ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 507 ถามคำถาม
“ตอนนี้ข้าถึงเพิ่งรู้ว่าปณิธานและความสามารถของเหวินเหยียนเหนือล้ำกว่าพวกเราจ้าวลัทธิทั้งหลายไปไกล” ในสวนหลังโถงเหวินเหยียน อดีตจ้าวลัทธิทั้งหมดมาหยุดอยู่ที่นี่ และซีเหยียนเว่ยก็ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน นางพลันจดจำเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้และไต่ถาม “ตอนนั้นทำไมข้าถึงรับเจ้ามาเป็นศิษย์กันนะ ข้าพลันรู้สึกว่าสายตาของข้าก็ดีไม่ใช่เล่นนี่นา!”
ปรมาจารย์เยาว์หน้าแดงเล็กน้อยและกล่าว “เมื่ออาจารย์รับข้ามาเป็นศิษย์ ท่านบอกว่าข้าหน้าตาหล่อดี และพรสวรรค์ของข้าก็ไม่เลว แน่ล่ะ ส่วนที่สำคัญก็ยังคงเป็นหน้าตาของข้า”
ฉินมู่สำรวจตรวจตราดูรอบๆ และผู้คนรอบๆ เขามีแต่หนุ่มหล่อสาวสวยทั้งนั้น อดีตจ้าวลัทธิทั้งหลายแห่งลัทธิมารฟ้า รวมทั้งปรมาจารย์เยาว์ ไม่มีใครหน้าตาน่าเกลียดเลยสักนิด
ซีเหยียนเว่ยก็หน้าแดงซ่านเช่นกันและแย้มยิ้ม “ข้าจำได้ละ ข้ารับเจ้ามาเป็นศิษย์เพื่อหมายใช้เจ้าทำลายจิตเต๋าของข้าด้วยเรื่องชู้สาว คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตของข้าฝึกปรือเรื่องจิตใจเป็นหลัก และข้าได้ทำลายจิตเต๋าของอาจารย์ ด้วยวิธีนี้ข้าจึงแย่งชิงตำแหน่งจ้าวลัทธิมาได้”
“ข้าต้องการบุคคลที่สามารถทำลายจิตเต๋าของข้าได้ โดยปราศจากการทำลายย่อมไม่มีการสรรค์สร้าง หากว่าเจ้าสามารถทำลายจิตเต๋าของข้า เจ้าก็จะกลายเป็นจ้าวลัทธิ แต่หากว่าเจ้าทำไม่ได้ ข้าก็จะสามารถรุดหน้าไปอีกขั้นหนึ่ง และอาจจะบรรลุเป็นเทพหรือมาร แต่ทว่า ในเมื่อข้าเอาแต่ระวังป้องกันเจ้า จ้าวลัทธิอวี้เหลียนก็ฉวยโอกาสตอนที่ข้าพลั้งเผลอไม่สนใจเขา เพื่อลอบสังหารข้า”
จ้าวลัทธิอวี้เหลียนมีน้ำเสียงกระหยิ่มใจเมื่อเขากล่าว “อาจารย์เอาแต่คอยระวังเรื่องรักใคร่จากศิษย์น้องเล็ก แต่ไม่รู้เลยว่ายากที่จะระวังป้องกันการโจมตีของศัตรูในที่ลับ ศิษย์น้องอายุเท่าไรกันเชียวในตอนนั้น ท่านเอาแต่พะวงเรื่องของเขา หากว่าท่านไม่มีความคิดเช่นนั้นและระวังป้องกันข้ามากกว่านี้ ตอนนี้ศิษย์น้องเล็กคงได้เป็นจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ไปแล้ว”
ฉินมู่ครุ่นคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้ คำว่ามารในลัทธิมารฟ้าน่าจะเกี่ยวข้องกับประเพณีอันสืบต่อกันมาระหว่างอาจารย์และศิษย์
ขนบที่อาจารย์เปิดโอกาสให้ศิษย์ลอบสังหารตนเองนั้นไม่อาจจะเรียกได้ว่าชั่วร้าย มันเหมือนกับหลี่เทียนซิงตอนที่เขาถูกท่านยายซีลอบสังหาร นางมีวรยุทธเพียงแค่ขั้นชาวสวรรค์ ดังนั้นนางย่อมมิอาจใช้กำลังฝีมือของนางสังหารหลี่เทียนซิงที่อยู่ในขั้นสะพานเทวะได้
แต่กระนั้นหลี่เทียนซิงก็ยังให้โอกาสนาง
การต่อสู้ระหว่างอาจารย์และศิษย์แห่งลัทธิมารฟ้าน่าจะมีที่มาจากบรรพจารย์ก่อตั้ง ผู้ซึ่งตั้งใจหมายจะให้รุ่นถัดไปยิ่งแข็งแกร่งกว่ารุ่นก่อนหน้า ดังนั้นเขาจึงได้ตรากฎเกณฑ์ว่าเมื่อศิษย์เอาชนะอาจารย์ของตนได้ พวกเขาก็จะสามารถขึ้นเป็นจ้าวลัทธิมารฟ้า
แต่ทว่ากฎเกณฑ์แบบนี้มันค่อยๆ เปลี่ยนแปลงไป ด้วยความพิลึกกึกกือของคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต มันย่อมง่ายที่จะก่อให้เกิดสันดานมารขึ้นมา ผลลัพธ์ก็คือ กฎเกณฑ์ที่ดูดีบนกระดาษได้เปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งที่เห็นในปัจจุบัน
ปรมาจารย์เยาว์แย้มยิ้มและกล่าว “หากว่าข้าได้ขึ้นเป็นจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์ ข้าก็คงไม่แตกต่างจากทุกๆ ท่าน เอาแต่กังวลเรื่องผลประโยชน์ของลัทธินักบุญสวรรค์มิได้กังวลถึงผู้คนในโลกหล้า การที่ไม่ได้เป็นจ้าวลัทธิกลับเติมเต็มข้าให้สมบูรณ์”
อดีตจ้าวลัทธิทั้งหลายผงกหัวอย่างเห็นด้วย
“สำหรับจ้าวลัทธิฉินนั้น…” ซีเหยียนเว่ยหันไปมองที่ฉินมู่และยืนนิ่งไปครู่หนึ่ง “พวกเราจะไม่โต้แย้งว่าตำแหน่งจ้าวลัทธิของเจ้าได้มาโดยไม่เหมาะสมล่ะ หลังจากที่เจ้าขึ้นครองลัทธิ เจ้าทำได้ดี แต่หากว่าเป็นพวกเรา พวกเราก็คงทำได้ดีเหมือนกัน”
ฉินมู่ถ่อมตน “แน่นอนอยู่แล้ว อดีตจ้าวลัทธิทั้งหมดล้วนแต่เป็นหงส์เป็นมังกรในหมู่มนุษย์ ดังนั้นหากว่าพวกท่านอยู่ในตำแหน่งของข้า พวกเจ้าย่อมสามารถทำได้ดีกว่าข้า เพียงแค่ว่าตอนที่พวกท่านอยู่ในตำแหน่งของข้าจริงๆ พวกท่านไม่ทำอะไรเลยสักอย่าง”
ใบหน้าของจ้าวลัทธิทุกคนบิดกระตุก และสีหน้าของพวกเขาเดี๋ยวก็มืดคล้ำเดี๋ยวก็ซีดเผือด ราวกับว่ากำลังข่มใจไม่ให้ลงมือกำจัดมัน
ไอ้เด็กนี่มันไม่กลัวอะไรเลย แต่เขาก็เป็นจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์เช่นกัน เขาแบกรับความรับผิดชอบอันสำคัญยิ่งในการส่งต่อตำแหน่งและการสั่งสอนบนก้อนหิน ดังนั้นถ้าพวกเขากำจัดหมอนี่เสีย ลัทธิมารฟ้าก็คงจะจบเห่
“ก่อนหน้านี้ข้าหยาบคายไปหน่อย ในเมื่อข้ารู้สึกแค้นเคืองใจที่คนรุ่นอาวุโสอย่างพวกท่านใช้กฎเกณฑ์อันผิดพลาดและล้าหลังมาจำกัดชนรุ่นหลัง ดังนั้นข้าจึงได้ล่วงเกินพวกท่านทุกคน บัดนี้ข้าจึงกล่าวขออภัยอดีตจ้าวลัทธิทุกท่าน” ฉินมู่กล่าว
สีหน้าของจ้าวลัทธิทั้งหลายอ่อนลง และจ้าวลัทธิจู่หยางก็รีบพยุงเขาขึ้นมาพร้อมกับรอยยิ้ม “จ้าวลัทธิน้อยฉินได้ทำในสิ่งที่พวกเรามิได้ทำ และนั่นทำให้พวกเราชื่นชมเจ้าอย่างไม่รู้จบ ท่ามกลางเหล่าอดีตจ้าวลัทธิแล้ว ต่อให้เจ้าอาจจะไม่สามารถอยู่ในสามอันดับแรก แต่ต้องไม่พลาดห้าอันดับแรกอย่างแน่นอน ผู้คนกล่าวว่าหลังจากตายไปทุกๆ อย่างก็ว่างเปล่า และพวกเราคงไม่ผูกใจเจ็บเพียงเพราะการทะเลาะถกเถียงเล็กๆ นี่หรอก”
จ้าวลัทธิหูจุ่นแย้มยิ้มและกล่าว “นอกจากชื่นชมความสำเร็จในการฝึกปรือของเจ้าแล้ว พวกเรายังกังวลมากกว่าว่าถ้าหากเจ้ากลับไป เจ้าจะไม่ยอมให้สาวกลัทธิเผาเครื่องเซ่นไหว้มาให้พวกเราทุกๆ ปีใหม่และเทศกาล!”
“เจ้าพูดถูก พูดถูกมากๆ!”
ทุกคนหัวเราะและกล่าว “พวกเราไม่อยากจะกลายเป็นเหมือนยาจกสิ้นไร้ไม้ตอกอย่างพวกจากโถงกษัตริย์มนุษย์ พวกเขาไม่มีใครเผาของเซ่นไหว้มาให้เลยแม้แต่คนเดียว!”
“กษัตริย์มนุษย์คนปัจจุบันแห่งโถงกษัตริย์มนุษย์ช่างอกตัญญูเสียจริง เขาไม่เผาเครื่องเซ่นไหว้ลงมาเลยสักนิด ดูสิว่าตอนมีชีวิตอยู่กษัตริย์มนุษย์พวกนี้ยิ่งใหญ่เกรียงไกรกันมากแค่ไหน แต่ตอนนี้ยากจนสักเท่าไร พวกเขาจะเหมือนพวกเราได้อย่างไร ทั้งโอ่อ่ามากยศตอนมีชีวิต ตายแล้วก็ยังโอ่อ่ามากยศอยู่ดี!”
ทุกคนหัวเราะด้วยเสียงดังสนั่น และปรมาจารย์เยาว์ก็ผสมโรงหัวเราะไปสองสามที แต่ทันใดนั้นเขาก็นึกถึงฉินมู่ขึ้นมาได้ และรีบปรายตามองเขา
ฉินมู่หัวเราะแห้งๆ สองสามที โชคดีที่ตอนนี้เขาไม่มีใบหน้า ไม่อย่างนั้นหน้าของเขาคงแดงฉาน
อดีตจ้าวลัทธิแห่งลัทธิมารฟ้าไม่รู้ศักดิ์ฐานะอีกอย่างของเขาว่าเป็นกษัตริย์มนุษย์รุ่นปัจจุบัน และที่อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายยากจนขนาดนี้ก็เพราะว่าเขาไม่เผาของเซ่นไหว้ไปให้เลยสักนิด
หลังจากกลับสันตินิรันดร์ ข้าจะต้องแวะไปที่โถงกษัตริย์มนุษย์ และช่วยให้อดีตกษัตริย์มนุษย์ทั้งหลายได้ใช้ชีวิตอย่างหรูหรา ปล่อยให้พวกเขายากจนแบบนี้ไม่ได้หรอก! เขาตั้งใจเป็นมั่นเหมาะ
“จ้าวลัทธิฉิน” ปรมาจารย์เยาว์กล่าวด้วยสีหน้าจริงจัง “เจ้าได้มาพบข้าแล้ว ดังนั้นหลังจากกลับไปยังโลกแห่งคนเป็นเจ้าจะทำอะไรต่อ”
เสียงหัวเราะของทุกคนหยุดลง และทุกคนก็มองไปที่เขาเพื่อดูว่าจะตอบอย่างไร
ฉินมู่เคร่งขรึมอยู่พักหนึ่งก่อนจะแย้มยิ้ม “หลังจากกลับไปยังสันตินิรันดร์ อย่างแรกข้าก็จะสร้างถนน”
“สร้างถนน?” ปรมาจารย์เยาว์ขมวดคิ้วและกล่าว “จริงอยู่ว่าถนนและการคมนาคมจะช่วยให้ผู้คนเดินทางไปมาได้สะดวก แต่ค่าใช้จ่ายนั้นสูงเกินไป จักรวรรดิสันตินิรันดร์ได้ผ่านการศึกสงครามหลายครั้งและท้องพระคลังก็ว่างเปล่า เจ้าถือชีวิตของผู้คนธรรมดาสามัญเป็นเรื่องสำคัญ แต่ไฉนจึงคิดสร้างถนนก่อน ถนนในจักรวรรดิสันตินิรันดร์นั้นดีอยู่แล้ว ดังนั้นหากว่าเจ้าสร้างเพิ่มขึ้นมาอีก ไม่ใช่ว่าจะเป็นการสิ้นเปลืองกำลังคนและกำลังทรัพย์หรอกหรือ”
ฉินมู่ถอนหายใจอย่างสะทกสะท้อน “นี่ก็เพราะว่าข้าเพิ่งเข้ายึดครองแผ่นดินตะวันตกได้สำเร็จ!”
ปรมาจารย์เยาว์หัวใจสั่นสะท้านอย่างรุนแรง และเขาร้องออกมา “เจ้านำกองทัพรุกรานแผ่นดินตะวันตกหรือ แผ่นดินตะวันตกกว้างใหญ่ไพศาล เจ้าเข้ายึดครองได้อย่างไร”
จ้าวลัทธิคนอื่นๆ ก็ร่างสั่นเทิ้มอย่างรุนแรง เมื่อพวกเขาก็รู้สึกว่ามันเหลือเชื่อ
“ด้วยตัวข้าเอง พร้อมกับกิเลนมังกรและเสียงฉีเอ๋อ ข้าก็ได้เอาชนะแผ่นดินตะวันตก” ฉินมู่ยิ้มน้อยๆ “แผ่นดินตะวันตกได้เข้าร่วมกับสันตินิรันดร์แล้ว แต่ระยะห่างจากแผ่นดินภาคกลางนั้นเป็นแสนลี้ ดังภาษิตว่าหากว่าแส้หวดไปไม่ถึง จักรพรรดิก็ควบคุมไม่ได้ แผ่นดินตะวันตกจะสงบเสงี่ยมเพียงแค่ระยะเวลาสั้นๆ แต่หากว่าถนนลำบากและยากจะคมนาคม เมื่อเวลาผ่านไป แผ่นดินตะวันตกก็จะเริ่มปั่นป่วนอย่างแน่นอน ดังนั้นสิ่งที่ข้าต้องการจะทำคือการเปิดเส้นทางคมนาคมระหว่างแผ่นดินตะวันตกกับแผ่นดินภาคกลาง!”
ปรมาจารย์เยาว์และอดีตจ้าวลัทธิทั้งหลายมิอาจเชื่อคำพูดของเขาได้ เมื่อพวกเขาเดินไปมาพลางกุมหน้าผาก ทันใดนั้น อดีตจ้าวลัทธิคนหนึ่งก็หยุดเดินและถามอย่างเคร่งขรึม “แผ่นดินตะวันตกและแผ่นดินภาคกลางมีแดนโบราณวินาศและทะเลทรายเพลิงโหมกั้นกลาง ระยะทางใกล้ที่สุดก็ยังเป็นแสนลี้! เจ้าหมายที่จะสร้างถนนหนึ่งเส้นอันยาวถึงแสนลี้เชียวหรือ”
“ไม่ใช่หนึ่งเส้น แผนของข้าคือสอง ถนนใหญ่สองเส้นอันราบเรียบอย่างถึงที่สุดเพื่อให้รถและม้าเดินทางสัญจรด้วยความเร็วสูงสุดได้ ขนาดที่ว่าสามารถใช้สัตว์พิสดารลากรถตะบึงไปด้วยระยะหมื่นลี้ภายในหนึ่งวันหนึ่งคืน!”
“ผิดแล้ว!” จ้าวลัทธิผู้นั้นตะโกนออกไปอย่างเฉียบขาด “เจ้ามีเงินมากขนาดนั้นหรือ จักรวรรดิสันตินิรันดร์มีเงินมากขนาดนั้นหรือ การสร้างถนนหนทางต้องอาศัยเงินทองและทักษะเทวะ มันหมดเปลืองชีวิตผู้คน! แม้ว่าลัทธิศักดิ์สิทธิของข้าจะมีโถงวิศวกรรม แต่หากว่าเจ้าใช้พวกเขาไปกรุยถนนหนทาง นี่ไม่เพียงแต่เงินทองเป็นล้านๆ ถูกเผาผลาญไป แม้แต่ศิษย์โถงวิศวกรรมของพวกเรามากมายก็จะเหนื่อยล้าขาดใจตาย!”
ฉินมู่ส่ายหัว “ไม่ใช่ เมื่ออยู่ในแผ่นดินตะวันตก ข้าได้เห็นถนนที่นั่น และมันล้ำหน้ายิ่งกว่าของสันตินิรันดร์มากนัก ทักษะเทวะแห่งตำหนักสวรรค์แท้สามารถใช้กรุยถนนหนทาง และข้ามีความสัมพันธ์ที่ดีกับตระกูลใหญ่ต่างๆ ในแผ่นดินตะวันตก ดังนั้นข้าสามารถร้องขอให้จ้าวตำหนักสวรรค์แท้นำคณะผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งตะวันตกมาช่วยสร้างถนน พวกนางสามารถกรุยถนนหนทางไปได้พันลี้ภายในวันเดียว ดังนั้นเส้นทางยาวแสนลี้ก็จะต้องอาศัยเวลาเพียงหนึ่งร้อยวัน ค่าใช้จ่ายก็จะไม่สูงจนเกินไป”
ดวงตาของจ้าวลัทธิผู้นั้นลุกวาบ เขาแย้มยิ้มและถอยกลับไป จ้าวลัทธิคนอื่นๆ ยังคนยืนล้อมรอบฉินมู่อยู่ และทันใดซีเหยียนเว่ยก็พลันหยุดเพื่อถาม “แล้วทะเลทรายเพลิงโหมล่ะ? มันกว้างหลายหมื่นลี้ ทั้งยังแห้งผากไม่มีน้ำเลยแม้แต่น้อย หากว่าเจ้าสร้างถนนและถูกทรายกลบทับ ก็จะกลายเป็นไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง! เมื่อเวลานั้นมาถึง ผู้คนบนเส้นทางก็จะเหนื่อยล้าและท้อแท้ ทั้งอาจจะทิ้งชีวิตไว้ที่นั่น!”
“เมื่อราชครูสันตินิรันดร์สังหารมารดาเฒ่าสวรรค์แท้ ทะเลทรายเพลิงโหมก็มอดดับ และเพียงแค่ใช้ลูกแก้วเต่าดำก็จะสามารถดึงน้ำเข้ามาหล่อเลี้ยงทะเลทราย ลูกแก้วมังกรเขียวสามารถใช้เพื่อปลูกพืชพรรณเปลี่ยนทะเลทรายให้เป็นป่าเขียว ที่ราบทางตอนเหนือมีภูเขาหิมะอันสามารถใช้เป็นธารน้ำ ข้าจะชักนำมันมาจากที่นั่นและสร้างทะเลสาบในทะเลทราย แก้ปัญหาชลประทาน!”
ซีเหยียนเว่ยแย้มยิ้มและถอยออกไปเช่นกัน
จ้าวลัทธิอีกคนหนึ่งก้าวเข้ามาและถาม “เส้นทางที่สั้นที่สุดต้องผ่านแดนโบราณวินาศ มันสงบเงียบในระหว่างกลางวัน และเมื่อกลางคืนมาถึง สัตว์ประหลาดและความมืดก็จะรุกรานเข้ามา เจ้าจะปกป้องผู้สัญจรได้อย่างไร”
“ข้าไม่อาจรับประกันได้ แต่ข้าสามารถเคลื่อนย้ายรูปสลักหิน รวบรวมพวกมันมาเพื่อป้องกันความมืด และก็จะมีเมืองเล็กทุกๆ หนึ่งพันลี้ เมืองใหญ่ทุกๆ หมื่นลี้ เมืองเล็กและเมืองใหญ่จะอยู่ระหว่างถนนสองเส้นเพื่อให้ผู้สัญจรมีสถานที่พักเท้าของตน ด้วยเมืองเล็กและใหญ่พวกนี้ สินค้าก็จะเดินทางไปมาระหว่างแผ่นดินตะวันตก แดนโบราณวินาศ และแผ่นดินภาคกลาง เป็นผลให้เศรษฐกิจและการค้ารุ่งเรืองมั่งคั่งอย่างแน่นอน”
“เจ้ายังไม่ได้อธิบายว่าจะแก้ปัญหาเรื่องเงินทองอย่างไร!”
“เมื่อสร้างถนนสำเร็จ ธุรกิจและการค้าเดินทางสัญจร เงินทองก็ย่อมไหลมาเอง!”
“แดนโบราณวินาศมิใช่เส้นทางราบเรียบ มีปรากฏการณ์ประหลาดพิสดารมากมาย เจ้าจะทำให้ภูเขาและแม่น้ำทั้งหลายราบเรียบได้อย่างไร”
“เมื่อพบภูเขาก็เจาะเข้าไปในภูเขา เมื่อพบแม่น้ำก็สร้างสะพาน และเมื่อพบเทพเจ้าก็น้อมสักการะเทพเจ้า!”
“ถนนกว้างเท่าใด”
“กว้างหกสิบวา มีแปดช่องทางให้ยวดยานและสี่ช่องทางสำหรับไพร่พล”
“ความกว้างช่องทางสำหรับยวดยานม้าในแผ่นดินตะวันตกแตกต่างจากสันตินิรันดร์ เจ้าจะควบคุมการสัญจรในช่องทางให้ราบรื่นได้อย่างไร”
“ถ้าเช่นนั้น ก็สร้างเส้นทางให้คล้ายคลึงกัน!”
“สภาวการณ์และขนบธรรมเนียมพื้นถิ่นของแผ่นดินตะวันตกและสันตินิรันดร์แตกต่างกัน เจ้าจะทำอย่างไร”
“เช่นนั้นข้าก็จะทำให้เหมือนกัน!”
“ตัวอักษรแตกต่างกัน ทักษะเทวะก็แตกต่างกัน เจ้าจะทำอย่างไร”
“ถ้าเช่นนั้น ก็เผยแพร่ระบบตัวอักษรเดียวกันออกไป และเปิดโรงเรียนให้การศึกษา!”
…
ทันใดนั้น อดีตจ้าวลัทธิยี่สิบแปดคนก็หัวเราะเป็นเสียงเดียวกัน และพวกเขาก็โค้งคารวะแก่ฉินมู่ “จ้าวลัทธิสามารถถูกเรียกขานว่านักบุญได้! ท่านนั้นสมกับตำแหน่งจ้าวลัทธิศักดิ์สิทธิ์! พวกเราทดสอบท่านแทนจ้าวลัทธิหลี่ และท่านก็ผ่านการทดสอบ!”
ฉินมู่คารวะกลับไปและกล่าวอย่างจริงใจ “ขอบคุณจ้าวลัทธิทุกท่านมากที่ถามคำถามข้าและให้แสงสว่างทางปัญญา! หลังจากที่กลับไปยังโลกคนเป็น ข้าก็จะมีวิถีทางในการดำเนินการปฏิรูปต่อไป หากว่าการปฏิรูปสำเร็จไปถึงระดับหนึ่งและแปรเปลี่ยนอุปสรรคสวรรค์ให้เป็นถนนราบ พวกท่านก็จะมีส่วนในคุณงามความดีด้วย!”
ทุกคนหัวเราะด้วยเสียงอันดังและลุกขึ้นยืน
ปรมาจารย์เยาว์รู้สึกดีใจแทนพวกเขา ตอนแรกฉินมู่ได้ฉีกหน้าแตกหักกับอดีตจ้าวลัทธิทั้งหลาย แต่บัดนี้ความบาดหมางทั้งมวลก็ถูกปัดเป่าไป และเขาก็ยินดีเป็นอย่างยิ่ง
ทันใดนั้น เสียงของเทพหัวนกฉือซิ่วก็ดังมาถึงพวกเขา “จ้าวลัทธิฉิน ท้าวยมราชจะลงโทษเจ้าด้วยตนเอง เจ้ายังไม่รีบออกมาอีกหรือ”
……………….