ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 450 เมืองลอยฟ้าบนแผ่นดิน
กิเลนมังกรเหยียบเมฆอัคคีมุ่งหน้าไปทางตะวันตกเฉียงใต้ สำนักมณฑลสวรรค์อยู่ตรงหน้าพวกเขา และภูเขาสองลูกข้างหน้าก็ราวกับประตูภูเขา ข้างบนนั้นมีราชวังทุกรูปแบบปลูกสร้างเอาไว้
เยว่ชิงซานกำลังมุ่งหน้าไปยังสำนักมณฑลสวรรค์ แต่ทันใดเขาก็สังหรณ์บางอย่างและหันกลับไปเห็นกิเลนมังกรแบกฉินมู่มาบนหลัง
เยว่ชิงซานกระโดดโหยงด้วยความตกใจและรีบหยุดทันที เขาเร็วเกินไปแล้ว! หากว่าข้ากลับไปที่สำนักและฟ้องเรื่องของเขา เขาอาจจะสังหารข้าเสียที่นี่!
กิเลนมังกรหยุดวิ่งและฉินมู่ก็ทักทายเขา เยว่ชิงซานคารวะทักทายกลับ
“ไฉนพี่เยว่ไม่อยู่ร่วมเทศกาลภูเขาดอกไม้ แต่กลับมาที่สำนักมณฑลสวรรค์ล่ะ” ฉินมู่ถามด้วยสีหน้าเป็นมิตร
เยว่ชิงซานคลี่ยิ้มแก่เขาทันที “ข้านั้นหน้าตาน่าเกลียด และคงยากที่จะทำให้สาวงามพอใจได้ ดังนั้นเข้าร่วมเทศกาลภูเขาดอกไม้ไปก็ไม่มีประโยชน์”
รอยยิ้มของฉินมู่ยิ่งอบอุ่นขึ้น “พี่เยว่จะหน้าตาน่าเกลียดได้อย่างไร ท่านหล่อเหลามีความสามารถและจะต้องเอาชนะใจสาวงามได้อย่างแน่นอน ท่านกลับไปร่วมงานเทศกาลภูเขาดอกไม้จะดีที่สุด”
เยว่ชิงซานขนหัวลุกเต็มเหยียด ครั้งสุดท้ายที่ฉินมู่พูดอะไรทำนองนี้ก็เมื่อเขาร่ายรำกระบี่จักรพรรดิก่อตั้ง ทะเลโลหิต และสังหารสี่ยอดฝีมือตายคาที่!
บัดนี้เมื่อเขาทวนวลีคล้ายเดิม หากว่าเยว่ชิงซานไม่รู้จักโอนอ่อนและยืนกรานที่จะกลับไปยังภูเขา ที่รอเขาอยู่ก็คงเป็นกระบี่คร่าชีวิต!
“ขอบคุณจ้าวลัทธิฉินสำหรับคำอวยพร”
เยว่ชิงซานกล่าวขอบคุณแล้วหันกายมุ่งหน้ากลับไปยังเมืองหอมเบ่งบาน
ฉินมู่ใช้สายตาส่งเขาไป ก่อนให้กิเลนมังกรเร่งรุดไปตามทาง อ้อมสำนักมณฑลสวรรค์ไป
เยว่ชิงซานเห็นเมืองหอมเบ่งบานอยู่ไกลๆ และหันหลังกลับไปมอง คิดในใจ ตำหนักสวรรค์แท้ได้ประกาศจับเขา ดังนั้นหากว่าสำนักของข้าสามารถสยบเขาเอาไว้ได้ และทำให้ความสัมพันธ์ระหว่างสำนักข้ากับตำหนักสวรรค์แท้แน่นแฟ้นขึ้น ตำแหน่งของข้าในสำนักก็จะสูงขึ้นเป็นอย่างมาก
เขากะจะวกกลับไปอีกครั้ง แต่พลันมองเห็นภูเขาใหญ่มหึมาที่เป็นรูปทรงยักษ์อยู่ท่ามกลางที่ราบรกร้าง มันทำให้เขาตกตะลึง จากนั้นเขาก็เห็นถนนอันพังพินาศและการทำลายล้างที่หลงเหลือจากคลื่นเสียง
ยอดฝีมือมากมายจากตระกูลอวี้เหาะมายังแขนขาของยายทวดแห่งตระกูลอวี้พลางร่ำไห้โฮๆ
ยายทวดแห่งตระกูลอวี้ก็ตายเหมือนกันหรือ
เยว่ชิงซานอึ้งไปพักหนึ่ง จากนั้นก็เดินตรงไปยังเมืองหอมเบ่งบาน ขนาดยายทวดแห่งตระกูลอวี้ใช้ภูเขามหึมาก็ยังหยุดเขาไม่ได้เลย เช่นนั้นย่อมยากที่สำนักมณฑลสวรรค์ของข้าจะจับตัวเขา หลบเลี่ยงเรื่องร้ายเกินจำเป็น แล้วพบกับสาวงามมากมายจะดีกว่า
“เมืองต้นไผ่อยู่ข้างหน้า”
สองวันถัดมา ฉินมู่ยืนอยู่บนหัวกิเลนมังกร พร้อมด้วยแผนที่ภูมิประเทศแห่งแผ่นดินตะวันตกอยู่ในมือ เขาตรวจดูอย่างถี่ถ้วนและเทียบมันกับปรากฏการณ์บนฟากฟ้า จากนั้นก็กล่าวอย่างดีใจ “หลังจากที่ไปถึงเมืองต้นไผ่แล้ว พวกเราก็อยู่ไม่ไกลจากตำหนักสวรรค์แท้ล่ะ มังกรอ้วน ล่าสุดนี้เจ้าขยันหมั่นเพียรสุดๆ วิ่งได้อย่างเร็วจี๋เลยคราวนี้”
สองวันที่ผ่านมา กิเลนมังกรไม่ขี้คร้านและทำงานอย่างขยันขันแข็ง ด้วยกำลังขาของเขา เดินทางไปกว่าสองหมื่นลี้ต่อวัน พวกเขาก็จะใช้เวลาเพียงครึ่งวันเป็นอย่างมากก็จะไปถึงตำหนักสวรรค์แท้
ระหว่างทาง พวกเขาได้พบกับเรื่องตอแยจำนวนไม่น้อย ด้วยประกาศจับจากตำหนักสวรรค์แท้ ก็มีผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายที่เสาะหาร่องรอยของเขา และก็ทำให้มีการต่อสู้อันดุเดือดหลายครั้งทีเดียว
แต่ทว่า การต่อสู้อันร้ายกาจคับขันเหมือนกับยักษ์ภูเขาตระกูลอวี้แกว่งระฆังนั้นมิได้เกิดขึ้นซ้ำอีก พลังโจมตีของยักษ์แกว่งระฆังนั้นน่าสะพรึงกลัวจนเกินไป และผู้ที่ครอบครองสมบัติวิเศษระดับนี้ก็ย่อมเป็นตระกูลใหญ่มากอิทธิพล เวลาที่ใช้ในการจัดเตรียมอาวุธประเภทนี้ก็ยาวนานเกินไปนัก ดังนั้นพวกเขาจึงต้องปลุกจิตวิญญาณของยักษ์ภูเขาเอาไว้ก่อนล่วงหน้า หรือไม่ก็ใช้สิ่งที่ถูกปิดผนึกเอาไว้
ความเร็วของกิเลนมังกรนั้นไวอย่างยิ่งยวด ดังนั้นหากว่าไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังไปที่ไหน ก็เป็นไปไม่ได้ที่พวกเขาจะตระเตรียมการสกัดขัดขวางเอาไว้ล่วงหน้า
ระหว่างการเดินทาง ฉินมู่ได้ประสบพบพานความพิสดารของมรรคา วิชา และทักษะเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตก นอกจากใช้ภูเขาและแม่น้ำเป็นอาวุธแล้ว ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตกยังเลี้ยงสัตว์ประหลาดอีกด้วย
พวกเขาจะมอบความรู้คิดและปลุกจิตวิญญาณแก่สัตว์พิสดาร โดยนำมาเลี้ยงตั้งแต่พวกมันยังเล็กๆ พวกเขาจะทำให้พวกมันจงรักภักดีอย่างสุดขั้ว ยิ่งไปกว่านั้น สัตว์พิสดารก็ยังเป็นอาวุธวิญญาณของพวกเขาด้วย พวกเขาสามารถใช้มันต่างอาวุธ เมื่อเทียบกับพรายวิญญาณภูเขา และพรายวิญญาณดิน สัตว์ประหลาดพวกนี้ทั้งคล่องแคล่วและใช้สอยได้หลากหลายกว่า
มรรคา วิชา และทักษะเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตกที่ทุกสิ่งมีดวงจิตนั้น นับว่าเป็นการเปิดหูเปิดตาอย่างแท้จริง
กิเลนมังกรตะบึงไป และพวกเขาเข้าใกล้เมืองไม้ไผ่มากขึ้นทุกที ข้างหน้ามันส่วนมากจะเป็นพื้นที่ภูเขา และพวกเขาก็จะพบเห็นผู้ฝึกวิชาเทวะที่พุ่งวาบผ่านฟ้ามาเป็นระยะ ส่วนใหญ่แล้วก็จะนั่งสัตว์ปีกพิสดารบินมา
ฉินมู่เลิกคิ้วไปยังผู้ฝึกวิชาเทวะแผ่นดินตะวันตกมากมายเหล่านั้นที่เฝ้าจับตามองความเคลื่อนไหวของเขา
พวกเราถูกลอบติดตามอีกแล้ว ดูเหมือนว่าคงจะเข้าเมืองต้นไผ่ไม่ได้หรอก จะต้องมีกับดักวางรอข้าที่นั่นแน่นอน! พวกเราคงต้องไปตามเส้นทางป่าเขาแทน
สำนึกรู้ของฉินมู่ส่งคลื่นกระเพื่อมเมื่อเขาใช้วิธีการสื่อสารของขนนกสวรรค์เพื่อบอกเตือนกิเลนมังกร จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจลึกอันอัดแน่นเต็มเข้าไปในอก
เขาเป่าอากาศทั้งหมดออกไป และในชั่วพริบตา หมอกก็แผ่ขยายไปทั่วสารทิศ ครอบคลุมท้องฟ้าในรัศมีกว่าสิบลี้
กิเลนมังกรรีบมุดลงไปในป่าข้างล่างทันที ผู้ฝึกวิชาเทวะพวกนั้นพุ่งเข้าไปในหมอกเพื่อค้นหา แต่เมื่อหมอกกระจัดกระจายไปแล้ว ฉินมู่และคณะก็หายตัวไป
“นายน้อยมาที่นี่!” ผู้ฝึกวิชาเทวะคนหนึ่งประกาศด้วยความกระวนกระวาย
รถสมบัติแล่นมา โดยมีหงส์เพลิงเทียมรถลาก ในรถนั้นมีเด็กหนุ่มที่ดูเตี้ยแต่ไม่อ้วน ข้างๆ เขานั้นมีหญิงสาวมากมายห้อมล้อมติดตาม
ที่น่าแปลกก็คือ ในแผ่นดินตะวันตก สตรีมีสถานะทางสังคมสูงกว่าชัดๆ แต่ตรงหน้าของเด็กหนุ่มผู้นี้ หญิงสาวแห่งตำหนักเหนือฟ้าได้แต่พินอบพิเทา และไม่กล้าโอหัง
ผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายกล่าวทักทายเขา “นายน้อยอวี้!”
นายน้อยอวี้สำรวจบริเวณรอบๆ และแย้มยิ้ม “เขายังหนีไปได้อีกหรือ ไม่แปลกหรอก เมื่อครั้งนั้นข้าพาทุกคนไปไล่ล่าไหน่ขุย เขาก็มาขัดขวางและทำให้ไหน่ขุยหนีไปได้ นั่นคือในแดนโบราณวินาศและมิใช่แผ่นดินตะวันตก ดังนั้นข้าจึงมิอาจบุ่มบ่ามมากเกินไป แต่บัดนี้พวกเราอยู่ในแผ่นดินของข้า มันจะอ่อนหัดไปหน่อยหรือไม่ถ้าเขาคิดว่าจะหนีพ้นจากเงื้อมมือข้าไปได้”
เด็กหนุ่มผู้นี้มิใช่ใครอื่น นอกเสียจากอวี้ป๋อชวนผู้ซึ่งได้ไล่ล่าเสียงซีอวี่และบุตรสาวของนาง เขานั้นเป็นบุตรชายของเจ้าตำหนักแห่งตำหนักสวรรค์แท้ และแม้ว่าเขาจะเยาว์วัย แต่วิธีการของเขานั้นอำมหิต ทั้งยังกลอกกลิ้งในหลายๆ แง่
เสียงซีอวี่เคยเป็นเจ้าตำหนักสวรรค์แท้มาจนกระทั่งนางถูกล้มล้างโดยตระกูลอวี้ วรยุทธของอวี้ป๋อชวนไม่นับว่าวิเศษวิโส แต่เขาก็ยังสามารถนำคณะไล่ล่านาง ผู้ซึ่งเป็นตัวตนระดับจ้าวลัทธิ และเกือบจะต้อนนางไปสู่ความตายหลังจากที่สังหารยอดฝีมือข้างกายนางไปทีละคนๆ นี่แสดงให้เห็นความสามารถของอวี้ป๋อชวน
แผนการของเขาลึกล้ำและเหนือธรรมดา
อวี้ป๋อชวนพยักหน้า และหญิงสาวนางหนึ่งแห่งตำหนักสวรรค์แท้ก็เหาะขึ้นไปและขับเคลื่อนทักษะเทวะของนาง ทันใดนั้นเมฆขาวบนท้องฟ้าก็สั่นระริกบิดไปมา และแปรเปลี่ยนเป็นรูปลูกศรที่ชี้ลงมายังเบื้องล่าง
รถนี้ขับไปยังป่าข้างใต้ และหญิงสาวอีกคนก็กระทืบเท้า หินมากมายกลิ้งเข้ามารวมตัวเข้าด้วยกันและก่อขึ้นมาเป็นยักษ์หินอันชี้ไปยังทิศทางที่ฉินมู่หนีไปพลางกล่าว “คนที่ขี่สัตว์เถื่อนตัวยักษ์วิ่งไปทางนั้น”
หญิงนี้สลายทักษะเทวะของนาง และยักษ์หินก็พังทลายลงกลายเป็นกองหิน
นกหงส์เพลิงลากรถไปข้างหน้า ขณะที่อวี้ป๋อชวนนั่งในนั้นด้วยรอยยิ้ม “ในแผ่นดินตะวันตก ไม่มีใครหลบหนีพ้นการสะกดรอยของตำหนักสวรรค์แท้พวกเราได้ ไหน่ขุยคนก่อนไม่สามารถ และจ้าวลัทธิฉินนี้ก็ยิ่งทำไม่ได้”
“นายน้อย ในคราวนี้นั้นเป็นผู้สูงศักดิ์แห่งวังทองที่มาบอกข่าวแก่พวกเรา ร้องขอให้ผู้อาวุโสปี้ออกประกาศจับจ้าวลัทธิฉิน”
หญิงแห่งตำหนักสวรรค์แท้ผู้นั้นแย้มยิ้มอย่างยั่วยวน “ผู้อาวุโสปี้และผู้สูงศักดิ์แห่งวังทองมีสายสัมพันธ์เก่า ดังนั้นการประกาศจับจึงเกิดขึ้น ผู้สูงศักดิ์นั้นยืมอิทธิพลอำนาจของตำหนักสวรรค์แท้พวกเราเพื่อกำจัดศัตรูร้ายกาจ ดังนั้นเขาก็จะติดค้างบุญคุณต่อจำหนักสวรรค์แท้พวกเรา แต่ทำไมนายน้อยถึงออกหน้ามาช่วยเขาด้วยตนเองเล่า”
อวี้ป๋อชวนแย้มยิ้ม “ข้ามิได้ช่วยผู้สูงศักดิ์ ในทางกลับกัน ข้ามาเพราะจ้าวลัทธิฉิน คราวก่อนนั้นข้าเพลี่ยงพล้ำในน้ำมือของเขาและปล่อยให้เขาแย่งชิงลูกแก้วมังกรเขียวไป อันเป็นสมบัติล้ำค่า ในเมื่อเขากล้าบุกเข้ามาในแผ่นดินตะวันตกพวกเราอีกครั้ง ข้าก็ย่อมต้องมาสั่งสอนเขา”
“อีกอย่าง การมายังแผ่นดินตะวันตกในคราวนี้ เขาต้องมีจิตเจตนาร้ายเป็นแน่ ข้าสงสัยว่าเป้าหมายของเขามิใช่การท่องเที่ยวไปทั่วเท่านั้น ในเมื่อเขาได้ช่วยชีวิตไหน่ขุยคนก่อนและองค์หญิงน้อย ข้าเกรงว่าเขากำลังพยายามช่วยเหลือนางแย่งชิงตำแหน่งองค์หญิงกลับมาอีกครั้ง มีเขาอยู่แถวๆ นี้ ไหน่ขุยย่อมอยู่ไม่ไกล!”
สายตาของเขากลายเป็นเย็นเยียบและกล่าวด้วยเสียงไร้อารมณ์ “แม้ว่าท่านแม่ของข้าจะกลายเป็นเจ้าตำหนักสวรรค์แท้ แต่ตราบใดที่นางยังมิได้ให้กำเนิดองค์หญิงน้อย ตำแหน่งเจ้าตำหนักของนางก็จะไม่มีวันมั่นคง เป้าหมายในการหวนคืนมาของไหน่ขุยนั้นมิใช่อะไรที่เกินความคาดหมาย แต่ทว่า จ้าวลัทธิฉินผู้นี้และไหน่ขุยคนก่อนจะไม่มีวันคาดเดาได้ว่าอิทธิพลอำนาจของข้านั้นสูงล้ำเพียงไหน!”
เขาเงยหน้าขึ้นมองไปยังทิศทางที่ฉินมู่จากไป พลางกล่าวอย่างเย็นชา “ให้ของขวัญชิ้นใหญ่แก่เขาหน่อยปะไร!”
กิเลนมังกรวิ่งตะบึงไประหว่างภูเขาสลับซับซ้อน ราวกับว่าเขากำลังเหินบินผ่านสันเขาต่างๆ มากมาย ความเร็วของเขาตกลงไปจากก่อนหน้า แต่ก็ยังนับว่าว่องไว ฉินมู่สำรวจบริเวณโดยรอบและขมวดคิ้วเล็กน้อย ภูมิประเทศแถบนี้แตกต่างออกไปจากภูมิประเทศในแผ่นที่ที่เกอเคอให้เขามา
ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตก ชอบมาสู้กันด้วยภูเขา ดังนั้นข้าสงสัยว่าพวกเขาคงไม่เอามันวางไว้คืนที่เดิมหลังจากต่อสู้ ใช้ภูมิประเทศเพื่อระบุตำแหน่งแห่งที่ของข้ามิใช่สิ่งที่เชื่อได้แน่นอน ข้ายังคงต้องดูแผนที่หมู่ดาวบนฟากฟ้า
เขาเงยศีรษะขึ้นไป และรอยพยุหะก็หมุนวนในดวงตา เขามองไปยังท้องฟ้า และหมู่ดาวกับจักรราศีอันถูกกลบไปจากแสงตะวันก็ค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา เขาระบุตำแหน่งแห่งที่ของเขาก่อนจะระบายลมหายใจโล่งอก “พวกเราผ่านเมืองต้นไผ่มาแล้ว”
ขณะที่เขากล่าวเช่นนั้น เสียงครั่นครื้นก็ดังมาจากข้างหน้าทำให้เขานิ่วหน้าเล็กน้อย เขาเงยศีรษะขึ้นมองและเห็นฝุ่นคลีลอยคลุ้มฟ้า แปรเปลี่ยนเป็นหมอกที่คลี่คลุมเทือกเขา เขามิอาจมองเห็นได้ว่าเกิดเหตุการณ์สะท้านโลกอะไรขึ้นข้างหน้าที่ทำให้เกิดภาพนี้
กิเลนมังกรก็รีบยั้งเท้า และมองไปข้างหน้าอย่างระสับกระส่าย ฝุ่นละอองยิ่งมาก็ยิ่งหนาแน่น เมื่อมันกลิ้งเข้ามา กลืนกินป่าไม้และขุนเขา
“จ้าวลัทธิ นั่นมันอะไรน่ะ” กิเลนมังกรร้องอย่างแตกตื่น
แผ่นดินสะเทือนสั่นไหวอย่างต่อเนื่อง และต้นไม้รอบๆ พวกเขาก็สั่นสะท้านไปหมด ก้อนหินกระดอนขึ้นลงบนพื้นราวกับว่าเป็นแผ่นดินไหว แต่ทว่า นั่นไม่ใช่สิ่งที่กำลังเกิดขึ้น
ฉินมู่ปลุกเนตรสวรรค์ชาดและมองไปที่ผงคลีอันโถมซัดเข้ามา และดวงตาเขาก็เบิกกว้างอย่างไม่เชื่อสิ่งที่เห็น “ในฝุ่นพวกนั้นมีเมืองอยู่…”
“เมือง?” กิเลนมังกรถามด้วยความฉงน “เมืองเมืองหนึ่งจะสร้างความอึกทึกขนาดนี้ได้อย่างไร”
“เพราะว่าเมืองนี้กำลังวิ่งมาท่ามกลางป่า!” ฉินมู่กระหม่อมแทบระเบิดจากความประหลาดใจ และเขากล่าวด้วยเสียงเข้ม “เมืองนั้นกำลังวิ่งตรงมาทางพวกเรา! มังกรอ้วน ไปกันเถอะ!”
ฝุ่นผงโถมซัดมา และเมืองอันยิ่งใหญ่ตระการก็ปรากฏต่อสายตาของพวกเขา มันวิ่งมาใส่เป็นเส้นตรง
ข้างใต้กำแพงเมืองอันสูงกว่าสิบวานั้นก็มีขาใหญ่มหึมา ข้างหลังกำแพง บ้านเรือนหลังโตก็ได้กลายเป็นยักษ์ที่คละคลุ้งไปด้วยจิตสังหาร บางพวกก็ตีกลองศึก และบางพวกก็แบกถือสมบัติชิ้นใหญ่ ในเวลาเดียวกันนั้น ประตูเมืองก็เปิดอ้าออก เผยให้เห็นฟันอันฝมกริบราวมีดโกนที่งอกเงยออกมาจากข้างใน เช่นเดียวกับกำแพงเมือง พวกมันอ้าและหุบอย่างต่อเนื่อง และทุกอย่างที่ผ่านเข้าไปในนั้นก็จะถูกกัดเคี้ยวจนแหลกละเอียด แม้กระทั่งยอดเขา!
เมืองนี้วิ่งตะบึงเข้าใส่พวกเขา และบนประตูเมือง เขียนไว้สองคำ เมืองต้นไผ่
ผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตก ถึงกับปลุกจิตวิญญาณให้กับเมืองทั้งเมือง!