ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 922 ล่องลมวสันต์
เห็นได้ชัดว่าเสี้ยววิญญาณของปีศาจจิ้งจอกเก้าหางคิดไม่ถึงว่าเชอฮ่วนจะเก่งกาจเช่นนี้ มันเหาะถอยพรวดออกไปห่างสิบกว่าจั้ง เมื่อเอี้ยวตัวตั้งหลักได้ใหม่อีกครั้ง เสียงร้องคำรามที่ทั้งตกตะลึงและโกรธเกรี้ยวก็ดังออกมาจากปาก
เสี้ยววิญญาณเก้าหางตัวนี้คล้ายกับจะสัมผัสได้ถึงกลิ่นอายอันตราย มันจึงไม่มีเวลาว่างควบคุมหญิงสาวเผ่าปีศาจผู้นั้นอีกต่อไป หลังจากประกายแสงสีเลือดในดวงตาทั้งสองข้างกะพริบวูบหนึ่ง หางเก้าเส้นก็ขยายใหญ่ขึ้นอีกหนึ่งเท่ากว่าก่อนจะกวาดครั้งเดียวโจมตีพายุหมุนที่ตามมาติดๆ ให้ทยอยถอยไป ทันใดนั้นรอบร่างของมันก็ทอแสงสีขาวเจิดจ้า ร่างกายขยับวูบเดียวโถมเข้าขย้ำเงาเชอฮ่วนอุตลุด
เมื่อหญิงสาวเผ่าปีศาจที่ไล่ตามหลิ่วหมิงมาติดๆ อย่างไม่ลดละไม่ถูกควบคุม ประกายแสงสีเลือดในดวงตาทั้งสองข้างก็เลือนหายไปในพริบตา นางฟื้นกลับมามีสีหน้าเช่นปกติ จากนั้นก็โซเซร่วงหล่นจากกลางท้องฟ้า
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ร่างกายก็ขยับไปปรากฏตัวข้างกายสตรีนางนี้แล้วอุ้มนางไว้ ร่อนลงบนพื้นอย่างมั่นคง
หญิงสาวเก้าหางครางแผ่วเบาออกมาคำหนึ่งราวกับว่ากำลังตื่นได้สติ ดวงตาปรือเล็กน้อย และเมื่อมองเห็นหลิ่วหมิง นางก็พลันแย้มยิ้มดังเช่นคนเมา ทั้งร่างแผ่เสน่ห์ที่บอกไม่ถูกบางอย่างออกมา
หลิ่วหมิงตกตะลึง ขณะที่ยังไม่ทันเข้าใจว่าเกิดสิ่งใดขึ้นกับสตรีนางนี้ แขนทั้งสองข้างของหญิงสาวในอ้อมแขนก็กอดเขาไว้แน่น
หลิ่วหมิงตกใจ ตอนนี้เขาถึงเพิ่งค้นพบว่าแม้สตรีนางนี้หลุดพ้นจากการถูกวิญญาณปีศาจควบคุมแล้ว แต่สติสัมปชัญญะยังไม่กลับคืนมา นางเหมือนจะตกอยู่ในสภาวะไร้สติอันแปลกพิกลอีกประเภทหนึ่ง
สายตาเขากวาดมองภูเขาสองลูกที่ตั้งเด่นและนุ่มลื่นดุจงาช้างบนเรือนร่างโค้งเว้าเปลือยเปล่าของหญิงสาวโดยไม่รู้ตัว ทันใดนั้นใบหน้าก็ร้อนผ่าว สองมือสั่นเทาหมายจะโยนหญิงสาวออกไปก่อน
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นหลายหน!
หางจิ้งจอกทั้งเก้าเส้นด้านหลังหญิงสาวกลับชิงก่อนก้าวหนึ่งสะบัดยืดยาวมารัดตัวนางกับหลิ่วหมิงจนติดกันเป็นก้อนเดียว
หางจิ้งจอกทั้งเก้าเส้นทนทานยิ่งนักอย่างที่บรรยายไม่ถูก ชั่วขณะหนึ่งหลิ่วหมิงไม่อาจดิ้นหลุดออกไปได้ เขาได้แต่แนบติดอยู่กับร่างเปลือยเปล่าของหญิงสาวเป็นร่างเดียว ในอ้อมแขนเต็มไปด้วยกลิ่นหอมละมุน นิ้วมือสัมผัสที่ใดล้วนเป็นผิวเนียนนุ่มดุจแพรไหม
ในเวลานี้เองสูงขึ้นไปบนท้องฟ้าก็มีเสียงดังสนั่นลอยมา คลื่นปราณวงแล้ววงเล่าซัดออกมาอย่างรุนแรง เงาสองร่างตรงใจกลางที่โรมรันกันอุตลุดต่อสู้กันจนมาถึงช่วงเวลาตัดสินแล้ว
แม้เชอฮ่วนเป็นเพียงร่างจำแลงของวิชาลับภาพสัญลักษณ์ที่หลิ่วหมิงใช้ แต่หลังจากกลืนกินดวงวิญญาณไปมากมายเช่นนี้ ความสามารถในด้านการต่อสู้ระยะประชิดก็เริ่มไม่อ่อนแอ สี่กีบเท้าที่เดิมทีไร้อันตรายกลับกลายเป็นกรงเล็บยักษ์คมกริบสี่ข้าง
มิเช่นนั้นหลิ่วหมิงสั่งง่ายๆ ก่อนหน้านี้คำเดียว มันก็คงยืดหยัดต้านการโจมตีบ้าคลั่งของเสี้ยววิญญาณเก้าหางไม่ได้นานเช่นนี้
ทว่าเงานี้อย่างไรก็เป็นเพียงสิ่งไร้ชีวิต ไม่ว่าปฏิกิริยาตอบสนองหรือวิธีการโจมตีก็เรียบง่ายทึมทื่อทั้งสิ้น เมื่อวิญญาณปีศาจเก้าหางฉีกทึ้งไม่หยุด มันก็ตกเป็นรองอย่างเห็นได้ชัด ร่างกายหดเล็กลงไปไม่น้อย อีกทั้งยังเลือนรางมองไม่ชัดขึ้นอยู่บ้าง
หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้พลันหวั่นใจจนไม่มีเวลาสนใจสถานการณ์กระอักกระอ่วนของตนเอง ปากเอ่ยท่องมนตร์เพ่งสมาธิกระตุ้นวิชาลับภาพสัญลักษณ์ทันที
เสียง “ฟึบ” ดังขึ้นครั้งหนึ่ง
ลำแสงสีน้ำเงินเส้นหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมาจากตรงหัวไหล่ของหลิ่วหมิง จากนั้นพุ่งจมหายลงไปในเงาร่างของเชอฮ่วนที่อยู่กลางอากาศ
ร่างกายของเงาเช่อฮ่วนสั่นเทิ้มในทันใด ผิวบนร่างมีลวดลายจิตวิญญาณแวววาวนับไม่ถ้วนปรากฏออกมา พริบตาเดียวมันก็ดีดเสี้ยววิญญาณเก้าหางที่ประชิดอยู่ออกไป จากนั้นอ้าปากคำรามเสียงดังทันที
เสียงคำรามเพิ่งออกจากปากก็กลายเป็นคลื่นเสียงสีน้ำเงินแถบใหญ่ซัดสาด พริบตาเดียวกลบทับเสี้ยววิญญาณเก้าหาง
พลังนี้เป็นวิชาลับระดับสูงชนิดหนึ่งที่บันทึกอยู่ในวิชาลับภาพสัญลักษณ์ หากไม่ใช่เพราะก่อนหน้านี้เงาเชอฮ่วนดูดกลืนพลังของวิญญาณปีศาจไปจำนวนมาก หลิ่วหมิงก็คงใช้ออกมาไม่ได้อย่างสิ้นเชิง
เสี้ยววิญญาณเก้าหางกรีดร้องครั้งหนึ่งแล้วพลันโซเซดุจลูกบอลหนังอยู่กลางคลื่นเสียงสีน้ำเงิน ผิวรอบร่างกลายเป็นปราณสีขาวสายแล้วสายเล่าพังทลายไปทีละชั้น ร่างกายหดเล็กลงอย่างรวดเร็ว
เงาเชอฉ่วนฉวยโอกาสนี้สูดมันเข้าไปในปาก
ทันใดนั้นปราณสีขาวเส้นแล้วเส้นเล่ากลางคลื่นเสียงสีน้ำเงินก็ถูกสูดเข้าไปจนหมดสิ้น แล้วถูกกลืนลงท้องไปอย่างเร็วไว ร่างกายที่เลือนรางก่อตัวชัดขึ้นใหม่อีกครั้งด้วยความเร็วที่ตาเปล่ามองเห็นได้
เวลาผ่านไปเพียงไม่กี่ลมหายใจ เสี้ยววิญญาณของปีศาจจิ้งจอกเก้าหางก็เหลือขนาดราวสองจั้งกว่าเท่านั้น มันกำลังจะดับสูญกลางคลื่นเสียงสีน้ำเงินจริงๆ แล้ว
หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็โล่งอก
ในเวลานี้เองวิญญาณปีศาจเก้าหางก็ร้องครวญคราง มันแน่นิ่งไม่ขยับราวกับว่าเลิกคิดดิ้นรน ทว่าทันใดนั้นดวงตาปีศาจดุจทับทิมสองข้างก็เปล่งแสงสีเลือดเจิดจ้า ยันต์ที่ทอประกายสีเลือดมากมายลอยออกมาจากด้านใน
ยันต์เหล่านี้แต่ละตัวล้วนคล้ายกับยันต์เผ่าปีศาจที่เคยอยู่ในทะเลจิตวิญญาณของหลิ่วหมิงก่อนหน้านี้ พริบตาที่บินออกมาพวกมันก็พากันบิดเปลี่ยนรูปกลายเป็นจิ้งจอกขาวขนาดเล็กจิ๋วตัวแล้วตัวเล่าพุ่งออกจากคลื่นเสียงสีน้ำเงิน วิ่งเร็วรี่เต็มท้องฟ้าตรงมายังจุดที่หลิ่วหมิงอยู่
หลิ่วหมิงขมวดคิ้ว จิตกระตุ้นพลังเวท พริบตาเดียวรอบร่างพลันมีปราณดำพลุ่งพล่านทะลักออกมากลายเป็นหนวดสีดำหลายเส้นสะบัดไปมาอย่างบ้าคลั่ง
เสียง “ปัง” “ปัง” ดังสนั่น!
ปีศาจจิ้งจอกจิ๋วทั้งหมดถูกหนวดโจมตีจนทยอยระเบิดสลายกลายเป็นไอหมอกสีชมพูดุจก้อนเมฆก้อนแล้วก้อนเล่าลอยเคลื่อนไปมารอบด้าน ด้านในมีเส้นไหมสีเลือดนับไม่ถ้วนผลุบๆ โผล่ๆ อีกทั้งแต่ละเส้นยังจับตัวกันแน่น
“แย่แล้ว”
พริบตานั้นหลิ่วหมิงก็รู้สึกท่าไม่ดี ร่างกายขยับวูบเดียวก็พาหญิงสาวในอ้อมแขนฝ่าออกมาจากไอหมอกที่ล้อมอยู่
ทว่าในเวลานี้เองหญิงสาวเปลือยเปล่าในอ้อมแขนกลับหัวเราะคิกคัก หางจิ้งจอกเก้าเส้นที่เดิมทีรัดหลิ่วหมิงไว้จนเป็นก้อนเดียวกันฉับพลันระเบิดกำลังมหาศาลสายหนึ่งออกมา
หลิ่วหมิงไม่ทันระวัง เขารู้สึกว่าร่างกายถูกรัดแน่นกะทันหัน จากนั้นร่างของเขากับหญิงสาวเก้าหางก็หัวทิ่มลงล้มไปกับพื้นดังปึกทันที
แทบจะในเวลาเดียวกันนั้นไอหมอกสีชมพูรอบด้านก็โถมเข้ามาตรงใจกลางประหนึ่งมีจิตวิญญาณ พริบตาเดียวกลืนทั้งสองคนเข้าไป เส้นไหมสีเลือดในไอหมอกส่ายอ้อยอิ่งไม่หยุดทำให้คนมองแล้วตาลายยิ่ง
แม้หลิ่วหมิงมีวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬกับปราณแกร่งคุ้มร่าง แต่ไอหมอกสีชมพูกับทะลุผ่านจมเข้ามาทันทีเสมือนหนึ่งมองไม่เห็นอย่างสิ้นเชิง
พริบตานั้นหลิ่วหมิงก็ได้กลิ่นหอมหวานจางๆ จิตใจพลันเคลิบเคลิ้ม สองตาเลื่อนลอยทอแสงสีแดงนิดๆ ในเวลาเดียวกันกระแสความร้อนที่ยากจะหักห้ามยิ่งกว่าเดิมก็โถมเข้ามาในหัวใจ ทำให้เขาโอบกอดร่างเปลือยเปล่าของหญิงสาวในอ้อมแขนแน่นขึ้นอีกหน่อยอย่างไม่อาจควบคุมตนเองได้ นิ้วลูบคลำผิวเนียนนุ่มดุจเส้นไหมอย่างไม่รู้ตัว
สัมผัสอบอุ่นนุ่มลื่นบนปลายนิ้วราวกับกระแสไฟฟ้าที่ทำให้ทั้งร่างชาหนึบแล่นพล่านไปทั่วสี่แขนขาร้อยกระดูกของหลิ่วหมิง ทำให้เขาเมามายจนดึงตนเองออกมาไม่ได้แม้แต่น้อย การเคลื่อนไหวยิ่งเหิมเหริมขึ้นเรื่อยๆ สองมือถึงขั้นเคลื่อนไประหว่างทรวงอกอวบอิ่มชูชันของหญิงสาวอย่างไม่รู้ตัว
หญิงสาวถูกหลิ่วหมิงลูบไล้ก็ครวญครางเสียงหวานดังอืออาออกมา ดวงเนตรงามยิ่งเลื่อนลอย ร่างกายอ้อนแอ้นดุจหยกมันแพะหยัดกายขึ้นมาเล็กน้อยจนแนบชิดกับแผ่นอกของหลิ่วหมิงขึ้นอีกนิด แขนกลมกลึงข้างหนึ่งโอบแผ่นหลังของเขาไว้ ส่วนนิ้วมือทั้งห้าบนมืออีกข้างลูบไล้มุดเข้าไปในอกเสื้อของเขาดุจอสรพิษสีขาว
ดวงหน้างามล้ำเลิศดุจหยกขาวแกะสลักของหญิงสาวเผ่าปีศาจเมื่อได้แสงสีแดงและสีขาวรอบด้านขับเน้น ดวงหน้าก็เป็นสีแดงก่ำแลดูเย้ายวนชวนให้ลุ่มหลงยิ่งขึ้นอีก
ทันใดนั้นศีรษะงามของนางก็เงยขึ้นมาประทับจุมพิตลงบนแก้มของหลิ่วหมิง
หลิ่วหมิงรู้สึกว่าใบหน้าร้อนผ่าว ในรูจมูกล้วนมีแต่กลิ่นกายหอมกรุ่นของสาวบริสุทธิ์ หัวใจเต้นระรัวเร็วขึ้นในทันใด ลมหายใจก็ปั่นป่วนอย่างไม่อาจห้ามตนเองได้
มีเรือนร่างอวบอิ่มเลอเลิศเช่นนี้ส่งมาให้ถึงในอ้อมแขน บุรุษสักกี่คนจะไม่หวั่นไหว?
นับประสาอะไรกับหลิ่วหมิงที่ยังเป็นหนุ่มพรหมจรรย์ ไม่เคยข้องเกี่ยวกับเรื่องชายหญิง
ทว่าในเวลานี้เองเสียงใสกระจ่างแผ่วเบาก็ดังออกมาจากฝักกระบี่ข้างเอวหลิ่วหมิง
หลังจากหลิ่วหมิงได้ยินฉับพลันก็ตื่นได้สติเต็มที่ ดวงตาทั้งสองข้างฟื้นกลับมากระจ่างใสในพริบตา เขาไม่แม้แต่จะคิด พลิกมือดิ้นหลุดจากพันธนาการของหางจิ้งจอกแล้วกำโซ่ตรวจสะกดวิญญาณไว้ในมือ
ทว่ายังไม่ทันที่เขาจะได้กระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ เสียง “ปัง” ก็ดังขึ้นครั้งหนึ่ง หางจิ้งจอกเส้นหนึ่งกวาดเข้ามาดุจสายฟ้าแลบ โจมตีโซ่ตรวจสะกดวิญญาณในมือเขาปลิวไปทั้งอย่างนั้น พร้อมกันนั้นแขนเรียวร้อนผ่าวข้างหนึ่งก็โอบแขนข้างนี้ของหลิ่วหมิงไว้แน่นแล้วดึงกลับไปในพริบตา
หลิ่วหมิงตกตะลึง ขณะที่เขาขยับแขนหมายจะดิ้นรนให้หลุด เสียงหอบแว่วหวานแผ่วเบาก็ดังลอยมา ต่อจากนั้นเสียง “แควก” ก็ดังขึ้นครั้งหนึ่ง เสื้อผ้าท่อนบนของเขาถูกสตรีนางนี้กระชากออกในเวลาเดียวกันนั้นเรือนร่างร้อนผ่าวนุ่มลื่นก็แนบชิดกับหน้าอกของเขาโดยไม่มีสิ่งใดขวางกั้นอีกต่อไป ความลุ่มหลงอย่างที่สุดทำให้สติปัญญาที่เพิ่งคืนกลับมาของหลิ่วหมิงพังทลายหมดสิ้นในพริบตา เขากลับไปนิ่งงันหน้าแดงเรื่ออีกครั้ง
หลังจากเขาแค่นเสียงแผ่วเบาออกมาคำหนึ่ง ร่างกายก็สั่นเทิ้ม หางจิ้งจอกที่เดิมทีรัดแน่นอยู่บนร่างสลายกลายเป็นละอองแสงปล่อยให้เขาอุ้มสตรีนางนี้มาคร่อมด้านหน้า สองมือทำงานอย่างพร้อมเพรียง ข้างหนึ่งลูบไล้สะโพกงามงอนของสตรีผู้นี้ อีกข้างหนึ่งลากไล้ผ่านท้องน้อยของนาง ส่วนริมฝีปากก็กลืนกินริมฝีปากหอมสีสดจนแทบจะกลั่นออกมาเป็นหยดได้นั่นของนางแล้วดูดดึงอย่างเงอะงะยิ่งนัก
พริบตาที่ประทับจุมพิตและแลกเปลี่ยนน้ำหวานระหว่างกัน ความรู้สึกละมุนละไมอันอ้อยอิ่งก็ทำให้สัญชาตญาณดิบของหลิ่วหมิงปะทุขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ เขาคำรามแผ่วเบาอีกครั้งแล้วร่างกายก็ขยับทาบทับสตรีผู้นี้ไว้ข้างใต้
อาจเพราะภาพสัญลักษณ์เชอฉ่วนไม่ได้ถูกหลิ่วหมิงเรียกกลับมา บริเวณใกล้เคียงจึงว่างเปล่าไม่มีวิญญาณปีศาจตัวอื่นเข้าใกล้ มีเพียงเสียงกระแทกกระทั้นที่สอดแทรกด้วยเสียงคำรามทุ้มต่ำของบุรุษกับเสียงครางแว่วหวานอันยั่วยวนของสตรีดังออกมาจากกลางไอหมอกสีชมพูเป็นระยะ
ต่อให้เวลานี้มีวิญญาณปีศาจเข้ามารบกวน คนทั้งสองที่อยู่กลางไอหมอกสีชมพูก็คงไม่สนใจแม้แต่น้อย
หลิ่วหมิงในยามนี้กำลังเมามายจมดิ่งลึกลงไปในห้วงฝันแห่งวสันต์
เวลานี้วังหมื่นปีศาจสีขาวขมุกขมัวราวกับไม่แบ่งแยกคืนวัน
ทั้งสองคนกกกอดกันในมิติแห่งนี้ไม่รู้นานเท่าไร หลิ่วหมิงผู้ลิ้มรสชาติสตรีเป็นครั้งแรกราวกับมีเรี่ยวแรงไม่หมดไม่สิ้น ไม่อาจถอนตนเองออกมาได้อย่างสิ้นเชิง กำลังวังชาประหนึ่งใช้ชั่วนิรันดร์ก็ไม่มีวันหมด
หญิงสาวก็ไม่มีทีท่าว่าจะฟื้นคืนสติแม้แต่น้อย ตั้งแต่ต้นจนจบเรือนร่างอ้อนแอ้นแนบติดอยู่กับคนด้านบน สองแขนยึดแผ่นหลังของหลิ่วหมิงไว้แน่น ร้องขอหลิ่วหมิงไม่หยุดราวกับความปรารถนายังไม่ได้รับการเติมเต็มดุจเดียวกัน
ไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าไรไอหมอกสีชมพูจึงค่อยๆ กระจายออกทีละน้อย เส้นไหมสีเลือดที่วนเวียนอยู่ด้านในก็ทยอยสลายหายไปจนเผยชายหญิงสองคนที่ทั้งร่างเปลือยเปล่ากอดรัดกันแน่นหลับสนิทอยู่ด้วยกันออกมา
พริบตาที่ไอหมอกสลายหายไปอย่างสิ้นเชิง เงาเชอฮ่วนที่อยู่ใกล้ๆ ก็กลายเป็นแสงสีน้ำเงินสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่จมลงไปในหัวไหล่ของหลิ่วหมิงดัง “ฟึบ”
หลิ่วหมิงที่กำลังหลับสนิทอยู่ตื่นได้สติขึ้นมาทันที เขาเบิกตาโพลงในทันใด แล้วพบว่ามีดวงหน้าอันงดงามชวนตะลึงของหญิงสาวอยู่ตรงหน้า ลมหายใจของนางเหมือนกลิ่นกล้วยไม้ ดวงตาทั้งคู่ที่มองเขาเต็มไปด้วยความตะลึงงันเช่นเดียวกัน สองมือของเขากำลังจับอยู่บนเอวเปล่าเปลือยที่อ่อนนุ่มราวกับไร้กระดูกของอีกฝ่าย