ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 599 ทักษะเทวะ
ฉินมู่ซึ่งใบหน้าถูกแถบแพรรัดพันไว้อึ้งไป หลังจากนั้นพักหนึ่ง ใบหน้าของเขาก็คลี่ยิ้มเจิดจ้า เขารีบรุดตามท่านยายซีไปด้วยฝีเท้าอันรวดเร็ว
ดวงตาที่สามที่หว่างคิ้วของเขามองไปยังท่านยายซี เขาสามารถมองเห็นจิตวิญญาณดั้งเดิมของนางได้ แต่คราวนี้ เขาไม่มีความปรารถนาที่อยากจะกินมันอีกต่อไป
ดวงใจของเขาสงบสุข ในโลกหล้ามีใบหน้ามากมายที่สวยงามพอๆ กับท่านยายซี แต่ภายใต้ใบหน้าที่งดงาม ไม่ใช่ว่าทุกคนจะมีดวงวิญญาณที่งดงามและเมตตาเหมือนท่านยายซี
เป็นข้อเท็จจริงที่ว่า ฉินมู่รู้สึกซาบซึ้งเป็นอย่างยิ่งที่เป็นท่านยายซีเก็บเขาขึ้นมาและเลี้ยงเขาจนโตอย่างลำบากยากเย็น
ความเมตตาของเขาสืบทอดมาจากท่านยายซีมิใช่ใครอื่น
แม้ว่านางจะเป็นที่รู้จักว่าคือธิดาเทพแห่งลัทธิมารฟ้า และแบกรับชื่อเสียงของหญิงชั่วร้ายอันสังหารสามีของนาง นางนั้นกลับเป็นคนที่มีเมตตามากที่สุดในหมู่บ้านพิการชรา
ทุกๆ คนในหมู่บ้านพิการชรามีความชั่วร้ายของตนเอง หลบหนีจากโลกหล้าและเข้ามายังแดนโบราณวินาศด้วยสาเหตุต่างๆ กันไป ยายเฒ่าซีนั้นเป็นเพียงผู้เดียวที่เนรเทศตนเองเข้ามาในแดนโบราณวินาศ นางรู้สึกว่านางคือหายนะล่มเมืองจากความงามของตนเอง ด้วยสาเหตุนี้ นางจึงอยู่ในหนังของหญิงชราเพื่อมิให้ผู้คนต้องมาต่อสู้แย่งชิงกันจากการได้เห็นรูปโฉมของนาง
คนอื่นๆ มีแต่อยากที่จะทำให้ตนเองสะคราญโฉมขึ้น ใช้ความงามของตนแทนศาสตราวุธ แต่ในทางกลับกัน นางกลับพยายามอย่างดีที่สุดที่จะทำให้ตนเองอัปลักษณ์
สามารถควบคุมความปรารถนาที่ดวงตานี้นำมาแล้ว
ฉินมู่ค่อยเบาใจและสำรวจบริเวณรอบๆ แม้ว่าเขาจะมองเห็นดวงวิญญาณแตกหักมากมายแห่งเผ่ามาร แต่เขาก็สามารถยอมรับสิ่งที่เขามองเห็นได้และไม่มีความคิดที่อยากจะดูดกลืนพวกเขาอีกต่อไป
ยายเฒ่าซีหันหัวกลับไปและถามด้วยเสียงนุ่ม “มู่เอ๋อ รัศมีของเจ้าดูจะเปลี่ยนไป มีอะไรเกิดขึ้นหรือ”
“เรื่องบางอย่างที่น่าอัศจรรย์”
ฉินมู่นั้นกำลังอารมณ์ดีและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “บางอย่างที่ทำให้ข้ามีความสุข”
ยายเฒ่าซีถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “เรื่องอัศจรรย์อะไร ไหนเล่าให้ข้าฟังหน่อย”
ฉินมู่กล่าวด้วยเสียงอันดัง “ข้ารู้สึกว่าท่านยายเป็นหญิงที่สวยงามที่สุดในโลก ท่านเป็นหญิงที่เมตตาที่สุดในโลก!”
ยายเฒ่าซีส่ายหัว จนต่างหูมุกที่ใบหูของนางแกว่งไกลไปมา “นางมารจากลัทธิมารฟ้าจะเป็นคนที่มีเมตตามากที่สุดได้อย่างไร ข้าไม่ใช่หรอก มู่เอ๋อ เจ้าต่างหากที่เป็นคนมีเมตตาที่สุด”
ฉินมู่หัวเราะร่า “จ้าวลัทธิแห่งลัทธิมารฟ้า จะมีวิญญาณอันเมตตาได้อย่างไร”
ยายเฒ่ารู้สึกอารมณ์ของนางก็ดีขึ้นมาก ทั้งสองคนสนทนาและหัวเราะต่อกันขณะที่เดินไปยังแท่นสังเวยอันใกล้ที่สุด
ทันใดนั้น ฉินมู่และยายเฒ่าซีก็ชะงักเท้าพร้อมๆ กัน มองไปตรงนั้น ในที่ไกลๆ แท่นสังเวยนั้นสูงตระหง่านราวขุนเขา และมันมีบันไดขึ้นไปจากทั้งสี่ด้าน
ขั้นบันไดเหล่านั้นราวกับบันไดไต่สู่สรวงสวรรค์ พาทะยานขึ้นสู่ชั้นเมฆ
แท่นสังเวยสูงลิบลิ่วราวกับขุนเขาอันยิ่งยงที่ตั้งตระหง่าน บนขั้นบันไดแต่ละขั้นมีอักษรรูนมากมายนับไม่ถ้วนที่กะพริบวูบๆ วาบๆ มันคืออักษรรูนที่ใช้ในการบูชายัญสวรรค์หลัวฝู
นักบุญคนตัดไม้ก่อสร้างแท่นสังเวยนี้โดยใช้วิธีการบูชายัญโลหิตจากเผ่ามาร แต่ทว่า เขาต้องการบูชายัญโลกทั้งใบ ดังนั้นใช้แท่นสังเวยเพียงแท่นเดียวไม่เพียงพอ เขาจึงต้องใช้แท่นสังเวยจำนวนมากเพื่อฉีกทึ้งสวรรค์หลัวฝูเป็นส่วนๆ แปรเปลี่ยนมันเป็นพลังงานบริสุทธิ์!
การกระทำเช่นนี้จะต้องมีผลร้ายที่ไม่อาจรู้ได้อยู่เป็นแน่ นักบุญคนตัดไม้ไม่กล้าที่จะทำมันอย่างง่ายดาย แต่ก็เพราะว่าสวรรค์ไท่หวงไม่มีโอกาสชนะแล้วจริงๆ ดังนั้นเขาจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากจะต้องทำเช่นนี้
สาเหตุที่สวรรค์ไท่หวงไม่มีโอกาสชนะแล้วนั้นมิใช่เพราะว่าเผ่ามารแข็งแกร่งเกินไป แต่เพราะว่าสวรรค์ไท่หวงจะต้องถูกทำลาย แบบนั้นเผ่ามารถึงจะเข้าไปในสันตินิรันดร์ได้!
เผ่ามารมิได้แข็งแกร่ง ที่แข็งแกร่งคือพลังอำนาจที่จะทำลายสวรรค์ไท่หวง
ในจังหวะนั้นเอง บนยอดแท่นสังเวย เทพเจ้าตนหนึ่งยืนถือขวานศึกอยู่ ปราณและโลหิตของเขาพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า
ข้างใต้แท่นสังเวย ทหารมารหลายหมื่นยุ่บยั่บราวกับฝูงแมลง ลุกฮือกันเข้าไปยังยอดและโจมตีไปยังจุดสูงสุดของแท่นสังเวยนั้น!
เทพเจ้าที่ยืนอยู่บนจุดสุดยอดของแท่นสังเวยสะบัดขวานศึกของเขา แสงอันเจิดจ้าราวหิมะฟาดฟันลงมาจากยอด และเมื่อแสงกวาดซัดไป ชิ้นส่วนอวัยวะมากมายก็กระจุยขึ้นไปบนท้องฟ้า
บุุรุษโดดเดี่ยวและขวานศึกของเขาขัดขวางไพร่พลมารหลายหมื่น แปรเปลี่ยนโลหิตของพวกนั้นให้ไหลนองเป็นท้องธารและย้อมแท่นสังเวยจนแดงฉาน เลือดไหลลงจากตามขั้นบันไดทีละขั้นๆ
เหวิ่ง เหวิ่ง เหวิ่ง
เสียงจากการเหวี่ยงซัดขวานศึกแต่ละครั้งดังมาอย่างไม่หยุดหย่อน ซากศพได้ก่ายกองเต็มไปหมดทั้งขั้นบันได แต่มารตนอื่นๆ ก็ยังคงไม่กริ่งเกรงความตาย พวกเขาบุกทะลวงไปข้างหน้ากับน้ำหลาก และไต่ปีนขึ้นมุ่งหน้าไปยังยอดแท่นสังเวย หมายที่จะสังหารเทพตนนั้น
“ท่านยายซี มารพวกนี้เป็นเพียงแค่ผู้ฝึกวิชาเทวะธรรมดา พวกเขาไม่มีทางเป็นคู่ต่อสู้ของเทพตนนี้ได้”
เมื่อฉินมู่เห็นเช่นนั้น หัวใจเขาก็ฉงนฉงาย “ทำไมพวกเขาถึงเอาชีวิตไปทิ้งอย่างนั้นล่ะ”
ยายเฒ่าซีเองก็ฉงนใจเล็กน้อย มารพวกนี้เอาชีวิตของพวกเขาไปทิ้งจริงๆ และแม้ว่าจะมียอดฝีมือระดับสะพานเทวะอยู่ท่ามกลางหมู่มารเหล่านั้น พวกเขาก็ยังห่างไกลกับการเป็นคู่ต่อสู้ของเทพนั่น
เทพเจ้านี้เป็นหนึ่งในยี่สิบสี่เทพกิตติมศักดิ์ที่นักบุญคนตัดไม้เชื้อเชิญมา เขามีกำลังฝีมืออันแข็งแกร่ง และแม้ว่าจะด้อยกว่านักบุญคนตัดไม้ แต่ก็ยังโดดเด่นไม่ธรรมดาท่ามกลางเทพเจ้าทั้งหลาย
ต่อให้มีฝูงมารไหลบ่าเข้ามามากกว่านี้ เขาก็ยังไม่มีทางพ่ายแพ้!
“ฟู่ยื่อลัวไม่น่าจะโง่เขลาขนาดนี้”
ยายเฒ่าซีครุ่นคิดและกล่าว “ถ้าอย่างนั้น อะไรคือเป้าหมายของพวกมารที่กรูกันเข้าไปตาย มารพวกนี้ไม่ได้ทำให้เทพเจ้านี่เสียพลังงานไปมากเลย…หรือว่าจะมีมารเทวะซุ่มซ่อนอยู่ท่ามกลางไพร่พลมาร”
ฉินมู่เพ่งสายตา ดวงตาที่สามของเขาสามารถมองเห็นสมบัติเทวะของทุกคนได้อย่างชัดเจน แต่ทว่า เขาก็ไม่ค้นพบมารเทวะสักตนท่ามกลางหมู่พวกนั้น
“นี่คือ…การบูชายัญโลหิต!”
เขาพลันตระหนักขึ้นมาและร่ำร้อง “ฟู่ยื่อลัววางแผนที่จะใช้การบูชายัญโลหิตเพื่อแลกกับการจุติลงมาของตัวตนอันน่าสะพรึงกลัว! มันจะต้องมีมารเทวะที่ซุ่มซ่อนอยู่ไม่ไกล อันกำลังเตรียมพร้อมที่จะดำเนินพิธีบูชายัญ!”
ทันทีที่เขาพูดจำ โลหิตอันหลั่งไหลบนแท่นสังเวยพลันหยุดไหล ซากศพและร่างเป็นๆ ของไพร่พลมารพลันชะงักค้างเมื่อพวกเขาลอยขึ้นไปบนอากาศโดยฝืนเจตจำนง หลังจากนั้น ร่างกายของพวกเขาก็แหลกสลายไปในพริบตา เลือด เนื้อ กระดูก และแม้กระทั่งจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขา ถูกสั่นสะเทือนให้แหลกเป็นปรมาณูที่เล็กที่สุด แปรเปลี่ยนเป็นแม่น้ำโลหิตที่หมุนวนไปรอบๆ แท่นสังเวยและเทพนั้น!
เทพเจ้าบนยอดแท่นสังเวยฟาดฟันขวานศึกของเขา มันระเบิดออกมาด้วยเทวานุภาพ กระบวนท่าของขวานศึกนั้นเพริศแพร้วพิสดาร และเวทมนตร์ทักษะเทวะที่เขาร่ายออกมานั้นก็น่าตกตะลึงอย่างเหลือแสน แต่ถึงอย่างไร เขาก็ไม่อาจทำลายพิธีบูชายัญนี้ได้!
ฉินมู่รีบมองไปรอบๆ ทิศ เขาถึงกับมองหาไปยังที่ไกลกว่านั้น พยายามที่จะเสาะหามารเทวะอันกำลังบูชายัญสหายร่วมเผ่าตนอยู่!
มารเทวะที่กำลังดำเนินพิธีบูชายัญ จะต้องอยู่ที่นี่ด้วยตนเอง ดังนั้นเขาต้องอยู่ไม่ไกลเป็นแน่
ยายเฒ่าซีเองก็ตระหนักเช่นเดียวกัน และเริ่มมองหาดูรอบๆ
นางได้ก่อสร้างโครงข่ายการโคจรปราณรูปทรงมนุษย์แล้ว ท่ามกลางโครงข่ายเหล่านั้นมีเนตรเทวะของเฒ่าบอดผนวกอยู่ด้วย ทักษะเทวะวิชาเนตรของนางนั้นจึงเหมือนกับวิชาปลุกเนตรสวรรค์เก้าของเฒ่าบอดไม่มีผิด แต่ไม่เพริศแพร้วพิสดารเท่า
ถึงจะไม่เทียบเท่า แต่ด้วยวรยุทธของนางที่เขตขั้นเทวะขับเคลื่อนเนตรเทวะ สายตาของนางก็น่าแตกตื่นเป็นอย่างยิ่ง
แม้กระนั้น นางก็ยังคงค้นหาไม่พบว่ามารเทวะตนนั้นซ่อนอยู่ที่ไหน
“หากข้ารู้ว่าจะมีเรื่องแบบนี้ ข้าคงจะเรียกเฒ่าบอดมาด้วย!” ยายเฒ่าซีกระวนกระวาย
ในตอนนั้นเอง ฉินมู่อยู่ข้างๆ นาง เขาพลันร้องด้วยเสียงต่ำ “ท่านยาย ข้าเจอเขาแล้ว!”
ยายเฒ่าซีตะลึงไปเล็กน้อย นางไม่มีเวลาขบคิดและรีบถาม “เขาอยู่ที่ไหน”
ฉินมู่ชี้นิ้วขึ้นไปยังท้องฟ้าเหนือแม่นสังเวย ยายเฒ่าซีมองขึ้นไปปราดหนึ่ง และนางก็เห็นแต่แม่น้ำโลหิตที่โถมคลั่งอยู่เป็นวงกลม แต่ก็ยังไม่อาจมองเห็นว่ามารเทวะนั้นอยู่ที่ไหนกันแน่
ดวงตาของมู่เอ๋อดวงนี้ไม่ธรรมดาเลยจริงๆ เขานั้นถึงกับเสาะหาตัวมารเทวะตนนี้เจอ
นางฉงนฉงายเล็กน้อย ดวงตานี้ มันมีที่มาอย่างไรกันแน่ ทำไมแม้แต่ภูติบดีก็ยังหมายที่จะปิดผนึกมันเอาไว้
แม้ว่าฉินมู่จะทำได้เพียงแค่เปิดดวงตาที่หน้าผาก แต่สายตาของเขาก็พิลึกพิสดาร เขาสามารถมองเห็นสิ่งที่เนตรเทวะอื่นๆ มองไม่เห็น และวิธีการซ่อนตัวของมารเทวะตนนี้ก็อัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง เห็นได้ชัดว่าเขามีทักษะเทวะล่องหนอันวิเศษพิสดาร
มารเทวะนี้ซ่อนอยู่ระหว่างรอยแยกอวกาศ เหนือแท่นสังเวย ขณะที่ร่ายเวทมนตร์ไปด้วย การเคลื่อนไหวของเขาดูบ้าคลั่งและดุดัน บางครั้งเขาก็ตีลังกากลับหัว มีผมเผ้ากระเซอะกระเซิง และฝีเท้าของเขาก็วกเวียนสุ่มๆ
ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ท่านยาย มองไปที่ยังทิศทางที่เส้นด้ายปราณชีวิตของข้ายืดยาวไป! ข้าจะแสดงให้ท่านเห็นตำแหน่งที่แม่นยำของเขาด้วยเส้นด้ายปราณชีวิต ท่านจะต้องสังหารเขา!”
ยายเฒ่าซีตะโกน “เจ้าห้ามใช้วิชากายาจ้าวแดนดินสามอมตะเป็นอันขาด! ให้ใช้แค่เส้นด้ายปราณชีวิตชี้ทิศทางเท่านั้น! ส่งคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตมาให้ข้า!”
ฉินมู่เคลื่อนใจเล็กน้อย และลูกบอลไหมพรมก็ลอยออกมา ถัดไปนั้น ปราณชีวิตของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นเส้นด้าย เส้นด้ายนั้นพลันยืดยาวขึ้นไปบนท้องฟ้าเหนือแท่นสังเวยอย่างรวดเร็ว
เส้นด้ายปราณชีวิตชี้ตรงไปยังตำแหน่งของมารเทวะตนนั้นซึ่งกำลังร่ายเวทมนตร์และซ่อนตัวอยู่ ในเวลาเดียวกันนั้น ยายเฒ่าซีก็ควบคุมคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต และอักษรรูนมากมายก็เต้นระบำบนท้องฟ้าราวกับเส้นไหม
เส้นไหมนั้นแปรเปลี่ยนมาจากคัมภีร์ พุ่งเข้าไปชิดกับเส้นด้ายปราณชีวิตของฉินมู่ มันยืดยาวออกไปอย่างรวดเร็วตามเส้นของฉินมู่
พลังวัตรของยายเฒ่าซีถ่ายเทเข้าไปในนิพนธ์ของคัมภีรมารฟ้ามหาศึกษิต นี่เป็นวิธีที่ถ่ายทอดมาจากบรรพจารย์ก่อตั้งแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ บรรพจารย์ก่อตั้งได้หลอมสร้างคัมภีร์ให้กลายเป็นสมบัติวิเศษ ตราบเท่าที่คัมภีร์ถูกปิดเอาไว้ มันก็เป็นแค่ลูกบอลไหมเล็กๆ แต่ทว่า หากว่ามันถูกเปิดยืดออกไปและแผ่ขยายด้วยปราณชีวิต มันก็จะกลายเป็นนิพนธ์จำนวนนับไม่ถ้วน
ไม่เพียงแค่นั้น คัมภีร์ยังสามารถใช้เป็นอาวุธวิญญาณได้อีกต่างหาก และครอบครองพลานุภาพอันแข็งแกร่งเหนือธรรมดา
ครั้งหนึ่งท่านยายซีเคยใช้คัมภีร์ต่อสู้กับยอดฝีมือมากมายในเมืองเขตมังกร และเมื่อฉินมู่เข้าไปในความมืดแห่งแดนโบราณวินาศกับผู้ใหญ่บ้านเป็นครั้งแรก คัมภีร์ก็เป็นหนึ่งในสมบัติที่เขานำไปด้วยเพื่อปกป้องตัวเขา
เพียงแต่ว่าหลังจากนั้น ฉินมู่มีอาวุธวิญญาณของตนเอง ดังนั้นน้อยครั้งนักที่เขาจะใช้คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต
คัมภีร์จึงไม่ใช่สิ่งที่เขาใช้สะดวกมืออีกต่อไป
แต่สำหรับท่านยายซี มันคืออาวุธวิญญาณที่ดีที่สุด และมันเข้ากับวิชาฝึกปรือและธรรมชาติของนางมากที่สุด นางถึงกับสามารถใช้คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตเพื่อจับเคลื่อนการเปลี่ยนแปลงอันทักษะเทวะเท่านั้นที่จะสามารถกระทำได้ นี่ก็มีแต่ว่าเพราะฉินมู่เป็นจ้าวลัทธิ คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตจึงต้องให้เขาเป็นคนเก็บรักษา นางจึงไม่ได้ถามขอมันจากเขา
เส้นด้ายปราณชีวิตของฉินมู่ยืดยาวไปห้าสิบลี้ และมันก็เกือบที่จะไปถึงจุดซุ่มซ่อนของมารเทวะนั้น แต่ทว่า ความทนทานของเส้นด้ายปราณชีวิตของเขามาถึงขีดจำกัด หากว่าเขาสามารถขับเคลื่อนกายาจ้าวแดนดิน เขาก็จะสามารถยืดขยายเส้นด้ายไปได้อีกมากกว่าหกเท่า แต่หากว่าเขาไม่ขับเคลื่อนวิชาฝึกปรือของตน ปราณชีวิตของเขาก็แผ่ไปได้ไกลเพียงห้าสิบลี้
“มู่เอ๋อ อย่าคิดจะใช้วิชาฝึกปรือของเจ้าเป็นอันขาด! ใช้ปราณชีวิตของเขายืนยันทิศทางก็เพียงพอแล้ว ข้าสามารถสังหารเขาได้!”
ท่านยายซีเตือนเขาอีกครั้ง สะพานเทวะยืดยาวข้ามท้องฟ้าข้างหลังนาง จิตวิญญาณดั้งเดิมของนางปรากฏขึ้นมาและเดินข้ามสะพาน ไปถึงปราสาทสวรรค์ที่อยู่ปลายสุดสะพานเทวะ!
ยายเฒ่าซีกู่ร้อง เทวานุภาพพวยพุ่งออกมาจากร่างกายของนาง ที่นอกประตูสวรรค์ทักษิณ แสงสาดส่องไปยังสวรรค์ทั้งเก้าชั้น นิพนธ์แห่งคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตราวกับงูพรายวิญญาณอันเล็กละเอียดที่สุดอันเลื้อยไปยังจุดซุ่มซ่อนของมารเทวะนั้น!
ในขณะนั้น มารเทวะดังกล่าวกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยงหัวต่อสำคัญของเวทมนตร์ แสงพลันพวยพุ่งขึ้นสู่ท้องฟ้า และเส้นสีเงินพุ่งทะลวงเข้าไปในใจกลางหว่างคิ้วของเขา!
มารเทวะตะลึงงัน ขณะที่เขาคว้ากุมหว่างคิ้วของตนอย่างไม่คิดชีวิต คีบจับเส้นไหมเอาไว้
เขางงงวยเล็กน้อย “นี่มันคืออะไร”
ข้างๆ ฉินมู่ เรือนผมอันงดงามของยายเฒ่าซีปลิวสยาย เสื้อผ้าของนางเต้นระบำในอากาศราวกับผีเสื้อ ส่งทักษะเทวะลูกแล้วลูกเล่าซัดถล่มไป
สีหน้าของมารเทวะแปรเปลี่ยนอย่างรุนแรง เขากำลังจะดึงเส้นไหมนี้ออกจากร่างกาย แต่ทันใดนั้น คัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตก็พลันพองขยาย แปรเปลี่ยนเป็นทักษะเทวะหลายร้อยที่ระเบิดเข้าไป
ปัง ปัง ปัง ปัง
คลื่นสะเทือนนับไม่ถ้วนพุ่งออกมาจากรอยแยกอวกาศ ไม่นานนัก โลหิตของมารเทวะก็หลั่งไหลจากรอยแยกอวกาศ ราวกับบาดแผลบนท้องฟ้า เลือดหลั่งไหลลงมาราวน้ำตก
ยายเฒ่าซีระบายลมหายใจโล่งอกระหว่างที่ม้วนคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตกลับเข้ามา นางเงยหน้าขึ้นมาและเห็นว่าการบูชายัญโลหิตยังไม่สิ้นสุดไป
แม้ว่ามารเทวะจะตายไปแล้ว แต่การบูชายัญโลหิตก็ได้สำเร็จสมบูรณ์