ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 641 พลานุภาพแห่งวงแหวนเทวะ
ฉินมู่สามารถขับเคลื่อนมุทราฟ้าและดิน นั้นมิใช่เพราะว่าเขามีกายาจ้าวแดนดิน แต่เป็นเพราะประโยคที่บรรพชนแรกกล่าว และประโยคนั้นก็คือ ‘เจ้าและข้าเหมือนกัน ล้วนแต่เป็นเด็กกำพร้าที่พลัดพรากจากตระกูลฉิน’ ได้ยินถ้อยคำพวกนี้ ทำให้เขารู้สึกเหมือนกัน และกรอบคิดจิตใจของเขาก็สั่นพ้องกับบรรพชนแรก
เขาได้ประสบพบการทำลายล้างของยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง และเมื่อเป็นเด็กกำพร้าแห่งตระกูลฉินเพียงผู้เดียวในโลกหล้าแห่งนี้ เขาก็รู้สึกอับจนปัญญาเมื่อต้องแบกรับฟ้าและดินที่นี่ด้วยตนเอง
อารมณ์เช่นนี้เป็นสิ่งที่บรรพชนแรกรู้สึก และนั่นก็เป็นสิ่งที่เขารู้สึกเช่นกัน
ไม่เพียงแค่นั้น บรรพชนแรกยังหมายที่จะแบกรับยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งให้ดำเนินต่อไป ไม่ถูกทำลายล้างโดยสิ้นเชิง สิ่งที่ฉินมู่ต้องการแบกรับคือโลกหล้าในปัจจุบัน ยุคสมัยสันตินิรันดร์
ตอนนี้สันตินิรันดร์อาจจะดูปลอดภัย แต่ผู้คนก็อาจจะกำลังใช้ชีวิตอย่างสงบสุข แต่ฉินมู่รู้ดีว่าภยันตรายกำลังคืบคลานเข้ามาทีละก้าวๆ เผ่ามารแห่งสวรรค์ไท่หวง รูปสลักหินทั้งหลายในเขตแดนสันตินิรันดร์ ท้องฟ้าปลอม และเหนือฟ้าที่อยู่เหนือแผ่นดินตะวันตก…
แม้แต่ซากทัพแห่งยุคสมัยแสงฉานก็เป็นภัยคุกคามเช่นกัน!
เพียงแค่สันตินิรันดร์พลั้งเผลอสักนิดเดียว พวกเขาก็จะถูกทำลายล้างไปได้ในชั่วพริบตา!
สันตินิรันดร์–ยุคสมัยที่เพิ่งถือกำเนิด–ได้ผจญกับลมและฝนแล้ว ทุกอย่างพลิกผันและแตกทำลายลงไปได้ทุกขณะ
เป็นกรอบคิดจิตใจเช่นนี้ ที่ทำให้เขาสามารถเปล่งพลานุภาพของมุทราฟ้าและดินของบรรพชนแรก
ภายใต้พลานุภาพของวิชามุทรา ฉินมู่นั้นไม่เพียงแต่เป็นกำลังอันเสริมเสถียรภาพ แต่เขายังเป็นเสาหลักอันมั่นคงที่สามารถค้ำยันฟ้าดิน สิ่งที่เขาต้องการจะทำคือทำให้ภัยพิบัติอันมองไม่เห็นนั้นถึงแก่จุดจบ ไม่ปล่อยให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอยอีกครั้ง!
แม้ว่าเขาจะมีกรอบคิดจิตใจอันมืดมัว และหดหู่ แต่เขาไม่มีอารมณ์อันท้อแท้หมดกำลังใจเหมือนกับกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก ทั้งคู่ล้วนแต่เป็นมุทราฟ้าและดิน แต่ในมุทราของเขา มันมีจิตวิญญาณที่กำลังเหิมทะยานอย่างกล้าแข็งและยิ่งแข็งแกร่งมากขึ้นเมื่อเผชิญกับภัยพิบัติ!
นี่เป็นสิ่งที่แตกต่างจากกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก!
นี่ก็เป็นเหตุผลที่ว่า ทำไมกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกจึงตกตะลึงไปอย่างข่มไว้ไม่อยู่เมื่อหันกลับมาเห็นมุทราของฉินมู่
ฉินมู่ขับเคลื่อนกระบวนท่าแล้วกระบวนท่าเล่าของมุทราฟ้าและดิน วิชามุทราของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกแตกต่างจากมุทราทั้งหมดที่ฉินมู่เคยพบเห็น วิชามุทราของเขาต้องอาศัยสองมือมาผนึกเป็นมุทรา และกระบวนท่าใดๆ ก็ต้องอาศัยสองมือทั้งนั้น หนึ่งมุทราเป็นฟ้าและอีกหนึ่งมุทราเป็นดิน
มุทราฟ้ามีรอยประทับฝ่ามือของก้อนเมฆบนท้องฟ้า และลายนิ้วมือก็ประดุจดวงตะวันและจันทรา มิเช่นนั้นก็ดาวห้าธาตุ
ในอีกฟากหนึ่ง มุทราดินมีรอยประทับฝ่ามือของแม่น้ำและภูเขา และลายนิ้วมือก็ประดุจทะเลสาบและมหาสมุทร
เมื่อมุทราฟ้าสั่นสะเทือน เมฆก็แปรเปลี่ยน ดาวห้าธาตุ ดวงตะวัน ดวงจันทร์ ต่างก็เคลื่อนคล้าย และนิ้วทั้งห้าก็สำแดงเดชานุภาพของห้าธาตุหรือสุริยันจันทรา
ส่วนมุทราดินนั้น แม่น้ำโถมซัดไปข้างหน้า และภูเขาก็ผุดสูงละลิ่ว แต่ละรอยนิ้วมือก็เหมือนกับมหาสมุทรอันมีพลานุภาพไร้ประมาณ
ในที่สุดเมื่อฟ้าถล่มและดินทลาย พลานุภาพก็ยิ่งน่าตื่นตระหนก แผ่นดินไหว น้ำท่วม พายุหมุน และภูเขาไฟระเบิดก็ซ่อนอยู่ในมุทราดิน ขณะที่ดวงดาวเคลื่อนร่วงมาซัดถล่มใส่พื้นดินในมุทราฟ้า
ผลที่ตามมา วิชามุทราได้แปรเปลี่ยนเป็นมุทราแห่งการทำลายล้าง และพลานุภาพของมันก็เพิ่มพูนขึ้นไปหลายเท่าตัว แต่ทว่า นั่นคือสามท่วงท่าคว่ำฟ้าดิน ซึ่งไม่อาจใช้ออกมาโดยง่าย
ผ่านไปสักพัก ฉินมู่ก็รั้งพลังกลับมา และภาพเงาของปรากฏการณ์ฟ้าถล่มดินทลายรอบๆ ตัวเขาก็หายไป
“เจ้าเรียนมันสำเร็จแล้ว ทั้งยังใช้ได้ดีอีกด้วย”
บรรพชนแรกเผยรอยยิ้มปลื้มใจและกล่าว “ใช้สิ่งที่เราเรียน ข้ารอดูว่ามุทราของข้าจะถูกยกระดับไปสูงลิ่วแค่ไหนในมือของเจ้า”
ฉินมู่มีอารมณ์ความรู้สึกที่หดหู่ แต่กระนั้นก็มุ่งข้างหน้าเพื่อไปต่อ เขาถูกมุทราฟ้าและดินส่งผลกระทบและไม่อาจทลายฝ่าอารมณ์ความรู้สึกนั้นได้โดยทันที เขาต้องการเวลาสักพักเพื่อสลับจากผลกระทบของมุทราฟ้าและดิน
“เอ๋ วิชามุทรานี้ค่อนข้างแปลกอยู่!”
ฉินมู่มองไปรอบๆและเห็นว่าอุทยานหลวงยังคงอยู่ดี ไม่มีดอกไม้ใบหญ้าขาดหายไปเลยแม้แต่ใบเดียว พลานุภาพของมุทราฟ้าและดินที่เขาเพิ่งขับเคลื่อนไปเมื่อครู่ ยิ่งใหญ่ไพศาลอยู่ชัดๆ แม้แต่ท้องฟ้าและพื้นดินก็ยังต้องแหลกทำลาย!
เดิมทีเขาคิดว่าอุทยานหลวงของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงคงจะถูกฉีกทำลายโดยมุทราฟ้าและดินของเขา แต่ทว่า เขาไม่คาดคิดเลยว่าอุทยานหลวงจะยังคงไร้ริ้วรอย หรือว่าพลานุภาพอันน่าสะพรึงกลัวที่เขาสัมผัสเมื่อครู่จะเป็นเพียงภาพลวงตา
“จิตวิญญาณของมุทราฟ้าและดินนั้นเพื่อค้ำยันฟ้าและดินเอาไว้ไม่ให้พวกมันตกลงมา มันคือการค้ำยันชีวิตของผู้คน ดังนั้นแล้วเหตุใดมันจึงจะทำลายฟ้าและดินด้วยเล่า”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกล่าว “พลานุภาพของมุทรานี้จะตกต้องตัวศัตรูเท่านั้น มันจะไม่ทำลายสิ่งรอบข้าง”
ฉินมู่รู้สึกเวทนาเขาเล็กน้อย จึงกล่าว “บรรพชนแรก วิชามุทราของเจ้ายังไม่กร้าวแกร่งเพียงพอ ข้ารู้สึกถึงพลานุภาพอันท่วมท้นตอนที่ฝึกปรือ แต่มันกลับไม่สามารถทำอันตรายได้แม้แต่สวนผักของจักรพรรดิ”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกโมโหจนพูดไม่ออก และชี้หน้าหน้าเขาด้วยมือสั่นเทา ผ่านไปพักหนึ่ง เขาก็กล่าว “ข้าต่อสู้ทะลวงขึ้นไปถึงแปดร้อยชั้นในตึกแสงฉานสยบสวรรค์ในรวดเดียว เจ้ามองไม่เห็นพลังอำนาจของมุทราข้าหรืออย่างไร”
ฉินมู่ส่ายหัวไปตามซื่อ และเขากล่าวด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย “ตอนนั้นข้ากำลังเพ่งสมาธิศึกษาอักษรรูนบนวงแหวนเทวะเสกสรร และไม่ได้หันไปดูเจ้าสู้เลยสักนิด แต่อีกฟากหนึ่ง ผานกงสั่วได้จ้องการต่อสู้อยู่ตลอด และเขากล่าวว่าการที่เจ้าเอาชนะชื่อซีได้นั้นไม่ได้มีอะไรมากมาย ขั้นวรยุทธของเจ้าสูงล้ำกว่าเขาเยอะ ย่อมเป็นธรรมดาที่เจ้าจะเอาชนะเขาได้…”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกท้อแท้จนคอตกก้มหน้า “ที่ข้าต่อสู้มันไม่ใช่เขา แต่ต่อสู้กับตึกแสงฉานสยบสวรรค์ หากว่าข้าต้องการต่อสู้กับเขา เขาก็คงตายไปตั้งแต่กระบวนท่าแรกแล้ว ทำไมข้าถึงรู้สึกว่าข้าอุตส่าห์ต่อสู้ตะลุยแปดร้อยชั้นไปโดยเปล่าประโยชน์ล่ะเนี่ย…”
ฉินมู่รีบกล่าว “บรรพชนแรก ไม่ต้องผิดหวังไปหรอก แม้ว่าวิชามุทราของเจ้าจะด้อยกว่าวิชากระบี่ของข้า แต่มันก็ยังคงแข็งแกร่งขึ้นได้หากว่าข้าปรับปรุงเปลี่ยนแปลงไปอีกหน่อย ข้ารับรองว่าข้าจะสามารถทลายสวนผักของจักรพรรดิได้ และมันจะต้องน่าเกรงขามและเขื่องโขเป็นอย่างยิ่งแน่นอน!”
บรรพชนแรกเดินออกไปอย่างซึมกะทือ โบกมือให้กับเขา “อยากทำอะไรก็ทำเถอะ ข้า–”
สิ่งที่เขาอยากจะพูดถูกแทนด้วยเสียงถอนหายใจ เขารู้สึกจนปัญญาเป็นอย่างยิ่ง แม้ว่าหลังจากเดินห่างไปแล้ว เขาก็ยังคงไม่สบายใจเมื่อนึกคิดว่าฉินมู่จะเปลี่ยนแปลงวิชามุทราเขาให้เละตุ้มเป๊ะอย่างไร เมื่อเขาหันไปมองและเห็นว่าฉินมู่ยังคงศึกษาอักษรรูนเสกสรร เขาก็ระบายลมหายใจโล่งอก แต่ในขณะเดียวกัน เขาก็ยังคงรู้สึกผิดหวังอยู่เล็กน้อย
“เขาไม่ฝึกวิชามุทราของข้าต่อ หรือว่าวิชามุทราของข้ามันไม่สลักสำคัญขนาดนั้นเชียวหรือ”
ผ่านไปหลายวัน สภาราชสำนักก็เจรจาต่อรองกับชื่อซี และพวกเขาก็ลงนามในสัตยาบันพันธมิตร ชื่อซีได้ปฏิเสธบางรายการที่ฉินมู่จัดเอาไว้ แต่เขาก็ได้ตกลงรับรายการส่วนใหญ่ แต่ทว่า เขาได้ร้องขอให้จักรพรรดิเอี้ยนเฝิง ก่อตั้งสถาบันและโรงเรียนในเขตแดนสำหรับผู้รอดชีวิตจากยุคแสงฉาน สถาบันและโรงเรียนเหล่านี้จะสอนมรรคา วิชา และทักษะเทวะของสันตินิรันดร์ให้แก่ผู้รอดชีวิตเหล่านั้นทั้งหลาย
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงตกลง เขาขีดเส้นแบ่งดินแดนขนาดใหญ่ในชายแดนใต้ที่อยู่ใกล้กับแดนโบราณวินาศให้ อนุญาตผู้รอดชีวิตจากยุคแสงฉานไปตั้งรกรากที่นั่น
ชื่อซีตกลงที่จะมอบวงแหวนเทวะอันฉินมู่ได้กำชับไว้ว่าจะต้องเอามาให้ได้ไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม
ฉินมู่ลิงโลดสุดๆ เขารีบมุ่งหน้าไปยังทะเลใต้กับชื่อซี เพื่อไปเอาวงแหวนเทวะเสกสรรกลับมาที่เมืองหลวง ด้วยกลัวว่าเขาจะกลับคำพูด
ผานกงสั่วรู้สึกรวดร้าวใจเมื่อเห็นชื่อซีตอบตกลงกับเงื่อนไขมากกว่าครึ่งของฉินมู่ และยกสมบัติล้ำค่ามากมายของเมืองเทพยดาใต้ทะเลแก่จักรวรรดิสันตินิรันดร์ “อาจารย์ นี่คือการเป็นพันธมิตรกัน ไม่ใช่การสวามิภักดิ์ อาจารย์ได้ให้แก่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงมากมายเกินไปแล้ว! มีทั้งเทพศาสตราหลายหมื่นชิ้น! อย่าว่าแต่วงแหวนเทวะเสกสรร มันเป็นถึงสมบัติล้ำค่าในบรรดาสมบัติทั้งหลาย! ท่านจะมอบมันให้แก่สันตินิรันดร์ไปได้อย่างไร”
ชื่อซียิ้มหยันและกล่าว “จ้าวลัทธิฉินผู้นี้เป็นพวกบ้านนอกที่ไม่เคยเห็นโลกมาก่อน จักรพรรดิเองก็อยู่ในกะลาเช่นกัน! เจ้าเองก็ด้วย”
ผางกงสั่วฉงนฉงาย “ขออาจารย์โปรดไขกระจ่าง”
“สมบัติเทวะเหล่านั้นล้วนแต่ถูกหลอมสร้างในยุคสมัยแสงฉาน สภาสวรรค์ของพวกข้าร่ำรวยสักแค่ไหนในตอนนั้นล่ะ เพียงแค่เทพศาสตราไม่กี่แสนชิ้นนั้นไม่นับว่าเป็นขนหน้าแข้งสำหรับพวกข้า พวกมันเป็นเพียงแค่อาวุธสำรองที่อยู่ในคลังสมบัติคลังหนึ่งในวังสวรรค์อันมีอยู่มากมาย”
ชื่อซีกล่าวต่ออย่างไร้อารมณ์ “ส่วนวงแหวนเทวะเสกสรรนั้น นับว่าจริงอยู่ที่รัชสมัยเทวะแสงฉานของข้าได้ทุ่มเทหยาดเหงื่อแรงกายไปมากเพื่อหลอมสร้างมัน และอาจจะไม่สามารถหลอมสร้างขึ้นมาใหม่อีกอันโดยปราศจากแบบแปลน ทั้งช่างฝีมือที่เก่งกาจก็หาได้ยากที่นี่ วงแหวนเทวะนี้เป็นเพียงแค่กุญแจที่ใช้คลายผนึกผู้คนของข้า! บัดนี้เมื่อผู้คนของข้าถูกคลายผนึกแล้ว เก็บวงแหวนเทวะไว้ก็ไม่มีประโยชน์อีกต่อไป ในทางตรงข้าม พวกเราได้อาณาเขตปกครองอันกว้างใหญ่! การที่รัชสมัยเทวะแสงฉานมีที่หยัดยืนในแผ่นดินบรรพชนนั้นเป็นเรื่องสำคัญ จากนั้นพวกเราก็จะค่อยๆ ดูดซับและขยายดินแดนออกไป! หลังจากเรียนรู้มรรคา วิชา และทักษะเทวะใหม่ๆ สันตินิรันดร์จะมาป้องกันเทพเจ้าของรัชสมัยเทวะแสงฉานของข้าได้อย่างไร”
ผานกงสั่วดวงตาเป็นประกาย และเขาถูมือไปมาพลางกล่าวชื่นชม
ชื่อซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่อยืนบนความสูงที่แตกต่างออกไป สิ่งที่เจ้าเห็นย่อมจะแตกต่าง ศิษย์ข้า ระดับความสูงก่อนหน้านี้ที่เจ้ายืนอยู่ มันเพียงแค่ยอดของเล้าไก่เท่านั้น เจ้าอาจจะคิดว่าไส้เดือนบนดินเป็นของดี แต่สำหรับนกอินทรีบนฟากฟ้า ไส้เดือนเป็นเพียงแค่เศษขยะที่ใช้เลี้ยงไก่”
ผานกงสั่วโค้งคารวะ และเขากล่าวอย่างจริงใจ “คำสอนของอาจารย์ถูกต้องแล้ว น่าขำจริงๆ ที่ฉินมู่คิดว่าเขาได้เปรียบ!”
ชื่อซีแย้มยิ้ม “นั่นเพราะว่าขอบฟ้าวิสัยทัศน์ของเขาไม่สูงส่ง จึงมองเห็นไปได้ไม่ไกล แต่ทว่า จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเป็นจ้าวผู้ปกครองแห่งสันตินิรันดร์ และข้าก็ไม่คาดคิดเลยว่าเขาจะสายตาสั้น ข้าดูแคลนเขายิ่งนัก จักรพรรดิเช่นนี้ไม่คู่ควรที่จะปกครองแดนดิน ตามข้าไปพบจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง ข้าจะต้องไปเจอเขาเพื่อธุระบางอย่าง”
อาจารย์และศิษย์เดินเข้าไปในวังหลวงเพื่อขอเข้าเฝ้า และเอี้ยนจือกุยก็รีบเร่งออกมาเพื่อต้อนรับพวกเขา “ฝ่าบาทอยู่ในอุทยานหลวง กำลังสังเกตการณ์ใต้เท้าฉินทดสอบสมบัติวิเศษ โปรดตามข้ามา”
ชื่อซีตามเขาไปยังอุทยานหลวง จากที่ไกลๆ เขาสามารถมองเห็นวงแหวนเทวะเสกสรร ตั้งอยู่บนภูเขาจำลอง รอบๆ วงแหวนเหล่านั้นคือกำแพงสูงที่ป้องกันไม่ให้คนนอกเข้าไปได้
เมื่อพวกเขาไปถึง ก็มีเทพสามถึงห้าตนที่ดูเหมือนจะเป็นขุนนางบุ๋น พวกเขายืนอยู่รอบๆ วงแหวนเทวะเสกสรรกับจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง บรรพชนแรกก็อยู่ในนั้นด้วยเช่นกัน
ข้างๆ จักรพรรดินีได้พาหลิงอวี้จิว กับองค์ชายและองค์หญิงอื่นๆ มาด้วย นางมีนางกำนัลสิบกว่าคนคอยปรนนิบัติรับใช้
ที่ใจกลางวงแหวนเทวะ ฉินมู่นำเอากองอาวุธวิญญาณการคำนวณออกมาเพื่อก่อรูปเป็นเครื่องมือคำนวณขนาดยักษ์ เขาคิดคำนวณบางอย่างอยู่อย่างรวดเร็ว และไม่มีใครรู้ว่าเขากำลังวิเคราะห์อะไร
“ฝ่าบาท”
ชื่อซีก้าวไปข้างหน้าและทักทายเขา “ในเมื่อพวกเขาก่อตั้งพันธมิตรกันแล้ว ข้าก็จะต้องไปจากสันตินิรันดร์เพื่อไปพบกับโอรสเทพ แม้ว่าข้าจะได้ลงนามในสัตยาบันพันธมิตรกับฝ่าบาท แต่ข้ายังคงต้องไปรายงานโอรสเทพ ขอให้ฝ่าบาทโปรดส่งคณะทูตมุ่งหน้าไปยังโลกลอยเลื่อนแสงฉานเพื่อพบกับโอรสเทพจะได้หรือไม่”
“ได้ การส่งคณะทูตเป็นเรื่องที่จำเป็นอยู่แล้ว”
จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลังจากขุนนางฉินที่รัก ทดสอบวงแหวนเทวะเสกสรรเสร็จ ข้าก็จะส่งทูตไปจำนวนหนึ่งเพื่อติดตามสหายเต๋าชื่อซีไปยังโลกลอยเลื่อน สหายเต๋าชื่อซี กรุณารอสักครู่”
ชื่อซีรับคำ และเขายืนอยู่ข้างด้วยรอยยิ้ม เขามองไปอย่างเงียบๆ ยังฉินมู่ที่กำลังคิดคำนวณอยู่ในวงแหวน
ผานกงสั่วก็ยิ้มเช่นกัน เขานั้นสดชื่นเป็นอย่างยิ่งเมื่อคิดในใจ ข้าได้ยินว่าจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเป็นคนสับสนความคิดและบ้าอำนาจ อยากแต่จะเอาคนไปตัดหัวในทุกจังหวะเรื่องราว หากว่าจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงพบว่าวงแหวนเทวะที่เขาใช้สินทรัพย์มากมายไปแลกมานั้นไร้ประโยชน์ เขาก็จะต้องเอาไอ้หมอนี่ไปตัดหัวแน่นอน!
ในวงแหวนเทวะเสกสรร ฉินมู่คิดคำนวณอยู่พักหนึ่ง และในที่สุดเขาก็เก็บอาวุธวิญญาณการคำนวณของเขากลับไป เขาลุกขึ้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้ามีความมั่นใจเต็มสิบล่ะ!”
ชื่อซีกล่าวด้วยรอยยิ้ม “สหายน้อยฉิน หากว่าเจ้าอยากจะขับเคลื่อนวงแหวนเทพของยุคสมัยแสงฉานของพวกข้า เจ้าถามข้าก็ได้ ข้าสามารถสอนเจ้า”
ฉินมู่ส่ายหัว ขณะที่เขาพยายามจุดแสงที่อักษรรูนเริ่มต้นการทำงานบนวงแหวนเทวะ “เจ้าไม่รู้หรอก ถามเจ้าไปก็ไม่มีประโยชน์”
ชื่อซีไม่โกรธเลยแม้แต่น้อย เขายังแย้มยิ้มและกล่าว “อักษรรูนกระตุ้นการทำงานไม่ใช่อันนั้น สหายน้อยฉิน เจ้าคำนวณผิดแล้ว”
“มันถูกแล้ว!”
ฉินมู่ลอยอยู่ใจกลางวงแหวน และอักษรรูนบนวงแหวนเทวะเสกสรรก็จุดแสงขึ้นมาทีละอัน อักษรรูนเหล่านั้นแปรเปลี่ยนไปมาอย่างต่อเนื่องราวกับสายน้ำไหล ขณะที่วงแหวนใหญ่เข้าไปซ้อนทับกับวงแหวนเล็ก วงแหวนเทวะหมุนปั่นไป และมันดูแตกต่างจากที่ชื่อซีเคยขับเคลื่อนมาก่อน วงแหวนเทวะเหล่านี้หมุนวนไปในทิศทางย้อนกลับ!
เหวิ่ง เหวิ่ง เหวิ่ง!
ความเร็วการหมุนปั่นของวงแหวนเทวะเร็วขึ้นและเร็วขึ้น อักษรูนฉายแสงออกไปทั่วทิศทาง และเข้าไปต้องตัวกับทุกๆ คนในลานอันกว้างใหญ่รอบภูเขาจำลองนี้
ทันใดนั้น เสียงปึดก็ดังมา และชื่อซีรีบหันไปมอง เขาเห็นร่างกายของจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงและคนอื่นๆ แปรเปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว จักรพรรดิเอี้ยนเฝิง ผู้ซึ่งทรงฤทธานุภาพและเหนือธรรมดา ตอนนี้มีหัวปลางอกเงยขึ้นมาแทนหัวเดิม!
ส่วนเทพเจ้าอื่นๆ ข้างๆ จักรพรรดิเอี้ยนเฝิง บ้างก็มีศีรษะอันแปรเปลี่ยนเป็นยอดคาคบไม้ บ้างก็กลายเป็นหัวแมงกะพรุน แม้แต่จักรพรรดินีก็กลายเป็นสัตว์พิสดารทะเลตัวใหญ่!
ชื่อซีสะดุ้ง และเขารีบมองไปยังผานกงสั่ว ผานกงสั่วได้ดิ้นกระแด่วๆ อยู่กับพื้นแล้ว และเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นงูทะเลตัวใหญ่ที่บิดตัวไปมา!
ชื่อซีรีบแตะศีรษะของเขา และเขาก็ร้องออกมาด้วยความประหลาดใจ หัวทั้งสามของเขากลายเป็นหัวปลาสามหัว
ไม่เพียงแค่นั้น จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก็แปรเปลี่ยนไปเช่นกัน พลังวัตรทั้งหมดที่เขาฝึกปรือมาอย่างพากเพียรตลอดหลายหมื่นปีกลายเป็นไม่อาจใช้งานได้!
ชื่อซีว้าวุ่นเมื่อเขาเห็นขาของตนกลายเป็นหางปลา ท่ามกลางทุกๆ คนที่อยู่ที่นี่ นอกจากฉินมู่แล้ว ก็มีแต่บรรพชนแรกที่ไม่ถูกแทรกซึม แต่ทว่า กายเนื้อของเขาก็กำลังแปลงร่างไปมา เกล็ดปลาและเหงือกปลางอกเงยขึ้นมาจากร่างกายของเขาเป็นระยะ!
เห็นได้ชัดว่า แม้แต่กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็ไม่อาจป้องกันตนอย่างสมบูรณ์แบบจากพลานุภาพของวงแหวนเทวะเสกสรรนี้ได้!
นี่ไม่ใช่ทักษะเทวะที่สร้างความเสียหายบาดเจ็บแก่ผู้อื่น แต่ในทางกลับกัน มันมีพลานุภาพประหลาดพิสดารของการเสกสรร เพราะว่ากษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกได้เรียนวิชาเสกสรรมาก่อน เขาจึงสามารถป้องกันมันได้
“บัดซบ!”
ชื่อซีพลันตระหนักขึ้นมา “มิน่าล่ะ ฉินมู่ ไอ้เด็กเวรนี่ มันถึงจะต้องพยายามเอาวงแหวนเทวะมาให้จงได้! เมื่อไอ้เด็กเวรนี่ชมชอบมีดปริศนาประหารเทพของข้า ข้าก็น่าจะรู้แล้วว่า มันมีประสบการณ์ราวกับหัวขโมยเฒ่าช่ำชองวงการ!”