮ่วนตัวนั้นนั่นเอง!
ดูจากท่าทางสมใจของเงาตัวนี้เห็นชัดว่าคงกลืนวิญญาณปีศาจสองตัวนั้นไปแล้ว ปราณที่แผ่ออกมาเพิ่มขึ้นกว่าตอนที่ผละไปอยู่บ้าง
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ในใจย่อมยินดีอย่างยิ่ง
“อีกเดี๋ยวข้าจะใช้วิชาค้นหาวิญญาณปีศาจที่ข้าต้องการมรดก ส่วนที่เหลือยกให้เจ้า” หญิงสาวผู้สวมชุดนางในเห็นสถานการณ์ก็เผยสีหน้าพึงพอใจแวบหนึ่ง หลังจากสั่งคำหนึ่งนางก็นั่งขัดสมาธิลงไป
นางสะบัดแขนเสื้อครั้งหนึ่งในมือพลันมีธงผืนน้อยห้าสีซึ่งสีสันสดใสเพิ่มขึ้นมาเก้าผืน จากนั้นจึงอ้าปากพ่นปราณปีศาจสีเงินอ่อนใส่ธงค่ายกลในมือ
แสงรัศมีส่องสว่าง ธงน้อยเก้าผืนแต่ละผืนบินพุ่งออกจากในมือแล้วลอยเคลื่อนไปกลางอากาศในระยะหนึ่งจั้งกว่ารอบด้านอย่างต่อเนื่องตามที่สิบนิ้วบนสองมือของหญิงสาวจี้ดัชนีออกไป
หลังจากผ่านไปสองสามลมหายใจ ธงน้อยเหล่านี้ก็เรียงตัวเป็นแนวค่ายกลประหลาดค่ายกลหนึ่งแล้วพากันปักลงบนพื้น มันแลดูไม่มีรูปแบบสักนิด แต่ก็คล้ายจะแฝงความลี้ลับบางประการไว้
ต่อจากนั้นหญิงสาวผู้สวมชุดนางในจึงท่องมนตร์งึมงำทุ้มต่ำออกมาแผ่วเบา มือข้างหนึ่งตั้งท่าเคล็ดวิชาจากนั้นยิงเคล็ดวิชาเก้าสายออกมา แต่ละสายโจมตีลงบนธงน้อยเหล่านี้อย่างแม่นยำ
ทันใดนั้นธงค่ายกลเหล่านี้ก็สั่นเล็กน้อย แสงรัศมีหลากสีส่องสว่าง พร้อมกันนั้นเส้นแสงเรียวเล็กสายแล้วสายเล่าก็โถมออกมาจากด้านในโดยมีหญิงสาวเป็นศูนย์กลาง พวกมันเชื่อมต่อกันเป็นม่านแสงรูปครึ่งวงกลมที่มีสีสันละลานตาอันหนึ่งกลางท้องฟ้าครอบนางไว้ข้างใต้
หลังจากทำทุกสิ่งนี้เสร็จสิ้น ดวงเนตรงามของสตรีนางนี้ก็ปิดสนิท พร้อมกันนั้นปากก็เริ่มเอ่ยท่องมนตร์อีกครั้ง
ในเวลาเดียวกันนี้ผิวบนร่างหญิงสาวก็ตอบสนองต่อค่ายกลรอบด้าน มันเริ่มเปล่งแสงเรืองรองหลากหลายสีออกมา
แสงนี้เจิดจ้าขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นค่อยๆ เติมเต็มค่ายกลรูปครึ่งวงกลมทั้งหมด แลดูงดงามอย่างประหลาด
หญิงสาวผู้สวมชุดนางในเดิมก็หน้าตางามเลิศอยู่แล้วเมื่อได้แสงเรืองรองหลากลายสีนี้ขับเน้นจึงยิ่งแลดูงามจนน่าตะลึง ทำให้หลิ่วหมิงมองจนเหม่อลอยไปพักหนึ่งอย่างห้ามไม่ได้
ทันใดนั้นหญิงสาวก็หยุดท่องมนตร์ นางอ้าปากคายลูกแก้วกลมสีขาวใสแวววาวลูกหนึ่งออกมา มันลอยอยู่เบื้องหน้านิ่งไม่ขยับ
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็ฉุกคิดขึ้นมา
ลูกแก้วลูกนี้เคยถูกคายออกมาแล้วตอนสู้ศึกกับมนุษย์ปีศาจคนนั้น คิดว่ามันคงเป็นแก่นปีศาจของสตรีนางนี้
เมื่อคายแก่นปีศาจออกมาแล้ว สิบนิ้วขาวผ่องบนสองมือของนางก็ดีดนิ้วไม่หยุด เคล็ดวิชาสีเงินอ่อนสายแล้วสายเล่ายิงลงบนนั้นต่อเนื่องไม่ขาดสายอย่างรวดเร็ว
ทันใดนั้นแสงเรืองรองสีเงินอ่อนสายแล้วสายเล่าก็เปล่งออกมาจากในลูกแก้วกลม ปราณปีศาจสีเงินอ่อนสายหนึ่งแผ่ไปทั่วสี่ด้านแปดทิศโดยมีสตรีนางนี้เป็นศูนย์กลาง
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าอากาศที่เดิมทีนิ่งสงบรอบด้านเริ่มปั่นป่วนขึ้นมาเล็กน้อยหลังจากปราณปีศาจสีเงินเหล่านี้ผสานเข้าไป จากนั้นเขาก็ได้ยินเสียงกรีดร้องดังอึกทึกเดี๋ยวปรากฏเดี๋ยวเลือนหายจากไกลและใกล้
มีเสียงราชสีห์คำราม มีเสียงพยัคฆ์ขู่ มีเสียงอินทรีกรีดร้อง มีเสียงหมาป่าเห่าหอน…มากมาย ไม่รู้จำนวนทั้งหมดเท่าไร
เสียงอึกทึกที่ผุดขึ้นตรงนั้นตรงนี้ทำให้หลิ่วหมิงลอบตกตะลึงอยู่ในใจ
หญิงสาวผู้สวมชุดนางในด้านในค่ายกลรูปครึ่งวงกลมทำราวกับว่าไม่ได้ยินเสียงเหล่านี้ นางยังคงกระตุ้นเคล็ดวิชาในมือ
ในเวลานี้เองปราณปีศาจสีเงินสายหนึ่งพลันพุ่งขึ้นฟ้าไปอยู่เหนือศีรษะของสตรีนางนี้ หลังจากมันหมุนติ้วอยู่กลางอากาศก็ก่อตัวเป็นเงาปีศาจจิ้งจอกเก้าหางสีขาวโพลนทั้งร่างที่ดูราวกับมีชีวิตตัวหนึ่งในทันใด
หลิ่วหมิงกวาดสายตามองเงาจิ้งจอกเก้าหางโดยไม่เปลี่ยนสีหน้าแล้วปล่อยจิตสัมผัสออกไป ในเวลาเดียวกันมือข้างหนึ่งก็ตั้งท่าเคล็ดวิชา เตรียมพร้อมกระตุ้นเงาเชอฮ่วนออกมาตลอดเวลา
พร้อมกับที่เวลาเคลื่อนคล้อยเสียงเอะอะไกลออกไปก็ยิ่งใกล้เข้ามาเรื่อยๆ เหมือนกับว่ามีบางสิ่งที่จำนวนน่าตะลึงกำลังบีบเข้ามาใกล้จากสถานที่ไกลออกไป
ทันใดนั้นเสียงแหวกอากาศก็ดังขึ้นจากอีกด้านหนึ่งอย่างรวดเร็ว!
หลิ่วหมิงเหล่มองเล็กน้อยก็เห็นแสงสีแดงมืดฟ้ามัวดินดุจเมฆแดงผืนหนึ่งกำลังลอยเร็วรี่มุ่งหน้ามายังจุดที่ทั้งสองคนอยู่ มองเห็นเลือนรางว่าด้านในแสงสีแดงหุ้มปีศาจอสูรขนาดไม่เท่ากันอยู่หลายสิบตัว
รูม่านตาของหลิ่วหมิงหดเล็กลงทันที เขาพบว่าปีศาจอสูรตัวหนึ่งที่นำหน้ามาด้านในแสงสีแดงเหล่านี้ก็คือปีศาจจิ้งจอกยักษ์ที่ร่างกายมีขนาดถึงสามสิบกว่าจั้งตัวหนึ่ง
เส้นขนทั้งร่างของจิ้งจอกตัวนี้เป็นสีขาวโพลนเช่นเดียวกัน ร่างกายของมันว่องไวอย่างยิ่ง ผิวทอแสงสีแดงระยิบระยับ บนแผ่นหลังมีหางขาวฟูฟ่องเก้าเส้นโบกสะบัดไม่หยุดท่ามกลางสายลมจนเหมือนบุปผาดอกหนึ่งแย้มกลีบบาน คล้ายคลึงกับร่างเดิมที่หญิงสาวผู้สวมชุดนางในตรงหน้าเคยแปลงกายจนแทบจะเหมือนกันทุกประการยกเว้นก็แต่ขนาดตัว