ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ - ตอนที่ 956 ตราประทับหลานมู่กับจิตวิญญาณอาวุธ
เวลานี้เถาวัลย์กับลำต้นของต้นไม้นับไม่ถ้วนโอบรัดเข้ามาราวกับมีชีวิต แต่ไม่ว่าจะหวดฟาดหรือเบียดอย่างไร เขตแดนสีเทาก็ยังคงมั่นคงดังเดิม ไม่สั่นไหวแม้แต่นิด
หลังจากที่จี๋อิ่งกลืนโอสถในปากลงไปอย่างเร็วไว แสงสีฟ้าพลันส่องสว่างในมือ ตราประทับโบราณขนาดใหญ่ที่ส่องแสงระยิบระยับสีฟ้าชิ้นหนึ่งปรากฏขึ้น
ตราประทับนี้ขนาดใหญ่เท่าศีรษะและเป็นรูปสี่เหลี่ยม ด้านบนสลักอักษรภาพประหลาดที่แลดูเหมือนจะเป็นอักษรยุคโบราณไว้ แสงสีฟ้าระลอกแล้วระลอกเล่าแผ่ขยายออกมาจากตราประทับชิ้นใหญ่
ทันทีที่เถาวัลย์ซึ่งโอบรัดอยู่บนเขตแดนสัมผัสถูกแสงสีฟ้าที่แผ่ออกมาจากตราประทับ พวกมันก็แห้งเหี่ยวสลายไปอย่างรวดเร็ว
“ตราประทับหลานมู่!” ทันทีที่แสงสีฟ้าส่องสว่าง ร่างกายของหลานซือที่อยู่ไม่ไกลก็เผยออกมา นางจ้องตราประทับในมือจี๋อิ่งเขม็ง ดวงตาฉายแววตกตะลึงระคนโกรธเกรี้ยว
จี๋อิ่งหัวเราะหยันอยู่ในเขตแดน ในใจเกิดความเสียดายขึ้นมาเล็กน้อย
ตราประทับหลานมู่คือหนึ่งในรากฐานของเผ่าหลานมู่ ใช้เพียงครั้งเดียวก็ทำลายมหาค่ายกลวิญญาณพฤกษาได้ในพริบตา
ทว่าสมบัติชิ้นนี้มีระยะเวลาการใช้จำกัด เมื่อใช้ครั้งหนึ่งแล้วในเวลาสั้นๆ ไม่อาจใช้ได้เป็นครั้งที่สอง
ตราประทับหลานมู่เป็นสมบัติชิ้นสำคัญในการบรรลุเป้าหมายสำคัญอีกหนึ่งอย่างในการเดินทางมายังเศษซากโลกบนครั้งนี้ของเผ่าหมาป่าเงา ทว่าเวลานี้เพื่อรักษาชีวิตไว้ จี๋อิ่งย่อมไม่มีเวลาสนใจสิ่งเหล่านี้
ตราประทับหลานมู่ราวกับหลุมไร้ก้น มันดูดพลังเวททั้งร่างของเขาเข้าไปไม่ขาดสาย
จี๋อิ่งเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ แม้พลังเวทลึกล้ำ แต่การไล่ล่ารวมถึงสู้ศึกดุเดือดหลายครั้งติดกันหลายวัน อีกทั้งไม่นานก่อนหน้านี้ยังใช้วิชาสภาวะคลั่งไปอีก เวลานี้เขาจึงรู้สึกว่ารับไม่ไหวอยู่เล็กน้อย
เวลาเพียงสองสามลมหายใจ อักขระประหลาดบนตราประทับก็ส่องสว่างขึ้นมาทีละตัวๆ
เสียง “วิ้ง” ดังสะท้าน ตราประทับหลานมู่ลอยขึ้นจากมือเขาแล้วแผ่วงแหวนแสงสีฟ้าอันรุนแรงวงแล้ววงเล่าออกมา
เมื่อแสงสีฟ้าสาดส่อง เขตแดนสีเทาก็หม่นแสงลงด้วยความเร็วที่มองเห็นได้ด้วยตาเปล่า ในที่สุดมันก็ส่งเสียงเปรี๊ยะแล้วแตกร้าวกลับกลายเป็นลูกกลมสีเทาที่หม่นหมองไร้ประกายสี่ลูกร่วงหล่นลงบนพื้น
ทันทีที่ต้นไม้นอกค่ายกลสัมผัสถูกแสงสีฟ้าพวกมันก็อ่อนยวบสลายกลายเป็นไอหมอกสีเขียวหนาทึบโถมมืดฟ้ามัวดินเข้าใส่จุดที่จี๋อิ่งอยู่อย่างรวดเร็ว
จี๋อิ่งชูตราประทับในมือขึ้นสูงแล้วเอ่ยท่องมนตร์ ไอหมอกทั้งหมดรอบด้านฉับพลันถูกตราประทับหลานมู่กลืนกินเข้าไปราวกับวาฬสูบน้ำ
ทั้งหมดกินเวลาไม่ถึงเจ็ดแปดลมหายใจ มหาค่ายกลวิญญาณพฤกษาสีเขียวขจีที่กินพื้นที่หลายร้อยจั้งก็พังทลายลงอย่างสมบูรณ์ เงาร่างของคนสองคนเผยออกมาบนท้องฟ้าห่างไปหลายสิบจั้ง พวกเขาก็คือหลิ่วหมิงกับหลานซือนั่นเอง
“ฮ่าๆ ไม่มีมหาค่ายกลวิญญาณพฤกษาแล้ว อย่างพวกเจ้าสองคนยังจะมีลูกไม้อะไรอีก…” จี๋อิ่งเหาะไปด้านหน้าอย่างเชื่องช้าขณะที่หัวเราะลั่น
ผิดจากที่เขาคาด บนใบหน้าของหลิ่วหมิงกับหลานซือกลับไม่มีความตื่นตระหนกที่ค่ายกลถูกทำลายแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามพวกเขากลับมองมาที่เขาด้วยแววตาที่เหมือนจะนิ่งสงบ
เสียงหัวเราะของจี๋อิ่งชะงักไป หัวใจเต้นตึกตักครั้งหนึ่ง สังหรณ์ร้ายบางอย่างทะลักเข้ามาในหัวใจ ทว่าเขาก็หาใช่คนทั่วไปไม่ ดวงตาฉายแววเหี้ยมเกรียมขึ้นมาทันที คิดจะสังหารสองคนนี้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ไม่มีมหาค่ายกลวิญญาณพฤกษาก่อกวนแล้ว ถ้าอาศัยพลังจากสภาวะคลั่งสองถึงสามส่วนที่ยังหลงเหลือในร่าง เขามั่นใจได้เจ็ดถึงแปดส่วนว่าจะสังหารคนใดคนหนึ่งได้ในเวลาอันสั้น
อึดใจต่อมาจี๋อิ่งจึงกระโจนเข้าใส่ทั้งสองคน ทว่าทันทีที่ขยับ จุดสำคัญหลายแห่งบนร่างก็เจ็บแปลบแล้วสูญเสียความรู้สึก ปราณปีศาจกับเรี่ยวแรงในร่างหายไปไร้ร่องรอยในพริบตา
สองตาเขาเบิกโพลง ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้าไม่อยากเชื่อ เขาใช้เรี่ยวแรงเฮือกสุดท้ายฝืนหันศีรษะไปได้เล็กน้อย ในที่สุดก็ใช้ปลายหางตามองเห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับร่างกาย
ตราประทับหลานมู่ที่เดิมเขาถืออยู่ในมือมีเส้นไหมใสแวววาวเรียวเล็กอย่างที่สุดหลายเส้นพุ่งออกมาตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ พวกมันทะลวงผ่านชุดเกราะสีแดงหม่นชุดนั้นบนร่างอย่างเงียบเชียบ เสียบลึกเข้ามาในร่างกายที่แข็งแกร่งทัดเทียมอาวุธจิตวิญญาณของเขา
ตราประทับหลานมู่ในยามนี้เดี๋ยวหม่นแสงเดี๋ยวส่องสว่างราวกับหัวใจดวงหนึ่งที่กำลังเต้น หลังจากเส้นไหมใสแวววาวที่พุ่งออกมาจากด้านในสั่นไหวไม่กี่ครั้ง มันก็สูบเอาปราณปีศาจทั้งร่างของจี๋อิ่งเข้าไป จากนั้นมันก็เริ่มสูบเลือดและปราณกับจิตวิญญาณของเขาพร้อมกับส่งเสียงดังชี่อย่างรื่นเริง
จี๋อิ่งร้องลั่นได้ครั้งเดียวร่างกายที่สูงสองถึงสามจั้งก็แห้งอย่างรวดเร็ว เพียงครู่เดียวเขาก็กลายเป็นมนุษย์แห้งร่างหนึ่ง
ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจระดับแก่นแท้ผู้ที่นับได้ว่ามีชื่อเสียงเลื่องลือบนแผ่นดินหมานฮวงผู้นี้กลับตกตายในหุบเขาไร้นามบนเศษซากแห่งโลกบน
เสียงกึกดังขึ้นหลายครั้ง ลมปราณในชุดเกราะสีแดงหม่นบนร่างศพแห้งถูกเส้นไหมใสแวววาวสูบจนเกลี้ยงในไม่กี่ลมหายใจเช่นกัน พวกมันกลายเป็นเกราะเหล็กไร้ประกายหลุดเป็นชิ้นๆ หล่นร่วงสู่เบื้องล่าง
ตราประทับหลานมู่ที่กินจนอิ่มหนำหลุดจากมือของศพแห้งกรังแล้วลอยอยู่กลางอากาศเพียงลำพัง มันแผ่วงแหวนแสงสีฟ้าวงแล้ววงเล่าออกมาต่อ
หลิ่วหมิงเห็นภาพนี้ก็เป่าลมหายใจออกมายาวๆ แต่ไม่เผยสีหน้าตกใจออกมามากมายนัก
ก่อนศึกนี้หลานซือบอกความลับที่แท้จริงของตราประทับหลานมู่ให้เขารู้ก่อนแล้ว
สาเหตุที่ตราประทับชิ้นนี้เป็นอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าหลานมู่ได้ก็เพราะภายในตราประทับผนึกจิตวิญญาณอาวุธที่น่ากลัวอย่างที่สุดดวงหนึ่งไว้ และเงื่อนไขในการปลุกมันก็คือต้องวางมหาค่ายกลวิญญาณพฤกษาแล้วให้คนของเผ่าหลานมู่คนหนึ่งเปิดผนึก ก่อนจะมอบเครื่องสังเวยที่เปี่ยมด้วยเลือดเนื้อชั้นเยี่ยมให้ ผู้ที่ถูกสังเวยจำต้องเป็นผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจระดับแก่นแท้คนหนึ่ง เป็นสิ่งแลกเปลี่ยนที่ไม่อาจเรียกว่าน้อยได้เลย
หลังจากจิตวิญญาณอาวุธตื่นขึ้นมาอย่างสมบูรณ์ ตราประทับหลานมู่ย่อมสำแดงพลังออกมาได้มากกว่าเดิม อีกทั้งยังมีพลังลี้ลับมหัศจรรย์อย่างที่สุดเพิ่มขึ้นอีกมากมาย ทว่ามันกลับควบคุมยากยิ่งนัก ดังนั้นยามปกติเผ่าหลานมู่จึงไม่ยินดีปลุกมันขึ้นมา
เมื่อเป็นเช่นนี้นานวันเข้านอกจากหัวหน้าเผ่ากับคนจำนวนน้อยไม่กี่คนของเผ่าหลานมู่ คนในเผ่าส่วนใหญ่จึงไม่รู้ความลับที่แท้จริงของตราประทับหลานมู่ ยามใช้อาวุธศักดิ์สิทธิ์ชิ้นนี้ก็ใช้ได้เพียงความสามารถในการสนับสนุนหรือเสริมพลังง่ายๆ จำนวนหนึ่งของมันเท่านั้น
เผ่าหมาป่าเงาย่อมไม่รู้ความจริงของตราประทับหลานมู่มากยิ่งกว่า พวกเขาบังคับแย่งชิงมันมาเพียงเพราะเห็นค่าคุณสมบัติในการเสริมพลังอันไม่ธรรมดาของมันกับความสำคัญของมันที่มีต่อเผ่าหลานมู่เท่านั้น
เดิมทีฐานะที่เผ่าหลานมู่ของหลานซือก็ไม่ต่ำต้อย นางเคยบังเอิญมีโอกาสรู้ความลับที่แท้จริงของตราประทับหลานมู่และได้เรียนรู้วิธีปลุกจิตวิญญาณอาวุธ นางจึงร่วมมือกับหลิ่วหมิงวางแผนการครั้งนี้ขึ้นมา
แผนการคร่าวๆ ก็คือก่อนอื่นนางจะวางมหาค่ายกลวิญญาณพฤกษาไว้ล่วงหน้า ตัวหลิ่วหมิงทำหน้าที่เหยื่อล่อแล้วอาศัยมหาค่ายกลวิญญาณพฤกษากดพลังของจี๋อิ่งบีบให้เขาใช้ตราประทับหลานมู่
หลังจากนั้นหลานซือจะใช้วิชาลับลอบสื่อสารกับจิตวิญญาณอาวุธ อาศัยจิตวิญญาณอาวุธกับพลังของตราประทับหลานมู่ลอบสังหารจี๋อิ่งให้บรรลุผล
เวลานี้ศัตรูตัวฉกาจถูกกำจัดลงแล้ว แม้นางจะดีใจเจียนคลั่ง แต่เมื่อมองไปยังตราประทับหลานมู่ที่ลอยอยู่กลางอากาศ ใบหน้ากลับเผยสีหน้าจริงจังออกมาใหม่อีกครั้ง
หลังจากสูบโลหิตและปราณปีศาจของจี๋อิ่งไปจนหมด ยามนี้ตราประทับยังมีเส้นไหมใสแวววาวพุ่งออกมาจากผิวสะบัดส่ายไปมาทั่วทุกสารทิศราวกับยังไม่เต็มอิ่ม
เวลานี้บนผิวของตราประทับหลานมู่ปรากฏใบหน้าพร่ามัวดวงหนึ่งขึ้นมาเลือนราง สองตาเฉยชามองมาทางทั้งสองคนพร้อมกับที่ปราณดุร้ายสายหนึ่งค่อยๆ แผ่ไปทั่ว
“สหายหลาน”
หลิ่วหมิงเห็นสภาพเช่นนี้สีหน้าก็เปลี่ยนไปเล็กน้อย เอ่ยปากเตือนขึ้นคำหนึ่ง
“สหายวางใจเถิด ข้ารู้ว่าต้องทำอย่างไร” หลานซือได้ยินก็ตอบอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย
สิ้นเสียงเรือนร่างอรชรของนางก็ขยับพุ่งรวดเร็วเข้าไป หลังจากขยับไม่กี่หนนางก็ปรากฏตัวอยู่ใกล้ตรงหน้าตราประทับ
สตรีชุดฟ้าในยามนี้สีหน้าเคร่งขรึมอย่างที่สุด สองมือยกขึ้นวางระนาบตรงหน้าอก แสงสีฟ้าส่องสว่าง กิ่งไม้แห้งประหลาดกิ่งหนึ่งปรากฏขึ้นมาจากความว่างเปล่า หลังจากนั้นริมฝีปากพลันเอ่ยท่องมนตร์งึมงำฟังไม่ชัดยาวเป็นพรวนอย่างเร็วไว
พร้อมกับที่เสียงท่องมนตร์ดังขึ้น กิ่งไม้แห้งในมือนางฉับพลันก็เปล่งแสงเรืองรองสีฟ้าชั้นหนึ่งออกมา มันม้วนตัวครั้งหนึ่งแล้วหุ้มตราประทับหลานมู่รวมทั้งตัวนางเองเข้าไปด้านใน
หลานซือจมลงไปในแสงเรืองรองสีฟ้านี้ เส้นไหมใสแวววาวที่สะบัดร่อนอยู่บนผิวของตราประทับสีฟ้าฉับพลันสงบลง
เมื่อเห็นเช่นนี้หลานซือก็โล่งอก ริมฝีปากงามเผยอขึ้นเล็กน้อยพ่นอักขระสีฟ้าไม่ทราบนามตัวแล้วตัวเล่าออกมา พวกมันกะพริบวูบหนึ่งก่อนจะทยอยร่วงลงบนตราประทับ
เป็นเช่นนี้หนึ่งก้านธูปเต็ม อักขระที่ส่องสว่างบนตราประทับจึงหม่นแสงลงช้าๆ เส้นไหมใสแวววาวนับไม่ถ้วนหดกลับไป ใบหน้ามนุษย์ที่โผล่ออกมาก็ไม่มีกลิ่นอายโหดเหี้ยมอีกและเลือนหายไปในพริบตา
ปั้ก!
หลังจากแสงสายสุดท้ายหายไปจากบนตราประทับหลานมู่ ตราประทับชิ้นนี้ก็ร่วงลงบนพื้นกลับคืนสภาพเดิม
หลานซือสีหน้าผ่อนคลายลง บนหน้าผากมีเหงื่อเม็ดน้อยซึมออกมา ทว่านางก็คว้าตราประทับหลานมู่มาไว้ในมือทันที หลังจากตรวจดูอย่างละเอียดอยู่เนิ่นนานจึงเผยสีหน้าตื่นเต้นยินดีเล็กน้อยออกมา
หลิ่วหมิงมองหลานซือครั้งหนึ่งจากนั้นก็เหาะไปข้างศพแห้งกรังของจี๋อิ่ง เก็บกำไลสีดำสนิทวงหนึ่งจากข้อมือของเขาขึ้นมาถือเล่นในมือ
หลานซือเห็นเช่นนี้จึงถือของในมือแล้วหันไปเอ่ยขอบคุณกับหลิ่วหมิง
“ครั้งนี้ต้องขอบคุณสหายหลิ่วยิ่งนักที่ทำให้ข้าสังหารจี๋อิ่งได้อย่างราบรื่น แย่งอาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าข้ากลับมาได้!”
“สหายหลานเกรงใจเกินไปแล้ว การร่วมมือครั้งนี้ได้ประโยชน์ทั้งสองฝ่าย อีกทั้งยังมีผลแก่นแท้วิญญาณเป็นเครื่องตอบแทน ข้าจะไม่พยายามเต็มที่ได้อย่างไร” หลิ่วหมิงหัวเราะแผ่วเบา ขณะที่เอ่ยคำว่าผลแก่นแท้วิญญาณก็เน้นน้ำเสียงเหมือนตั้งใจแต่ก็ไม่ได้ตั้งใจ
“เวลานี้จี๋อิ่งถูกสังหารแล้ว ในนี้มีผลแก่นแท้วิญญาณหนึ่งผล สหายหลิ่วโปรดเก็บให้ดี” หลานซือยิ้มเล็กน้อยแล้วยกแขนข้างหนึ่งขึ้น แสงสีน้ำเงินส่องสว่างกลางฝ่ามือก่อนที่กล่องหยกทรงสี่เหลี่ยมใบหนึ่งจะปรากฏขึ้น
วัสดุที่ทำกล่องหยกดูค่อนข้างประหลาด จะเป็นโลหะก็ไม่ใช่เป็นไม้ก็ไม่เชิง ทั้งยังดูแล้วไม่เหมือนอัญมณี ทั้งกล่องเปล่งแสงสีน้ำเงินเรืองๆ อยู่ข้างบน
“หยกรงคะ…” หลิ่วหมิงมองกล่องหยกครั้งหนึ่งก็เอ่ยออกมา
“สหายหลิ่วรู้จักวัสดุชนิดนี้ด้วย ไม่ผิด กล่องใบนี้ทำมาจากหยกรงคะจริงๆ หยกรงคะมีชื่อเต็ม ว่าหยกรงคประทีป มันเป็นอัญมณีพิเศษชนิดหนึ่งที่หาได้จากแผ่นดินหมานฮวงของพวกเราเท่านั้น รับประกันได้ว่าพลังวิญญาณของผลแก่นแท้วิญญาณจะไม่รั่วไหลออกมาด้านนอก” หลานซือเอ่ยอย่างคิดไม่ถึงเล็กน้อย
หลิ่วหมิงได้ยินก็ขานตอบอย่างไม่แสดงท่าที เขารับกล่องหยกมาแล้วเปิดมันออก
จากนั้นก็เห็นว่าในกล่องหยกมีผลไม้สีน้ำเงินอ่อนรูปวงรีขนาดเท่าไข่ไก่ผลหนึ่งวางอยู่ บนผิวของผลไม้มีลวดลายจิตวิญญาณสีน้ำเงินเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่แผ่ลมปราณที่น่าตะลึงออกมา
“ไม่ผิด ของสิ่งนี้คือผลแก่นแท้วิญญาณจริง อีกทั้งสุกงอมแล้ว ฤทธิ์ยาก็ไม่หายไปเลย” หลิ่วหมิงเผยสีหน้าจริงจังออกมา เขาสำรวจอย่างละเอียดอยู่พักหนึ่งจึงพยักหน้าอย่างพึงพอใจ
“สหายหลิ่วพอใจก็ดี” หลานซือจัดเส้นผมเงางามตรงข้างหูแล้วยิ้มน้อยๆ
หลิ่วหมิงปิดกล่องหยกเรียบร้อยก็สะบัดมือครั้งหนึ่งเก็บมันเข้าไปในแหวนย่อส่วน
จากนั้นคนทั้งสองต่างก็ใช้วิชาคลายชั้นจำกัดในร่างของอีกฝ่าย
ถึงตอนนี้เรื่องที่ทั้งสองตกลงกันไว้บรรลุผลจนหมดแล้ว
อึดใจต่อมาทั้งสองคนก็มองไปยังของที่อยู่ในมืออีกฝ่าย
ในมือหลิ่วหมิงถือกำไลเก็บของที่เอามาจากร่างของจี๋อิ่งเมื่อครู่ ส่วนสิ่งที่อยู่ในมือหลานซือคือตราประทับหลานมู่
“ยามนี้จี๋อิ่งถูกสังหารไปแล้ว ของเหล่านี้ที่เหลือ เจ้ากับข้าแบ่งเท่าๆ กันเถิด” หลิ่วหมิงโยนกำไลเก็บของในมือพลางเอ่ยเรียบๆ
“ไม่จำเป็นต้องแบ่ง ข้าได้อาวุธศักดิ์สทธิ์ของเผ่าข้ากลับคืนมาก็พอใจแล้ว ของสิ่งอื่นสหายเก็บเอาไว้เถิด” หลานซือยิ้มหวานแล้วพลิกมือเก็บตราประทับหลานมู่ไป