ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 553 ปลุกคนตาย
ฉินมู่นั่งลงข้างๆ โครงกระดูกและนำเอาขี้ผึ้งยาออกมารักษาอาการบาดเจ็บของตนเอง “เดิมทีข้าก็มาจากน้ำพุเหลือง เช่นนั้นทำไมข้าต้องกลัวของพวกนี้ด้วย” เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม
โครงกระดูกลุกขึ้นยืนและกล่าว “สถานที่นี้เป็นแดนลางร้ายอันไม่มีผู้ใดรอดชีวิตอยู่ได้ ทางเดียวที่เจ้าจะรอดชีวิตก็คือหันหลับกลับไปเดี๋ยวนี้และออกไปจากที่นี่”
ฉินมู่เค้นเลือดเสียออกจากบาดแผลของเขาและดึงดูดปราณมารออกไป “ย้อนกลับคือเส้นทางมรณะ ดังนั้นข้ายังคงมีโอกาสอยู่บ้างหากว่าข้ายังมุ่งต่อไปข้างหน้า เจ้าไม่รู้หรือว่าเส้นทางไหนที่จะปลอดภัยกว่าเส้นอื่นๆ”
โครงกระดูกส่ายหัว
ฉินมู่ทายาเสร็จ แล้วก็ขับเคลื่อนปราณชีวิต เขาโคจรมันดูหนึ่งรอบและเมื่อพบว่าบาดแผลไม่ปริออกมา เขาก็ลุกขึ้นยืน “เจ้ารู้ไหมว่า ตรงไหนคือทิศเหนือ ใต้ ตะวันออก และตะวันตก”
“นั่นทิศตะวันตก!” โครงกระดูกชี้นิ้วของมันไปตรงหน้า
“ขอบคุณมาก”
ฉินมู่หันไปยังทิศทางที่โครงกระดูกชี้ และเริ่มเดินไป สองก้าวให้หลัง เขาก็หยุดและหันกลับมาด้วยรอยยิ้ม “พี่ชาย ทำไมเจ้าถึงตามข้ามาล่ะ”
โครงกระดูกนั้นอยู่ข้างหลังเขา มันรีบหยุดเท้าเมื่อมันเห็นเขาหยุด “ข้ากำลังเหม่อลอยอยู่แต่จำไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับข้าตอนที่ยังมีชีวิตอยู่ แต่บัดนี้ข้าหวนระลึกความทรงจำเลือนรางได้บ้าง และในเมื่อเจ้าเป็นคนที่ปลุกข้าขึ้นมา ข้าก็ย่อมต้องติดตามเจ้า”
ฉินมู่ระเบิดหัวเราะ “มนุษย์และภูตผีมิอาจร่วมทางกัน เจ้าตามข้าตลอดไปไม่ได้หรอก ดังนั้นกลับไปนอนเถอะ”
“ตอนที่ข้ากำลังเหม่อลอย ข้าสามารถนอนหลับและไม่ใส่ใจการต่อสู้ของโลกหล้าได้ แต่ทว่า บัดนี้เจ้าได้ปลุกข้าขึ้นมาและข้าก็หลับไม่ลงอีกต่อไป เจ้าได้รบกวนการหลับใหลของข้าและจะต้องรับผิดชอบเรื่องนี้”
“เจ้านี่เป็นผีที่ไม่มีเหตุผลเอาเสียเลย!” ด้วยความรู้สึกจนปัญญา ฉินมู่จึงหันกลับไปและอธิบายอย่างจริงจัง “ข้าเห็นว่าเจ้ายังมีเศษวิญญาณหลงเหลืออยู่บ้างจึงใช้วิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติเพื่อปลุกเจ้ามาถามทาง แต่ทว่า เจ้าไม่รู้อะไรเลยสักอย่าง เจ้าชี้ทางให้ข้าก็ไม่ได้ ช่วยให้ข้ารอดชีวิตก็ไม่ได้ ยิ่งไปกว่านั้น ก็ตายไปแล้ว ต่อให้ข้าสามารถบุกฝ่าออกไปจากแดนลางร้ายได้ทั้งเป็นๆ เจ้าก็ไม่อาจจะติดตามข้าไปยังโลกแห่งคนเป็นได้ พี่ชาย เจ้านั้นตายไปแล้ว ดังนั้นกลับไปนอนหลับต่อเถอะ”
โครงกระดูกส่าวหัว “ข้าไม่เคยมีความกังวลอะไรมาก่อน แต่ตอนนี้เจ้าปลุกข้าขึ้นมาและข้าก็เต็มไปด้วยความกังวลอีกครั้ง เจ้าจะต้องช่วยข้าสะสางมัน”
ฉินมู่ปวดหัวตึ้บ แต่เขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ถ้าอย่างนั้น ข้าจะร่ายวิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติ ดึงเอาดวงวิญญาณแตกหักของเจ้าออกมา ช่วยให้เจ้าได้หวนคืนสู่อ้อมกอดของฟ้าและดิน เจ้าจะได้กลับไปสู่นิทราต่อ แบบนี้เป็นอย่างไร”
“ไม่” โครงกระดูกส่ายหัว “ในเมื่อข้าได้ตื่นขึ้นมาแล้ว การเป่าดวงวิญญาณข้าให้กระจัดกระจายก็เท่ากับสังหารข้า ความเจ็บปวดรวดร้าวเช่นนั้น ข้าไม่ต้องการ”
ฉินมู่ปวดเศียรเวียนเกล้าอย่างแท้จริง เขาหันกลับไปและมุ่งหน้าสู่ทิศตะวันออกต่อ ข้างหลังเขา โครงกระดูกยังคงติดตามเขาไปเรื่อยๆ
ในเมื่อเขารู้สึกยุ่งยากใจ เขาก็หมายที่จะพูดโน้มน้าวชักจูงโครงกระดูกอีกครั้ง แต่ทันใดนั้น ผิวน้ำก็ปูนนูนขึ้นมาทั้งสองข้างของบึงพรุ ศพจำนวนหนึ่งอันแช่อยู่ในน้ำจนซีดขาวราวหิมะก็ลุกขึ้นยืนและมองตรงมาที่เขา
ฉินมู่หัวใจระทึก บุคคลเหล่านี้ตายอยู่ในบึงพรุตั้งไม่รู้กี่ปีต่อกี่ปี แต่กระนั้นศพของเขาก็ยังคงไม่เน่าเปื่อย เกราะบนร่างกายของพวกเขาผุกร่อนไปหมด และดวงตาของพวกเขาก็ฉายโชนไปด้วยแสงโลหิต กลิ่นอายความพยาบาทอบอวลเต็มไปหมด
ศพพวกนี้ยามที่มีชีวิตอยู่ต้องแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ดังนั้นซากร่างของพวกเขาจึงมีรัศมีแห่งความตายอันเข้มข้น พวกเขาน่าสะพรึงกลัวจนถึงที่สุด
ทันใดนั้น โครงกระดูกใหญ่ข้างหลังฉินมู่ก็คำรามลั่น ศพเหล่านั้นในน้ำดูเหมือนจะได้รับคำสั่ง และจมหายลงไปในน้ำทีละร่างสองร่าง
ฉินมู่ตกตะลึง “ทำไมพวกเขาเชื่อฟังเจ้า”
โครงกระดูกเองก็เหม่อลอย เขาคิดอยู่ครู่หนึ่งก่อนที่จะกล่าว “ข้าพอจะจำได้รางๆ ว่าพวกเขาเป็นผู้ใต้บัญชาของข้าที่ตายไปพร้อมๆ กับข้า ข้าเห็นว่าพวกเขาหมายจะทำอันตรายเจ้าจึงดุด่าพวกเขาไป โชคดีที่พวกเขายังคงเชื่อฟังข้า”
ฉินมู่สนใจขึ้นมาและถามด้วยรอยยิ้ม “เจ้าเป็นใครกันก่อนที่จะตาย เจ้ายังคงจำได้ไหม”
โครงกระดูกขบคิดอยู่พักหนึ่ง แต่แล้วก็ส่ายหัว “ข้าจำไม่ได้”
ความสนใจของฉินมู่ยิ่งแรงกล้าขึ้น และเขาชะงักเท้า “ข้ามีทักษะเทวะที่สามารถเชื่อมต่อกับแดนใต้พิภพได้ ทำให้ดวงวิญญาณที่แตกกระจายกลับมารวมกันใหม่ ให้ข้าลองร่ายมันดู และข้าอาจจะทำให้เจ้าจดจำเรื่องราวได้เพิ่มสักหน่อย หากว่าเจ้าจำเรื่องพวกนั้นได้ เจ้าก็จะไม่ต้องติดตามข้าอีกต่อไป”
โครงกระดูกยินดี และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หากว่าข้าสามาถได้ความทรงจำกลับมา ข้าก็จะต้องตอบแทนบุญคุณอันยิ่งใหญ่นี้อย่างแน่นอน”
ฉินมู่ดึงปิ่นปักผมออก และปล่อยให้ผมที่มวยไว้ตกลงมายังบ่า จากนั้นเขาก็ใช้เทวาจำแลงเป็นเทพครองดาวเสาร์พร้อมกับประตูน้อมสวรรค์ที่ปรากฏข้างหลังเขา หลังจากนั้น เขาก็ร่ายนำทางวิญญาณของสำนักเก้าภูตผีด้วยภาษามารอันต่ำทุ้มและลึกลับซับซ้อน
เมื่อเขาร่ายไปได้ครึ่งทาง หัวใจเขาก็พลันสะท้าน เขารู้สึกว่ามีความรู้ที่เขาไม่คุ้นเคยมาก่อนปรากฏอยู่ในจิต และเมื่อเขาใช้สอยพวกมันโดยไม่ได้ตั้งใจ ภาษามารของเขาก็พลันยิ่งเก่าแก่โบราณและซับซ้อนซ่อนเงื่อนเข้าไปอีก
ปราณมารรอบตัวเขายิ่งเข้มข้นขึ้นและเข้มข้นขึ้น บริสุทธิ์ขึ้นและบริสุทธิ์ขึ้น มันม้วนกระเพื่อมและแผ่กระจายออกไปทั่วบึงพรุราวกับทะเลอันดำสนิท ประตูน้อมสวรรค์ก็ยิ่งดูใหญ่โตน่าเกรงขามเมื่อมันตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางมหาสมุทรแห่งปราณมาร
ด้วยเสียงเอี๊ยด ประตูอันหนักอึ้งอย่างมหันต์ก็ค่อยๆ แง้มออก
ในความมืด มีเสียงร้องโหยหวนดังมา เสียงคร่ำครวญโหยไห้ของภูตผี และเสียงราวกับสุนัขป่าเห่าหอนก็ดังมาเมื่อดวงวิญญาณจำนวนนับไม่ถ้วนไหลบ่าออกมาจากประตูน้อมสวรรค์!
ฉินมู่กระโดดโหยงด้วยความตกใจ “ดวงวิญญาณเยอะขนาดนี้เชียว?”
พวกมันไหล่บ่าออกมาจากแดนใต้พิภพ และรวบรวมกันอยู่ในป่าพรุใหญ่ ในเสี้ยวพริบตานั้น มันก็เต็มไปด้วยไฟผีโขมด อันดูเหมือนรอบข้างพร่างพรายไปด้วยดวงดาวจรัสแสง พวกมันลอยละล่องไปมาในความมืดของปราณมาร และชอนไชเข้าไปในซากศพ
ศพมากมายลุกขึ้น และมองไปรอบๆ ด้วยความงงงัน
สิ่งเหล่านั้นนับหมื่นตนได้ผุดลุกขึ้นมาในบึงพรุอันเปลี่ยวร้าง บ้างก็ยืนบนผิวน้ำ บ้างก็ลอยอยู่ในอากาศ และบ้างก็นั่งอยู่กับพื้นด้วยอาการเหม่อลอย
“ใครบังอาจรบกวนความสงบของแดนใต้พิภพ!”
ฉินมู่ยังคงร่ายเวทมนตร์ของเขาอยู่ พลันก็มีเสียงกึกก้องตวาดเข้ามาในจิตคิดของเขา และเขากลายเป็นมึนงงไปในทันที พลังเวทมนตร์ของเขาขาดสะบั้นไปในเดี๋ยวนั้น และประตูน้อมสวรรค์ข้างหลังเขาก็ฮุบกลืนเอาปราณมารเข้าไปราวกับปลาวาฬอันกลืนกินฟ้าและดิน ลมพายุพัดเอาปราณมารทั้งหมดกลับเข้าไปในแดนใต้พิภพ!
ฉินมู่รีบสลายร่างเทวาจำแลงเทพครองดาวเสาร์ แต่เขาไม่คาดคิดเลยว่า ประตูน้อมสวรรค์จะยังคงเปิดอ้าอยู่ไม่ยอมปิดไปด้วย จุดแสงตะเกียงส่องออกมาจากความมืดในแดนใต้พิภพ
มันคือเรือน้อยและตะเกียงเจ้าพายุ!
ฉินมู่หนังหัวชาดิก และเขารีบโคจรวิชาย้อนกลับ แต่ทว่าประตูน้อมสวรรค์ก็ยังไม่ยอมปิด
เรือนั้นลอยออกมาจากความมืด และผ่านมาทางประตูน้อมสวรรค์!
“ข้าจำได้ว่าข้าคือใคร!”
ข้างๆ เขา โครงกระดูกพลันร้องออกมาด้วยความปีติยินดี และหัวเราะด้วยเสียงอันดัง “ตอนนี้ข้าจำได้แล้ว! ข้าคือเทพครองดาวเจ็ดสังหารแห่งกองพันเจ็ดดาวใต้แห่งสวรรค์ทักษิณแห่งสภาสวรรค์ ข้ามาปกป้องสวรรค์ไท่หวงและเป็นผู้บัญชาการศึกมณฑลสวรรค์ไท่หวงนามเว่ยเหลียว ตามคำบัญชาของจักรพรรดิก่อตั้ง! เกราะรบของข้าอยู่ที่ไหน ขวานศึกของข้าอยู่ที่ใด”
ตูม!
บึงพรุข้างใต้ฉินมู่พลันม้วนครืน และแสงเทวะอันไร้ประมาณก็พุ่งทะยานขึ้นสู่ฟากฟ้า ชิ้นส่วนของเกราะรบแหวกฝ่าผืนน้ำและผืนดินออกมา พวกมันลอยละลิ่วขึ้นจากก้นบึ้งของป่าพรุ
เคร้ง เคร้ง เคร้ง เสียงกังวานสดใสของโลหะปะทะกันดังมา เมื่อชิ้นส่วนเกราะรบทั้งหลายเข้ามาห่อหุ้มร่างของโครงกระดูกข้างๆ ฉินมู่ แม้กระทั่งหมวกเกราะแตกหักก็ลอยขึ้นมาสวมที่หัวของเขา
ฉินมู่อ้าปากค้าง ทันใดนั้น ภูเขาใหญ่ก็ปริแตกออกมาในบึงพรุ และชิ้นส่วนเทพศาสตราที่แตกหักจำนวนหนึ่งก็พุ่งออกมา พวกมันประกอบเข้าด้วยกันกลางอากาศ และก่อขึ้นมาเป็นขวานศึกขนาดยักษ์ที่เหวี่ยงติ้วๆ เข้ามา โครงกระดูกยื่นมือของเขาออกไปแล้วคว้ามันเอาไว้
ขวานศึกนี้เป็นขวานอาญาสิทธิ์ของจักรพรรดิสวรรค์ ข้างซ้ายนั้นเป็นขวาน ส่วนข้างขวานั้นเป็นดาบ ส่วนบนยอดนั้นคือใบหอกคมกริบอันมีลวดลายมังกรกระหวัดพันอยู่รอบๆ มัน
เมื่อโครงกระดูกคว้าจับขวานศึก รัศมีอันสะท้านพิภพก็พวยพุ่งออกมา เขาเงื้ออาวุธของเขาขึ้นและเหวี่ยงตวัด พังประตูน้อมสวรรค์ข้างหลังฉินมู่จนทลายเป็นชิ้นๆ เขาบดขยี้มันด้วยกำลังเถื่อน และทำลายเส้นทางของผู้นำทางความตายแห่งแดนใต้พิภพ
จากนั้นเขาก็คำรามอย่างเกรี้ยวกราด “ทหารของข้าอยู่ที่ใด”
ปราณมารในความมืดกระจัดกระจายไป และโครงกระดูกจำนวนนับไม่ถ้วนก็ยืนขึ้นมาบนผิวน้ำของป่าพรุพลางมองมายังเขาอย่างเงียบกริบ ทันใด เสียงตะโกนกึกก้องสะท้านโลกก็ดังออกมาจากซากศพทั้งหลาย “ท่านแม่ทัพ พวกเราอยู่ที่นี่!”
โครงกระดูกหัวร่อฮาๆ และถามไปยังท้องฟ้า “ฝ่าบาทของพวกเราอยู่ที่ใด”
เขารออยู่เนิ่นนาน แต่ไม่มีใครตอบเขา
ผ่านไปสักพัก ฉินมู่กล่าว “ผู้บัญชาการ ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งได้ผ่านไปสองหมื่นปีแล้ว”
ด้วยความตะลึงงัน โครงกระดูกก้มหัวลงและมองไปที่เขา พลางพึมพำ “สองหมื่นปี?”
สีหน้าของฉินมู่เต็มไปด้วยความรวดร้าว “มันเป็นเวลาสองหมื่นปีแล้ว พวกเจ้าได้ตายมาแล้วสองหมื่นปี…”
ตึง
โครงกระดูกทรุดลงไปคุกเข่ากับพื้นและพึมพำกับตนเอง “สองหมื่นปี มันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร โลหิตที่พวกเราหลั่งไหลออกไป ชีวิตที่พวกเราอุทิศเพื่อหยุดยั้งศัตรู กระนั้นพวกเราก็ไม่อาจปกป้องยุคสมัยของพวกเรา…”
ฉินมู่ถอนหายใจ “ดวงวิญญาณแตกสลายของผู้บัญชาการนี่ไม่มีวันตายจริงๆ และจิตหาญสู้ของเจ้าก็จะมีชีวิตต่อไปชั่วนิรันดร์ วันนี้ข้าได้ปลุกดวงวิญญาณและดวงจิตที่แตกหักของเจ้าขึ้นมา รบกวนความสงบของเจ้า บัดนี้เจ้าได้หวนคืนสู่โลกของคนเป็น แต่ไม่รู้ว่าข้าจะทำอะไรได้บ้าง ในเมื่อผู้บัญชาการเป็นผู้ปกครองมณฑลสวรรค์ไท่หวงในยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง ข้าก็เชื่อว่าเจ้าคงไม่ทำอันตรายแก่ผู้คนที่นี่ หากว่าข้ารอดชีวิตกลับไป ข้าจะไปถามท้าวยมราชว่าจะสามารถรับพวกเจ้าไปได้ไหม ขอให้ผู้บัญชาการโปรดควบคุมยับยั้งไพร่พลของเจ้าไว้ในแดนลางร้ายนี้ก่อน ส่วนตัวข้ายังคงต้องมุ่งหน้าต่อไป”
เขากล่าวลาและหันกายจากไป
โครงกระดูกยังคงนั่งอยู่ที่นั่นอย่างไม่มีกะจิตกะใจ และไฟผีโขมดในดวงตาของเขาก็กะพริบวูบวาบไปมาขณะที่เขาพึมพำ “สองหมื่นปี มันเป็นเช่นนี้ได้อย่างไร…”
ที่เขตขอบของแดนลางร้าย มารที่ไล่ล่าฉินมู่ก็มาสมทบกันที่นี่มากขึ้นทุกๆ และไม่นานก็มีผู้ฝึกวิชาเทวะเผ่ามารรวมตัวกันที่นี่เกือบพันคน แต่ทว่า ไม่มีใครกล้าย่างกรายเข้าไปในแดนลางร้าย
สักพักหนึ่ง ลมเพชรหึงก็พัดมาและหยุดยั้ง แม่ทัพใหญ่ผู้หนึ่งปรากฏตัวขึ้นเบื้องหน้าผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายและเพ่งพิศดูแดนลางร้าย
“แม่ทัพซิ่วลัว”
มารมากมายโค้งคารวะทักทาย รู้สึกทั้งประหลาดใจและยินดี แม่ทัพมารโบกมือและกล่าว “อาจารย์ของข้าฟู่ยื่อลัวได้สั่งให้ข้าไล่ตามฉินมู่ พร้อมกับบัญชาการพวกเจ้าไปด้วย และตอนนี้ ฉินมู่นั่นอยู่ที่ใด”
“เขาเข้าไปในแดนลางร้ายแล้ว”
ซิ่วลัวขมวดคิ้วอย่างหนัก เขากำลังจะสั่งให้เข้าไป ทันใดนั้นปราณมารก็ไหลบ่าออกมาจากส่วนลึกของแดนลางร้าย ก่อเป็นทะเลปราณมาร ประตูใหญ่ตั้งตระหง่าน ดูประหลาดพิกลอย่างเหลือแสน
ด้วยความตะลึง ซิ่วลัวรีบชะงักทันที ผ่านไปสักพัก มหาสมุทรปราณมารก็หายไปโดยไร้ร่องรอยพร้อมกับประตูมหึมานั้น
“แดนลางร้ายนับว่าพิลึกกึกกือและยากจะคาดเดาจริงๆ” ซิ่วลัวพึมพำอย่างตกลงใจไม่ได้ไปพักหนึ่ง ผ่านไปครู่ เขาก็กล่าวด้วยเสียงต่ำ “ไอ้เด็กต่ำช้านั่นอาจจะตายไปแล้วหลังจากที่บุกเข้าไปในสถานที่แบบนี้ แต่อาจารย์ให้คำสั่งมาว่าจะต้องนำตัวเขากลับมาให้ได้ไม่ว่าจะเป็นหรือตาย ดังนั้นพวกเราจะต้องไปจับตัวเขา…ทหารทั้งหลายจงฟัง ตามข้าเข้าไปในแดนลางร้าย!”
ผู้ฝึกวิชาเทวะนับพันรับคำสั่ง และตามเขาเข้าไปในแดนลางร้าย
ขณะที่ฉินมู่กำลังเดินผ่านบึงพรุ เขาก็ได้ยินเสียงการต่อสู้ดังมาจากข้างหลังเขา เสียงตะโกนของผู้คนดังกึกก้องไปหมด แต่ว่ามันเกิดขึ้นอยู่ไม่นาน ความสงบก็กลับมาเยือนอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นที่นั่น
“สถานที่นี้ประหลาดพิกลเสียจริง…” ฉินมู่ส่ายหัว ไม่รู้ว่าตัวเขาเองนั่นแหละคือสิ่งประหลาดพิลึกที่สุดในทั้งป่าพรุแห่งนี้
…………………