ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 612 สองหมื่นปีแห่งการถ่ายทอดมรรคาแห่งนักบุญ
- Home
- ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods
- ตอนที่ 612 สองหมื่นปีแห่งการถ่ายทอดมรรคาแห่งนักบุญ
นักบุญคนตัดไม้รับการกราบกรานของเขาและกล่าว “ข้าไม่ได้รับศิษย์มากมาย ข้าเพียงแต่สั่งสอนพวกองค์ชายทั้งหลายในอดีต พวกเขาไม่จำเป็นต้องกราบกรานข้าเป็นอาจารย์ นั่นจึงเป็นเหตุให้ศิษย์อย่างเป็นทางการของข้ามีแค่เจ้ากับศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้า เมื่อเทียบกับศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าแล้ว เจ้านั้นยังเยาว์และอ่อนประสบการณ์อยู่มาก ดังนั้นเจ้าจะต้องร่ำเรียนเป็นอย่างดี ข้าไม่ได้สอนให้เราเรียนเรื่องร้ายๆ ข้าเพียงแต่สอนเพื่อให้เจ้าไม่ถูกเอารัดเอาเปรียบ”
ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ เขาดูไม่เหมือนครูบาศักดิ์สิทธิ์ แต่เหมือนพวกผู้เฒ่าแห่งหมู่บ้านพิการชรา
“ครูบาศักดิ์สิทธิ์ นักบุญคืออะไร” ฉินมู่ถาม
“นักบุญคือกรอบคิดจิตใจแบบหนึ่ง”
พวกเขามายังตีนขุนเขาแท่นประหารเทพ นักบุญคนตัดไม้ตรวจตราดูขุนเขาเทวะนี้พลางกล่าวอย่างเยือกเย็น “กาลครั้งหนึ่ง ข้าเคยบอกศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้าว่า ผู้ที่จะสำเร็จเป็นนักบุญจะต้องสถาปนาสามคุณูปการ ได้แก่ สถาปนาความคิดในนิพนธ์ สถาปนาลัทธิ และสถาปนากุศล เมื่อทั้งสามคุณูปการถูกสถาปนาขึ้นมา กรอบคิดจิตใจของเจ้าก็จะบรรลุสู่จุดสูงล้ำอันไม่มีใครเทียบเทียมได้ นักบุญจะต้องมีความคิดในนิพนธ์ จากนั้นเขาจึงจะสถาปนาแนวทางลัทธิด้วยการสั่งสอนสรรพชีวิตและไขปัญหาทั้งหมดของพวกเขา ทำลายอุปสรรคและขวากหนาม และเปิดเส้นทางให้พวกเขาด้วยการถ่ายทอดคำสั่งสอน”
ฉินมู่ตะลึงและร้องออกมา “สถาปนาลัทธิงั้นหรือ ไม่ใช่ว่ามันคือการก่อตั้งลัทธินักบุญสวรรค์และถ่ายทอดคำสั่งสอนลัทธิหรอกหรือ”
นักบุญคนตัดไม้ส่ายหัว และกล่าว “ไม่ใช่การก่อตั้งลัทธิ แต่คือการสถาปนาแนวทางลัทธิ การก่อตั้งลัทธินั้นตื้นเขินเกินไป เมื่อเจ้าสร้างสำนักขึ้นมา มันก็จะมีการแก่งแย่งชิงดีระหว่างสำนัก แต่การแก่งแย่งชิงดีนั้นก็จะลากความคิดในนิพนธ์มาเกี่ยวข้อง ทำให้ความคิดในนิพนธ์หายสาบสูญไป”
ฉินมู่จิตคิดกระเจิดกระเจิง เขาพลันจดจำได้ถึงจ้าวลัทธิคนก่อนๆ ที่อยู่ในยมโลก และเขาก็อดไม่ได้ที่จะจินตนาการถึงน้ำตาอันไหลพรากอาบหน้าคนพวกนั้น
พวกเขาภูมิอกภูมิใจในศักดิ์ฐานะของตนในฐานะจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์ แต่พวกเขาไม่รู้ว่าทุกสิ่งทุกอย่างผิดไปหมด เมื่อเทียบกับมาตรฐานของนักบุญคนตัดไม้
นักบุญคนตัดไม้เดินลงจากขุนเขาเทวะ ระหว่างที่เดินไป เขาก็จะจับเอาก้อนหินขึ้นมาเป็นระยะ ก้อนหินใหญ่พวกนั้นถูกหลอมละลายด้วยพลังวัตรของเขา หลังจากนั้น พวกมันก็แปรเปลี่ยนเป็นเสาหินหลายต้นอันมีรอยประทับพิสดารมากมาย ในท้ายที่สุด พวกมันก็ถูกวางไว้ที่ตีนขุนเขาเทวะเป็นกระบวนพยุหะประหลาด
“การก่อตั้งลัทธิไม่เท่ากับการสถาปนาแนวทางลัทธิ แล้วเจ้าจะสถาปนาแนวทางลัทธิได้อย่างไร ก็ด้วยการทำให้การศึกษาเปิดกว้างออกไปด้วยการก่อสร้างโรงเรียน กระจายกำลังผู้มีความสามารถ กระทำการงานที่จับต้องได้ และศึกษาค้นคว้ามรรคา วิชา และทักษะเทวะ ของเหล่านี้ล้วนเพื่อประโยชน์การใช้สอยในชีวิตประจำวันของคนธรรมดาสามัญ”
นักบุญคนตัดไม้กล่าวอย่างแผ่วเบาขณะที่เขาหลอมสร้างเสาหินเคลื่อนย้ายระยะไกล “เมื่อประเทศอ่อนแอ พวกเขาก็จะพยายามปฏิรูปตนเองให้แข็งแกร่ง และนี่ก็จะทำให้ทั้งประเทศแข็งแกร่ง”
วิธีการหลอมสร้างของเขาไม่เลิศล้ำเท่ากับเฒ่าใบ้ แต่ว่ามันรวดเร็วเป็นอย่างยิ่ง เขาประทับรอยอักษรรูนสำหรับทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกลลงไปบนเสาหินอย่างรวดเร็ว
“หากว่าผู้คนอ่อนแอ ให้ถ่ายทอดคำสอนที่มีประโยชน์แก่ผู้คน นี่จะทำให้ผู้คนแข็งแกร่ง”
“หากว่าทหารอ่อนแอ ให้ปฏิรูปและยกระดับยุทโธปกรณ์ นี่จะทำให้ผู้คนแข็งแกร่ง”
“หากว่ามีจ้าวผู้ปกครองที่สับสนความคิด ให้บอกกล่าวและร้องเรียนอย่างจริงจัง แนะนำให้จ้าวผู้ปกครองเปลี่ยนแปลงตน หากว่าจ้าวผู้ปกครองไม่เปลี่ยนแปลง ให้ร้องเรียนอีกครั้ง หากว่ายังคงไม่มีการพัฒนา ก็ให้เปลี่ยนตัวจ้าวผู้ปกครอง”
“หากว่าไม่มีเส้นทางไปสู่สวรรค์ ก็ดำเนินการปฏิรูปต่อไปเพื่อเปลี่ยนกฎสวรรค์ให้สอดคล้องกับโลกหล้า หากว่าสวรรค์ไม่เปลี่ยนแปลง ให้ปฏิรูปครั้งที่สองเพื่อเสาะแสวงความเปลี่ยนแปลง หากว่ามันยังคงไม่ขยับ ก็ประหารสวรรค์เพื่อก่อตั้งมรรคา”
ฉินมู่รับฟังอย่างใจจดใจจ่อ เมื่อนักบุญคนตัดไม้กล่าวและอธิบายอุดมการณ์ของเขาจบ พวกเขาก็ได้เดินลงจากภูเขามาครึ่งทางแล้ว
ฉินมู่พลันกล่าว “ครูบาศักดิ์สิทธิ์ เงื่อนไขของการเป็นนักบุญนั้นสูงลิบจนเกินไป จากผู้คนทั้งหมดที่ข้าเคยพบเจอและได้ยินมา ไม่มีใครที่สามารถกระทำได้ตามเงื่อนไขแห่งนักบุญ ท่านเองก็สามารถทำทั้งหมดนี่ได้หรือไม่”
นักบุญคนตัดไม้ชะงักเท้า ขณะที่ก้อนหินภูเขาบนอากาศหลอมละลายเพื่อก่อรูปขึ้นมาเป็นเสาหิน
เมื่อเขาหยุดเดิน รอยประทับบนเสาหินเองก็หยุดเปลี่ยนแปลงเช่นกัน
ฉินมู่รู้สึกใจไม่ค่อยดี และด่าทอตนเองที่พูดมากเกินไป เขาปรายตามองและเห็นหยาดน้ำตาบนใบหน้าของชายกลางคนผู้นี้
“ครั้งหนึ่งข้าเคยคิดว่าข้าทำได้”
เสียงของนักบุญคนตัดไม้ค่อนข้างแหบพร่า พลางกล่าวอย่างเศร้าโศก “ครั้งหนึ่งข้าเคยคิดว่าข้าสามารถสำเร็จเป็นนักบุญ ข้าคิดว่าข้าสามารถสถาปนาแนวทางลัทธิและเสริมแกร่งให้พวกข้าด้วยการปฏิรูป ข้าคิดว่าข้าสามารถทำให้จักรวรรดิจักรพรรดิก่อตั้งแข็งแกร่งขึ้นมาได้ ข้าคิดว่าสามารถทำให้ผู้คนที่อ่อนแอแข็งแกร่งขึ้นมาได้ ทำให้ผู้คนพัฒนาฝีมือความสามารถที่เหนือธรรมดา เปลี่ยนแปลงกำลังทหารอันอ่อนแอ และทำให้พวกเขามีพลานุภาพอันเกริกไกรสยบอริศัตรู ข้าคิดว่าข้าสามารถทำให้มั่นใจได้ว่าจ้าวผู้ปกครองจะไม่สับสนความคิด รับประกันมรรคาสู่สวรรค์ และกระทั่งรับประกันว่าข้าจะสถาปนากุศลและเอาชนะคนพาลทั้งหลาย…ข้าล้มเหลวในสามข้อสุดท้าย”
ตึง
เสาหินที่ยังหลอมสร้างไม่เสร็จร่วงลงสู่พื้น และจมลงไปในโคลนอย่างรวดเร็ว นักบุญคนตัดไม้พิงกับเสาด้วยมือซ้าย ขณะที่ใบหน้าของเขาก้มซ่อนอยู่ในข้อศอก เขาไม่ยอมให้ฉินมู่เห็นเขาเสียศูนย์ ขณะที่น้ำตาร่วงพราวลงจากใบหน้าของเขา
“ข้าพ่ายแพ้ ข้าไม่อาจยับยั้งจักรพรรดิก่อตั้งมิให้ไปหมู่บ้านไร้กังวลได้ ข้าได้ปล่อยให้จ้าวผู้ปกครองสับสนความคิด ข้าคิดว่าข้าจะสามารถเปลี่ยนกฎเกณฑ์และมรรคา เพื่อเปลี่ยนเส้นทางสู่สวรรค์ แต่สภาสวรรค์ก็ได้ทำลายล้างจักรวรรดิจักรพรรดิก่อตั้ง และปิดฉากยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง ข้าไม่อาจสถาปนากุศลได้ในการต่อสู้ครั้งสุดท้าย…”
“ข้าพ่ายแพ้ไปแล้ว…ฉินมู่ ข้าไม่ใช่นักบุญที่เจ้ากำลังตามหา ข้าเองก็ไม่สามารถสอนอะไรเจ้าได้สักสิ่ง ข้านั้นเป็นเพียงผู้ล้มเหลวคนหนึ่ง…”
ฉินมู่จ้องไปที่เขาด้วยความตะลึงงัน อารมณ์บางอย่างก็คุกรุ่นขึ้นมาในหัวอก
เมื่อการปฏิรูปของนักบุญคนตัดไม้มาถึงจุดที่เจริญรุ่งเรืองที่สุด จักรพรรดิก่อตั้งก็พลันถอยทัพไปและก่อสร้างหมู่บ้านไร้กังวลโดยไม่เข้าเผชิญศึกชี้เป็นชี้ตาย ดังนั้น จิตหาญสู้ของนักบุญคนตัดไม้จึงเหี่ยวฝ่อ
เขาเห็นจักรพรรดิก่อตั้งล่าถอย และมองไปที่จักรวรรดิจักรพรรดิก่อตั้ง อันพวกเขาได้สร้างขึ้นมาด้วยความเหนื่อยยาก แปรเปลี่ยนเป็นเถ้าถ่าน เขาจะต้องทนดูสหายร่วมรบต่อสู้และล้มตายเพื่ออุดมคติเดียวกัน เขามองไปที่พวกเขาถูกประหารบั่นคอ สาดเลือดระอุอุ่นลงไปบนดินแดนที่ครั้งหนึ่งเคยคุ้นเคย เขามองไปยังสหายร่วมรบที่คาดหวังมาดหมายให้จักรพรรดิก่อตั้งกลับลงมาอีกครั้งนำพาพวกเขาสู่การศึก สหายเหล่านี้กลับล้มตายไปด้วยความชรา เขามองไปยังผู้คนแห่งยุคสมัย ตายไปรุ่นแล้วรุ่นเล่า ด้วยใบหน้าใหม่ๆ ที่ปรากฏขึ้นมาทดแทนใบหน้าเก่าๆ
ความเพลี่ยงพล้ำและความเจ็บปวดในหัวใจของเขานั้นเป็นสิ่งที่ผู้คนไม่อาจจินตนาการออก
ฉินมู่พลันเร่งเสียงดังขึ้น “ครูบาศักดิ์สิทธิ์ ท่านสามารถถ่ายทอดมรรคาแห่งนักบุญให้ข้าได้หรือไม่”
นักบุญคนตัดไม้ใช้แขนเสื้อเช็ดน้ำตาของเขา เขาหันกลับไปมอง ฉินมู่กล่าวอย่างกระตือรือร้น “ข้าอยากจะสืบทอดคำสอนของท่าน และเดินต่อไปในมรรคานี้ ข้าอยากที่จะดำเนินการปฏิรูปต่อ ข้าอยากจะประหารบั่นคอจ้าวผู้ปกครองที่สับสนความคิด และประหัตประหารสรวงสวรรค์หากว่าไม่มีมรรคาไป!”
สีหน้าของนักบุญคนตัดไม้แห้งแล้ง พลางส่ายหัว “เจ้าทำไม่ได้”
ไฟอันรุ่มร้อนในอกของฉินมู่ถูกดับในวูบเดียว เขากำหมัดแน่นด้วยความโกรธ “ทำไมข้าทำไม่ได้ ศิษย์พี่ใหญ่ข้ามีปฏิภาณที่ค่อนข้างแย่ เขาคิดว่าการสถาปนาแนวทางลัทธินั้นเท่ากับการก่อตั้งลัทธินักบุญสวรรค์ แต่ข้าไม่ได้โง่เซ่อขนาดนั้น!”
นักบุญคนตัดไม้ส่ายหัว “ศิษย์พี่ใหญ่ของเจ้านั้นค่อนข้างโง่เซ่อ แต่เจ้าเองก็ไม่ได้ดีไปกว่ากัน เจ้ามักจะเลือดขึ้นหน้าเอาง่ายๆ และจมจ่อมอยู่กับการงานต่างๆ แม้ว่าบางครั้งเจ้าจะมีความเจ้าเล่ห์ แต่ก็ยังขาดสมาธิเป้าหมาย อารมณ์ของเจ้าโลดเต้นมากเกินไป และเจ้ารู้สึกว่าทุกสิ่งนั้นแปลกใหม่ไปหมด ทำให้เจ้าอยากจะศึกษาพวกมันมากสักหน่อย แม้ว่าเจ้าจะมีความคิดของเจ้า แต่ความคิดของเจ้านั้นไม่ลึกพอ แม้ว่าเจ้าจะมีความเชื่อ แต่ความเชื่อของเจ้าไม่มั่นคงพอ จิตเต๋าของเจ้าไม่แข็งแกร่งเท่ากับภูเขาและแม่น้ำ มันยังคงไม่บรรลุถึงขั้นที่สถาวรไม่เปลี่ยนแปลง ในตอนนี้เจ้าไม่เหมาะกับการเป็นนักบุญ เจ้าในตอนนี้ยังไม่เพียงพอ”
ฉินมู่กล่าวด้วยเสียงอันดัง “ข้าสามารถเปลี่ยนได้ ข้าเรียนรู้ได้!”
“ข้าไม่อาจรอได้อีกต่อไปแล้ว”
นักบุญคนตัดไม้เผยรอยยิ้ม และเสียงของเขาก็อ่อนโยน “ศิษย์คนดีของข้า ข้าไม่สามารถรอได้นานขนาดนั้นได้อีกต่อไปแล้วจริงๆ”
ฉินมู่ตะลึงงัน
นักบุญคนตัดไม้หลอมสร้างเสาหินของเขาต่อก่อนที่จะเดินไปข้างหน้า
ในเวลาเดียวกันนั้น ฉินมู่ก็ติดตามเขาไปอย่างเงียบงัน เขามองไปที่อีกฝ่ายหลอมสร้างเสาหินเคลื่อนย้ายระยะไกลไปทีละต้น
ผ่านไปสักพักหนึ่ง นักบุญคนตัดไม้ก็จัดเรียงพยุหะสำเร็จ เขามองไปที่ฉินมู่ซึ่งคอตกหดหู่ และกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่าทำหน้าเซ็งขนาดนั้น หากว่าข้าไม่รู้เกี่ยวกับเจ้าดีพอ ข้าก็คงจะคิดเอาจริงๆ ว่าจิตเต๋าของเจ้าอ่อนแอเหมือนกับที่เสือขนดำนั่นคิด พวกเราขึ้นไปบนภูเขากันเถอะ”
ความหดหู่บนใบหน้าของฉินมู่หายวับ ขณะที่เขาติดตามนักบุญขึ้นไปบนยอดเขาแท่นประหารเทพนี้
เมื่อพวกเขามาถึงยอดเขา นักบุญคนตัดไม้ก็ขับเคลื่อนทักษะเทวะเคลื่อนย้ายระยะไกล เสาหินสาดแสงเจิดจ้า ขณะที่อักษรรูนอันประทับอยู่บนนั้นส่องแสงเรืองรอง ผ่านไปพักหนึ่ง อักษรรูนพวกนั้นก็ลอยขึ้นไปบนอากาศ และพวกมันแปรเปลี่ยนเป็นนิพนธ์อันพิสดารและงามตระการ
อักษรรูนมากมายเชื่อมต่อกันในอากาศ และพวกมันหมุนวนไปเร็วขึ้นและเร็วขึ้น!
ในการที่จะเคลื่อนย้ายแท่นประหารเทพนี้ แม้แต่ตัวตนระดับนักบุญคนตัดไม้ก็ยังต้องแปรเปลี่ยนทักษะเทวะของเขาให้กลายเป็นพยุหะเสียก่อน เขาถึงจะสามารถเคลื่อนย้ายมันไปได้!
แสงปะทุระเบิดออกมาเมื่อแท่นประหารเทพลอยขึ้นไปด้วยเสียงครั่นครื้น หมุนวนและเหาะจากไปพร้อมกับพวยแสง
ขณะที่ฉินมู่ยืนอยู่บนขุนเขาเทวะ เขาก็หันกลับไปมองยังดาวผิดประหลาด มันเคลื่อนที่ห่างไกลออกไปทุกทีๆ และหายลับไปจากสายตาของเขาอย่างรวดเร็ว
เขาพบว่าบริเวณรอบข้างพวกเขาคือห้วงอวกาศมืดมิดที่ไร้ขอบเขต อันรกร้างและว่างเปล่า บางครั้งเขาก็เห็นดวงดาวละเอียดเล็ก
ฉินมู่ทำลายความเงียบและกล่าว “ครูบาศักดิ์สิทธิ์ ข้ารู้สึกว่ามีบุคคลที่พรสวรรค์และปฏิภาณเหนือล้ำกว่าข้า เขานั้นเหมาะสมและสอดคล้องกับเงื่อนไขของท่าน ข้าอยากที่จะแนะนำเขาให้แก่ท่าน”
นักบุญคนตัดไม้ตะลึงไปเล็กน้อย เขาคลี่ยิ้มออกมา “ตกลง แต่ทว่า เจ้าไม่ต้องเรียกข้าว่าครูบาศักดิ์สิทธิ์อีกต่อไป เรียกว่าอาจารย์เฉยๆ ก็พอ”
“อาจารย์”
…
ในสวรรค์หลัวฝู กระแสแสงอันเชี่ยวกรากพวยพุ่งลงมาจากฟากฟ้า มันสาดส่องลงไปยังพื้นดินกระผีกหนึ่งข้างหน้าแท่นสังเวย
อักษรรูนอันซับซ้อนจำนวนนับไม่ถ้วนปรากฏขึ้นมา และให้แสงสว่างไสวไปทั่วพื้น แปรเปลี่ยนไปมาอย่างต่อเนื่อง เมื่อแสงหายวับไป แท่นประหารเทพอันใหญ่โตและยิ่งยงก็พลันปรากฏ!
นักบุญคนตัดไม้เดินลงมาจากแท่นประหารเทพ และขวานยักษ์ข้างหลังเขาก็ลอยขึ้นมา จามเข้าไปในอากาศธาตุ ก่อขึ้นเป็นประตูอันเชื่อมต่อกับสวรรค์ไท่หวง “พาเขามาพบข้า”
ฉินมู่โค้งคารวะ “ขอรับ อาจารย์”
…
ที่เมืองหลี สวรรค์ไท่หวง
เมื่อฉินมู่เห็นราชครูสันตินิรันดร์ เขากับบัณฑิตมากมายจากทุกสถาบันการศึกษาต่างก็กำลังออกแบบอาวุธวิญญาณที่ใช้สำหรับบุกเมืองและทำสงครามใหญ่ ฉินมู่เข้าไปใกล้เขาแล้วกล่าว “ราชครู นักบุญคนตัดไม้ต้องการพบเจ้า”
ราชครูสันตินิรันดร์ร่างสั่นเทิ้ม และมองไปที่เขาด้วยความประหลาดใจแกมยินดี
เมื่อทั้งสองคนมาถึงสวรรค์หลัวฝู ราชครูสันตินิรันดร์ก็เงยศีรษะมองไปยังแท่นสังเวยอันสูงลิ่วและน่าเกรงขาม บนแท่นสังเวย ชายกลางคนผู้หนึ่งอันสวมใส่เสื้อผ้าของคนตัดไม้ยืนอยู่บนยอด
ราชครูสันตินิรันดร์จิตใจไหวสะท้าน และเขารีบจัดแจงเสื้อผ้าของตนเอง เขากำลังจะอ้าปากร้องขอเข้าพบ แต่ทันใดนั้นเสียงกึกก้องของนักบุญคนตัดไม้ก็ดังลงมาและถาม “คำถามแรก ปณิธานดั้งเดิมของเจ้าคืออะไร จงตอบ!”
ราชครูสันตินิรันดร์หยุดเดินและกล่าวด้วยเสียงอันดัง “เพื่อตั้งมโนสำนึกแห่งฟ้าและดิน เพื่อพิทักษ์ชีวิตและความมั่งคั่งของผู้คน เพื่อฟื้นฟูและสืบทอดคำสั่งสอนที่สูญหายจากสมัยเก่าก่อน และเพื่อสถาปนาสันติสุขแก่ชนรุ่นหลัง ทั้งหมดนี้คือปณิธานดั้งเดิมของข้า!”
นักบุญคนตัดไม้นิ่งขรึมไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าว “ก้าวขึ้นมา”
ราชครูสันตินิรันดร์เดินขึ้นไปได้สองในสามส่วนของบันไดแท่นสังเวย และเสียงของนักบุญคนตัดไม้ก็ดังมาอีกครั้ง “คำถามที่สอง จิตเต๋าของเจ้าเป็นอย่างไร จงตอบ!”
ราชครูสันตินิรันดร์หยุดเท้าอีกครั้ง และเขาตอบไปด้วยความจริงใจและกระตือรือร้น “ข้าไม่เคยเปลี่ยนแปลงปณิธานดั้งเดิม จิตเต๋าของข้าจะแข็งแกร่งเช่นนี้ชั่วนิรันดร์!”
“ก้าวขึ้นมา!”
ราชครูสันตินิรันดร์เดินขึ้นไปบนแท่นสังเวยต่อ เมื่อเขาไปเกือบจะถึงจุดสูงสุด นักบุญคนตัดไม้ก็ถามคำถามสุดท้าย “คำถามที่สาม เจ้ารู้หรือไม่ว่าเจ้าจะต้องตายเพราะเรื่องนี้ ว่าเจ้าจะต้องสูญเสียชื่อเสียง ชนรุ่นหลังจะหลงลืมเจ้า หรือแม้กระทั่งเกลียดชังเจ้า ไม่เพียงแต่มรรคานี้จะทำลายชีวิตของเจ้า มันจะทำลายชื่อเสียงเกียรติคุณ ทำให้เจ้ากลายเป็นคนไร้ค่าไม่สำคัญตั้งแต่วันนี้เป็นต้นไป”
“ข้าทราบ”
ราชครูสันตินิรันดร์โค้งคารวะ “ข้ายินดีที่จะทำมัน ข้ามีมโนสำนึกที่ใสกระจ่าง และข้าจะไม่มีความตัดพ้อย้อนเสียใจ”
นักบุญคนตัดไม้เผยยิ้ม “ข้าได้สอนผู้คนจำนวนนับไม่ถ้วน แต่ข้ารับศิษย์มาเพียงแค่สองคน แต่กระนั้น ศิษย์ทั้งสองของข้าก็ไม่เคยได้สืบทอดมรดกและคำสอนที่จริงแท้ของข้า แต่กลับเป็นดอกไม้นอกประตูที่ผลิบานแทน ขึ้นมาสิ”
ราชครูสันตินิรันดร์ก้าวบันไดขั้นสุดท้าย และมายังจุดบนสุดของแท่นสังเวยเพื่อเผชิญหน้ากับนักบุญคนตัดไม้
ตึง
ขวานใหญ่ข้างหลังนักบุญคนตัดไม้ตกลงมา และปักเข้าไปในพื้น นักบุญคนตัดไม้จึงนั่งลงด้วยขาอันอ้ากว้างบนสันขวาน และยันมือไว้ที่หัวเข่า “บัดนี้เจ้าสามารถคารวะข้าในฐานะศิษย์ได้แล้ว”
ราชครูสันตินิรันดร์ยกชายชุดยาวสีเขียวของตนเองขึ้นและคุกเข่าลงไป เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “บัณฑิตแห่งสุสานแม่น้ำ น้อมคารวะอาจารย์!”
ฉินมู่เงยขึ้นมองแท่นสังเวย น้ำตาไหลลงอาบแก้มเขาอย่างไม่รู้ตัว เมื่อได้เป็นประจักษ์พยานการถ่ายทอดมรดก
บัดนี้ความรับผิดชอบของนักบุญได้ถูกส่งผ่านจากยุคสมัยหนึ่งไปยังบ่าของบุคคลจากอีกยุคสมัยหนึ่ง
มันไม่มีภาพปรากฏการณ์อันตระการตา หรือถ้อยคำที่ปลุกเร้าหัวใจผู้คน แต่กระนั้นเขาก็ตื้นตันเสียจนน้ำตาเอ่อล้นจากดวงตาทั้งสอง