ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 955 ต่อสู้โรมรัน
“แย่แล้ว!”
หลานซือผู้อยู่นอกค่ายกลมองเห็นทุกสิ่งตรงหน้า ในดวงตานางทอประกายประหลาด ขณะที่ปากท่องมนตร์แผ่วเบาหลายประโยค ร่างกายก็พร่าเลือนวูบหนึ่งพาคลื่นสีฟ้าวงแล้ววงเล่าพุ่งเข้าไปในมหาค่ายกลวิญญาณพฤกษา ร่างกายผสานเข้าไปในค่ายกล
ร่างกายของหลิ่วหมิงลอยอยู่บนท้องฟ้า เขายังไม่ทันตั้งหลักได้ แสงสีเลือดก็สว่างขึ้นเบื้องหน้า ร่างกายของจี๋อิ่งโผล่ออกมา แสงสีแดงจากกรงเล็บแหลมคมทั้งห้าส่งเสียงหวีดแหลมออกมาทันที
ในเวลานี้เองกิ่งใบและเถาวัลย์นับไม่ถ้วนพลันโถมบ้าคลั่งมาจากสี่ด้านแปดทิศ เพียงชั่วครู่ก็ก่อตัวเป็นกำแพงเถาวัลย์ขวางอยู่ระหว่างจี๋อิ่งกับหลิ่วหมิง
ทันทีที่ประกายกรงเล็บสีเลือดพุ่งผ่าน กำแพงเถาวัลย์ที่แข็งแกร่งประหนึ่งเหล็กกล้าก็ถูกฉีกกระชากเป็นชิ้นๆ เช่นเดียวกับเต้าหู้ เศษไม้ปลิวว่อนเต็มท้องฟ้า
ทว่าเพียงชั่วครู่ที่ชะงักนี้ร่างกายของหลิ่วหมิงก็ขยับหายวับหลายหนก่อนจะเร้นกายหายไปในมหาค่ายกลวิญญาณพฤกษาอีกครั้ง
“หลานซือ ข้าจะฉีกศพเจ้าเป็นหมื่นชิ้น!” จี๋อิ่งคำรามอย่างเกรี้ยวกราด แขนสองข้างขยับเล็กน้อย เงากรงเล็บสีเลือดผืนใหญ่แหวกอากาศดังฟึบๆ ครอบทับลงมาหน้าจุดที่หลิ่วหมิงซ่อนตัวอยู่
เสียงบึ๊มดังสนั่น!
ต้นไม้ใหญ่ลำต้นหนาหลายต้นทานทนเงากรงเล็บที่ตวัดใส่ได้เพียงหนึ่งลมหายใจก็พังทลายไปทั้งอย่างนั้น
ชั่วขณะหนึ่งเสียงคำรามเกรี้ยวกราดสอดผสานกับเสียงต้นไม้ปริแตก เงากรงเล็บสีเลือดข้างแล้วข้างเล่าร่วงลงบนต้นไม้ใหญ่รอบด้านอย่างหนักหน่วง แม้ต้นไม้เหล่านี้มีวิชาลับของหลานซือเสริมส่งจนแข็งแกร่งดุจเหล็กกล้า ทว่าเมื่อจี๋อิ่งผู้อยู่ในสภาวะคลั่งทำลายอย่างเหิมเกริม ส่วนใหญ่ขวางเขาได้ไม่เกินสองสามครั้งก็ส่งเสียงดังสนั่นพังทลายท่ามกลางเงากรงเล็บมากมาย
ในเวลาเดียวกันหลิ่วหมิงเอนพิงอยู่กับต้นไม้ใหญ่ต้นหนึ่งห่างไปหลายสิบจั้ง เขาหลับตาทั้งสองข้าง หูกับจมูกมีเลือดไหล หน้าอกกับหัวไหล่ล้วนถูกจี๋อิ่งตะปบเป็นแผลขนาดมหึมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งตรงหน้าอกนี้หากไม่ได้ใช้เคล็ดวิชาเกราะอสูรขวางเอาไว้ก็คงถูกควักเป็นโพรงไปแล้ว แต่ใบหน้าของเขายังคงเรียบเฉยประหนึ่งบนร่างไม่มีอาการบาดเจ็บแม้แต่น้อย
“สหายหลิ่ว เจ้ายังไหวไหม?” บนกิ่งไม้หนาหนึ่งจั้งกว่ากิ่งหนึ่งด้านหน้าหลิ่วหมิง แสงสีฟ้าสว่างขึ้นวูบหนึ่ง ก่อนที่ร่างกายของหลานซือจะโผล่ออกมา
หากไม่ใช่ว่าหน้าอกของหลิ่วหมิงยังขยับขึ้นลงน้อยๆ อยู่ไม่หยุด นางก็คงคิดว่าเขาเป็นคนตาย
หลิ่วหมิงลืมตาสองข้างขึ้นช้าๆ จากนั้นพลิกมือเรียกยันต์สีเขียวอ่อนแผ่นหนึ่งออกมาแปะไว้บนปากแผล จากนั้นเรียกขวดหยกใบหนึ่งออกมาอีกครั้งแล้วเทโอสถเม็ดหนึ่งออกมากลืนลงไป เลือดบนหัวไหล่กับหน้าอกจึงค่อยๆ หยุดไหล
“ไม่เป็นไร” หลิ่วหมิงเอ่ยขึ้นเรียบๆ
“ถ้าเช่นนั้นก็ดี คิดไม่ถึงว่ากายเนื้อของพี่หลิ่วจะแข็งแกร่งกว่าที่ข้าเคยคิดเอาไว้ หากเป็นเช่นนี้ศึกนี้พวกเราก็มั่นใจได้เพิ่มอีกหนึ่งส่วน จี๋อิ่งใช้วิชาลับเพลิงโลหิตของเผ่าแล้ว แม้พลังเพิ่มขึ้นมากแต่คงอยู่ได้ไม่นานนัก ข้าจะพยายามยื้อเขาเอาไว้ให้ได้นานที่สุด ซื้อเวลาให้สหายหลิ่วฟื้นตัว ขอเพียงทนผ่านช่วงเวลานี้ไปได้ จี๋อิ่งตายแน่อย่างไม่ต้องสงสัย” หลานซือเอ่ยเช่นนี้ สีหน้าก็ผ่อนคลายลงเล็กน้อย
หลิ่วหมิงพยักหน้า เขาไม่พูดจาแต่โคจรวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเงียบๆ ละลายโอสถที่กินลงไป
หลานซือเห็นเช่นนี้ มือข้างหนึ่งก็ตั้งท่าเคล็ดวิชา ขณะที่ปากท่องมนตร์ด้วยเสียงรื่นหู มือและเท้าที่เผยออกมาด้านนอกปรากฏลวดลายไม้สีฟ้าวงแล้ววงเล่า ดวงตาทั้งสองข้างเปล่งแสงรัศมีสีม่วงอ่อนออกมา
ในเวลาเดียวกันนี้ปราณปีศาจบนร่างของนางฉับพลันก็เพิ่มขึ้นอย่างมาก ต้นไม้รอบด้านราวกับได้รับผลกระทบ กิ่งก้านและใบล้วนกลายเป็นสีฟ้าอ่อน หลังจากนั้นร่างกายของนางก็ขยับกลืนหายไปท่ามกลางหมู่พฤกษารอบด้าน หายไปจากตรงนี้อย่างไร้ร่องรอย
ด้านในมหาค่ายกลวิญญาณพฤกษาจี๋อิ่งมองเห็นต้นไม้ใหญ่รอบด้านกลายเป็นสีฟ้าอ่อนทั้งผืนอย่างกะทันหัน เริ่มแรกตะลึงเล็กน้อย แต่จากนั้นก็หัวเราะหยัน กรงเล็บทั้งสองเหวี่ยงส่งๆ ครั้งหนึ่งก็มีประกายกรงเล็บมากมายผืนหนึ่งซัดออกไป ต้นไม้ใหญ่กลุ่มหนึ่งรอบตัวโค่นลงตามทันที
ทว่าหลังจากนั้นบนต้นไม้ทุกต้นบริเวณใกล้ๆ กลับมีเถาวัลย์สีฟ้าเส้นแล้วเส้นเล่าโผล่ออกมา เริ่มแรกหนาไม่เกินข้อมือ แต่พริบตาพวกมันก็เติบโตจนหนาเท่าถังน้ำ อีกทั้งเส้นเถาวัลย์ยังบิดเลื้อยอย่างรวดเร็วและเริ่มผลิดอกออกผล เกิดเป็นน้ำเต้าที่ทอแสงสีฟ้าลูกแล้วลูกเล่าอยู่รอบตัวจี๋อิ่ง
“เหอะ เล่นลูกไม้!” จี๋อิ่งแววตาเคร่งขรึม แต่ปากกลับคำรามลั่น สองแขนยื่นออกมา กรงเล็บแหลมคมคู่หนึ่งเหวี่ยงออกมาจากสองฝั่งโดยฉับพลัน
แสงสีแดงรูปจันทร์เสี้ยวสิบสายปรากฏออกมาจากความว่างเปล่าพุ่งดังหวีดหวิวออกไปสองฝั่ง ฟาดฟันน้ำเต้าสีฟ้าอ่อนเต็มท้องฟ้าอย่างรวดเร็ว
เสียง “ฟึบ” “ฟึบ” ดังขึ้นต่อเนื่อง!
น้ำเต้าสีฟ้าอ่อนเหล่านี้แตกกระจุยในหนึ่งการโจมตี
เพียงพริบตาปราณสีฟ้าอ่อนก็ท่วมทะลักออกมาจากน้ำเต้าที่ปริแตกเหล่านั้นจนเต็มฟ้า ไอเย็นยะเยือกท่วมท้นล้อมจี๋อิ่งไว้ด้านใน
น้ำแข็งแกร่งชั้นแล้วชั้นเล่าลามไปรอบตัวจี๋อิ่ง เพียงชั่วหนึ่งลมหายใจเข้าออกเขาก็กลายเป็นรูปสลักน้ำแข็งใสแวววาวชิ้นหนึ่งและมีปราณสีฟ้าวงแล้ววงเล่าล้อมวนเวียนอยู่ใกล้ๆ ทำให้รูปสลักน้ำแข็งหนาและแข็งแกร่งขึ้นอย่างต่อเนื่อง
เสียงฟึบดังขึ้นหลายครั้ง เถาวัลย์สิบกว่าเส้นหวดมาถึงรูปสลักน้ำแข็งหมายจะโจมตีมันให้แหลกในครั้งนี้
ทว่าในเวลานี้เอง รูปสลักน้ำแข็งก็ระเบิดตัวเองดัง “เปรี้ยง” เศษน้ำแข็งพุ่งกระจายทั่วท้องฟ้า แสงสีเลือดหนาเส้นหนึ่งพุ่งขึ้นสู่ท้องนภา
หมาป่ายักษ์สีเลือดตัวหนึ่งปรากฏกายขึ้นท่ามกลางแสงสีเลือดอย่างกะทันหัน ชุดเกราะสีแดงหม่นที่สวมอยู่บนร่างของหมาป่าเปล่งแสงสีแดงแสบตาออกมาทั่วตัว หลังจากที่เถาวัลย์กับกิ่งไม้ทั้งหมดสัมผัสถูกมันเพียงนิดก็ทยอยถูกกระแทกสลายเป็นผุยผง
จี๋อิ่งเผยร่างปีศาจดั้งเดิมออกมาในห้วงวิกฤติครั้งนี้
เสียง “เปรี้ยง” ดังสนั่นขึ้นครั้งหนึ่ง
หมาป่ายักษ์เหวี่ยงกรงเล็บขาหน้า แสงกรงเล็บสีเลือดห้าสายซัดผ่านไป สะบั้นต้นไม้ยักษ์เจ็ดถึงแปดต้นตรงกลางลำต้นเป็นรอยตัดเรียบกริบ
“เหอะ! พวกเจ้าคิดว่าหลบอยู่ในมหาค่ายกลวิญญาณพฤกษาจะปลอดภัยหรือ ถ้าเช่นนั้นคอยดูข้าจะทำลายป่าผืนนี้ให้สิ้นซาก!” หมาป่ายักษ์สีเลือดคำรามคลุ้มคลั่ง
ชั่วอึดใจต่อมาเสียงหอนของหมาป่าพลันดังกังวาน เขี้ยวโค้งแหลมคมดั่งดาบคมกริบยื่นออกมาจากปากหมาป่ายักษ์ ร่างกายมันขยับวูบกลายเป็นรุ้งสีเลือดเส้นหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกมา
ฉึบๆ !
จุดที่รุ้งสีเลือดผ่าน เถาวัลย์กับลำต้นหนาที่แลดูแข็งแกร่งอย่างยิ่งกลับกลายเป็นบอบบางยิ่งนัก พวกมันทยอยถูกสะบั้นแหลกกระจุย หลังจากเหาะวนไม่กี่รอบ มหาค่ายกลวิญญาณพฤกษาที่เดิมทีปิดผืนฟ้าบดบังดวงตะวันอยู่ก็เกิดช่องว่างขึ้นไม่น้อยอย่างเห็นได้ชัด
หลานซือที่อยู่นอกค่ายกลเห็นพลังทำลายล้างอันน่าตกตะลึงของร่างหมาป่ายักษ์สีเลือดของจี๋อิ่ง สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันใด ทว่าเมื่อหันหลังกลับไปมองหลิ่วหมิง นางก็เห็นว่าเขายังคงปิดตาฟื้นตัวอยู่ นางจึงกัดฟันกรอด ร่างกายเปล่งแสงสีฟ้าแล้วหายไปอย่างไร้ร่องรอยอีกครั้ง
ฉึบ!
หมาป่ายักษ์สีเลือดพุ่งเข้าชนมหาค่ายกลวิญญาณพฤกษาอย่างเหิมเกริมไม่หวั่นเกรง ลำต้นของต้นไม้ที่หนาอย่างยิ่งต้นแล้วต้นเล่าพุ่งเข้าใส่หมาป่ายักษ์เหมือนกับแขนของสิ่งมีชีวิต
แสงสีฟ้าสว่างขึ้นวูบหนึ่งลึกเข้าไปในลำต้นของต้นไม้ จากนั้นต้นไม้เหล่านี้ก็ถูกย้อมด้วยสีฟ้าอย่างรวดเร็ว
แครก แครก แครก!
เงากรงเล็บผืนหนึ่งพุ่งผ่านสะบั้นลำต้นหนาเท่าไหน้ำสามต้นติดกัน ก่อนที่แสงรัศมีจะหม่นแสงลงอย่างเห็นได้ชัด เมื่อมันฟันลงบนลำต้นของต้นที่สี่ก็ฝังลงมาได้เพียงหนึ่งฉื่อกว่าก่อนจะหายไป
“หลานซือ เจ้าถึงกับใช้ปราณต้นกำเนิดเสริมความแข็งแกร่งให้ค่ายกล ข้าก็อยากดูซิว่าเจ้าจะมีปราณต้นกำเนิดให้ผลาญเท่าไร!” หมาป่ายักษ์สีเลือดเห็นภาพนี้ก็ตกตะลึงเล็กน้อย ทว่าจากนั้นดวงตาทั้งสองข้างพลันมองไปยังทิศทางหนึ่งของมหาค่ายกลวิญญาณพฤกษาแล้วหัวเราะหยัน
สิ้นเสียง ร่างกายของมันก็เหาะเลือนหายไปอีกครั้ง แสงกรงเล็บเส้นแล้วเส้นเล่ามากมายถี่ยิบยิ่งกว่าก่อนหน้านี้ซัดบ้าคลั่งออกไปทั่วทุกสารทิศ
เปรี้ยง!
ต้นไม้ใหญ่หลายสิบต้นในมหาค่ายกลวิญญาณพฤกษาหักโค่นดังครืน ถูกแสงกรงเล็บสีเลือดสะบั้นหักกลางเป็นสองท่อน
หลานซือเห็นเช่นนี้ในใจก็ร้อนรนยิ่งนัก สีหน้าซีดเผือดดุจกระดาษ
ต้องรู้ว่ามหาค่ายกลวิญญาณพฤกษานี้สร้างมาจากพลังจิตวิญญาณของต้นไม้บริเวณร้อยลี้ที่นี่ หากต้นไม้ในค่ายกลถูกทำลายมากเกินไป ค่ายกลนี้ย่อมทลายไปเอง
การใช้มหาค่ายกลวิญญาณพฤกษาเดิมก็ผลาญพลังปีศาจของนางมากอยู่แล้ว ตอนนี้เพื่อยื้อเวลานางจึงฝืนใช้ปราณต้นกำเนิดทำให้พลังเวทของนางแทบจะแห้งเหือดจนหมด
ดูท่านางจะประเมินความสามารถในการปราบจี๋อิ่งของมหาค่ายกลวิญญาณพฤกษาสูงเกินไปอยู่บ้าง
ทว่าในยามที่จิตใจของสตรีนางนี้จมดิ่งอยู่นั่นเอง เงาสีดำร่างหนึ่งพลันพุ่งออกมาจากผืนป่าอีกด้านหนึ่งของค่ายกลแล้วต่อยหมัดหนึ่งออกมากลางอากาศอย่างไม่ไว้ไมตรีแม้แต่น้อย
ปราณดำผืนใหญ่พวยพุ่งตามหมัดออกมา พริบตาเดียวก่อตัวเป็นพยัคฆ์หมอกสีดำสนิทขนาดหลายจั้งตัวหนึ่งร้องคำรามกระโจนเข้าใส่หมาป่ายักษ์สีเลือด
เงาคนร่างนี้ย่อมคือหลิ่วหมิง
ชั่วขณะที่หลานซือพยายามยื้อทำให้สีหน้าเขาดีขึ้นมากและฟื้นลมปราณบางส่วนมาได้ในที่สุด
หมาป่ายักษ์สีเลือดคำรามเกรี้ยวกราด ทันใดนั้นมันก็ยืนสองขาขึ้น ตะปบกรงเล็บคู่หน้าไขว้กัน ประกายแสงกรงเล็บผืนใหญ่ฉีกพยัคฆ์หมอกเป็นชิ้นๆ ทันที
เสียง “ฉึบๆ” ดังออกมา ประกายแสงของกรงเล็บสีเลือดไม่มีสิ่งใดขวางก็พุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิงด้วยความเร็วที่ไม่ลดลง
หลิ่วหมิงกลับไม่ลนลาน ร่างกายขยับวูบเดียวพลันกลายเป็นเงาลวงสี่ร่างแยกย้ายกันออกไป
ทว่าอึดใจต่อมา หลังเสียงฟึบดังขึ้นสามครั้ง เงาลวงสามร่างก็ถูกตาข่ายกรงเล็บสีเลือดตะปบทำลาย เงาลวงร่างเดียวที่เหลืออยู่ฉวยโอกาสพุ่งออกมา หลังจากมันหยุดนิ่งห่างออกมาสิบกว่าจั้ง ร่างต้นของหลิ่วหมิงก็เผยออกมาอีกครั้ง
หลิ่วหมิงในเวลานี้ใช้เคล็ดวิชาด้วยมือข้างเดียว บนแผ่นหลังมีปีกเนื้อสีเงินคู่หนึ่งโผล่ออกมา หลังจากกระพืออย่างแรงครั้งหนึ่งเขาพลันกลายเป็นเงาสีเงินสายหนึ่งพุ่งเร็วรี่ออกไป
หมาป่ายักษ์สีเลือดคำรามทุ้มต่ำครั้งหนึ่งแล้วเหาะกระโจนเข้าหากลายเป็นรุ้งสีเลือดเส้นหนึ่งตามติดไม่ลดละ
การต่อสู้โรมรันชั่วครู่นี้ทำให้หลานซือได้มีเวลาพักหายใจเล็กน้อย!
สตรีนางนี้กินโอสถหลายเม็ดลงไปอย่างเร็วไว หลังจากฟื้นพลังเวทบางส่วนกลับมาได้ก็ควบคุมค่ายกลอีกครั้ง
ต้นไม้ยักษ์ต้นแล้วต้นเล่าผุดออกจากพื้นดินในค่ายกลพร้อมกับเสียงท่องมนตร์!
ทะเลต้นไม้ที่ถูกจี๋อิ่งทำลายไปฟื้นคืนกลับมาไม่น้อยในเวลาเพียงไม่กี่ลมหายใจ เถาวัลย์ กิ่งก้านและลำต้นหนาจำนวนนับไม่ถ้วนบดบังผืนนภาไว้จนมิดอีกครั้ง
หลิ่วหมิงผู้กำลังเผชิญหน้ากับการโจมตีอันบ้าคลั่งของหมาป่ายักษ์สีเลือดพยายามยื้อเวลาไว้ให้ได้มากที่สุด เขาอาศัยค่ายกลหลบการไล่ล่าสังหารอีกครั้ง ส่วนหลานซือก็ร่วมมืออย่างยิ่งควบคุมพลังของค่ายกลถ่วงเวลาจี๋อิ่งไว้
แม้หมาป่ายักษ์สีเลือดจะโกรธจนเต้นผางแต่ชั่วขณะหนึ่งก็ทำอันใดทั้งสองคนไม่ได้
เวลาชั่วหนึ่งมื้ออาหารผ่านไปเช่นนี้ ในที่สุดดวงตาหมาป่ายักษ์ของจี๋อิ่งก็เผยแววตาตระหนกลนลานออกมาเล็กน้อย
หลังจากเวลาผ่านไปอีกครู่หนึ่งหมาป่ายักษ์ที่เดิมทีพุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิงอยู่ก็ส่องแสงสีเลือดออกมาทั่วร่างแล้วกลับเป็นร่างมนุษย์ เขาตกตะลึงหยุดยืนอยู่ที่เดิม ทว่าต่อจากนั้นสองมือก็พลิกเรียกลูกแก้วกลมสีเทาขมุกขมัวสี่ลูกแล้วโยนออกไป
เสียง “ปุ้ง” “ปุ้ง” ดังแผ่วเบาหลายครั้ง!
ลูกแก้วกลมสี่ลูกหมุนอยู่ข้างตัวเขารอบหนึ่งก่อนจะเปล่งแสงสีเทาแถบใหญ่แล้วก่อตัวกลายเป็นเขตแดนสีเทาขนาดหลายจั้ง ไอหมอกอบอวลก่อตัวเป็นรูปสี่เหลี่ยมลูกบาศก์แลดูแข็งแกร่งอย่างยิ่ง
จี๋อิ่งผู้อยู่ในเขตแดนล้วงโอสถกำใหญ่ออกมาอย่างเร็วไวแล้วยัดเข้าไปในปากอย่างบ้าคลั่ง