ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 673 กุศลสูงส่งกว่าสวรรค์
รูปร่างหน้าตาของราชครูสันตินิรันดร์ปรากฏในบันทึกเป็นตาย และข้างหลังเขาคือชื่อที่แท้จริง–สุสานแม่น้ำ เจียงป๋ายกุย
“ที่แท้ นี่ก็คือนามของราชครูสันตินิรันดร์!”
ฟู่เอี๋ยนชีประคองมือของเขาเอาไว้และสูดลมหายใจหนาวเหน็บ ทันใดนั้น เขาก็สังเวยโลหิตเทวะจำนวนหนึ่งด้วยมืออันสั่นเทา และเขียนชื่อของราชครูสันตินิรันดร์ลงไป
สุสานแม่น้ำ เจียงป๋ายกุย
เมื่อเขาเขียนถ้อยคำบรรทัดนี้ โลหิตเทวะก็ซึมเข้าไปในบันทึกเป็นตาย กลายเป็นรางเลือนทุกที จนกระทั่งหายวับไปในที่สุด
“บันทึกเป็นตายสามารถบันทึกความตาย และบัดนี้เมื่อความตายของเขาถูกบันทึกลงไป ดวงวิญญาณและชีวิตของเขาก็ติดเบ็ด!”
ฟู่เอี๋ยนชียิ้มหยันและกล่าว “เลือดที่เสียไปจากนิ้วทั้งสี่ของข้าไม่เสียเปล่า!”
ฉินมู่และคณะเร่งรุดเดินทางไป ในขณะเดียวกันนั้น โหลอวิ๋นชวีและขุยชิงเผยเฝ้ามองพวกเขา สายตาของพวกเขาตามคิดราชครูสันตินิรันดร์และเฝ้ารออย่างเงียบงัน
แม้ว่าเวลาจะผ่านไปนาน ราชครูสันตินิรันดร์ก็ยังคงเดินไปอย่างใจเย็น เขาคอยช่วยเหลือทุกๆ คนในการต่อต้านรับมือกับคลื่นทรงพลังที่ซัดเข้ามาขัดขวางเส้นทางของพวกเขา
“ทำไมชีวิตและดวงวิญญาณของเขายังไม่ถูกเกี่ยวกระชากออกไปอีก”
ฟู่เอี๋ยนชิงกัดฟันกรอด และเทโลหิตเทวะลงไปอีก เขากำลังจะเขียนชื่อของราชครูสันตินิรันดร์ลงไป แต่โหลอวิ๋นชวีก็รีบหยุดเขาเอาไว้ “ศิษย์น้องฟู่ คนผู้นี้มีฝีมือความสามารถไม่ธรรมดา และเวทมนตร์แดนบาดาลไม่ใช่เรื่องลี้ลับสำหรับเขา ยิ่งเจ้าหยั่งเชิงเขามากเท่าไร เขาก็จะยิ่งเข้าใจเวทมนตร์แดนบาดาลของพวกเรามากขึ้นเท่านั้น ตอนนี้เขามีบันทึกเป็นตายอยู่ในมือ เจ้าไม่อาจใช้บันทึกเป็นตายจัดการเขาได้อีกต่อไป”
ฟู่เอี๋ยนชีคำรามในคอ “เลือดของข้าหลั่งไปโดยไร้ค่าอย่างนั้นหรือ”
ขุยชิงเผยขมวดคิ้ว “ในใต้หล้านี้ เวทมนตร์แดนบาดาลของพวกเราลึกลับเป็นที่สุด แล้วเขาทำลายมันได้อย่างไร แม้ว่าราชครูสันตินิรันดร์จะเป็นผู้นำการปฏิรูปสันตินิรันดร์ เขาก็ไม่น่าจะมีพรสวรรค์อันท้าทายสวรรค์ด้วยอายุเยาว์ขนาดนี้!”
โหลอวิ๋นชวีกล่าวพลางถอนหายใจ “บางทีนี่อาจจะเป็นผลของสถานที่ตั้งสภาสวรรค์จอมปลอม สภาสวรรค์ในอดีตทั้งหลายล้วนแต่ถือกำเนิดมาจากสถานที่แห่งนั้น และก็แน่นอนว่าสถานที่แห่งนั้นจะต้องมีความพิเศษบางประการ ข้าได้ยินมาจากโลกมิติอันแตกต่างทั้งหลาย และมีก็แต่ดินแดนบรรพชนแห่งนี้ที่จะมีอัจฉริยะศักดิ์สิทธิ์อันปรากฏทุกๆ ห้าร้อยปี โลกสวรรค์แห่งอื่นๆ ไม่มีคำร่ำลือแบบนี้ บางทีราชครูสันตินิรันดร์จะเป็นการควบแน่นกันของโชคชะตา”
ฟู่เอี๋ยนชีใช้วรยุทธของเขาเพื่อปิดผนึกบาดแผลหยุดยั้งการไหลของโลหิต เขาขมวดคิ้วและกล่าว “เขาตัดนิ้วข้าแค่สี่นิ้ว แต่กลับไม่สังหารข้าให้กลับชาติไปเกิดใหม่ น่าแค้นใจจริงๆ หากว่าเขาสังหารข้าไปเลยยังจะดีเสียกว่า แต่นี่ตัดนิ้วข้าเพียงสี่! ข้าจะไปฆ่าเขา ถ้าถูกเขาสังหาร อย่างมากก็จะกลับไปที่แดนบาดาล!”
โหลอวิ๋นชวีส่งสายตาตามฉินมู่และคณะที่เดินทางห่างออกไป เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าจะร้อนรนทำไม ปล่อยให้พวกเขาไปก็ไม่เป็นไร เป้าหมายการเดินทางครั้งนี้ของพวกเรา นั้นคือการบูชายัญสวรรค์ไท่หวง บีบเผ่ามารให้เข้าไปยังสันตินนิรันดร์ บังคับให้พวกเขาออกไปเข่นฆ่าสังหาร ยิ่งผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์ และเทพมารทั้งหลายตกตายไปมากเท่าไร ก็จะยิ่งปลุกรูปสลักหินของสันตินิรันดร์ได้เร็วขึ้นเท่านั้น เพื่อจะได้ทำลายล้างโลก นี่ไม่ใช่ว่าเดี๋ยวก็บรรลุเป้าหมายแล้วหรอกหรือ”
ขุยชิงเผยกล่าว “เป้าหมายที่สองของพวกเราคือบันทึกความสำเร็จการปฏิรูปสันตินิรันดร์ เพื่อนำกลับไปมอบให้แก่อาจารย์ แต่ความสำเร็จของการปฏิรูปสันตินิรันดร์นั้น รวบรวมอยู่ในตัวของราชครูสันตินิรันดร์ ดังนั้นวิธีการที่สะดวกดายที่สุด ก็คือจับตัวราชครูสันตินิรันดร์”
โหลอวิ๋นชวีกล่าว “เป้าหมายที่สาม อาจารย์ต้องได้พบกับโอรสศักดิ์สิทธิ์ใต้พิภพ”
เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าคิดว่าเรื่องทั้งสามนี้ ก็สามารถทำให้สำเร็จได้ทั้งหมด พวกเขามุ่งต่อไปข้างหน้า เมื่อไปถึงสวรรค์ไท่หมิง เดี๋ยวก็จะได้รู้ว่า ไม่ว่าทักษะเทวะของพวกเขาจะเพริศแพร้วพิสดารมากแค่ไหน ทั้งหมดก็ล้วนอยู่ในกำมือของพวกเรา ศิษย์น้องฟู่ใจเย็นๆ พวกเราค่อยไปรอพวกเขาอย่างไม่ต้องรีบร้อน”
เทพแดนบาดาลทั้งสามยืนอยู่ในอากาศ และไม่ไล่ล่าตามไป
ผู้คนนับหมื่นถูกย่างด้วยความร้อนจนผิวหนังของพวกเขาซูบติดกระดูก แม้แต่ยายเฒ่าซีผู้เฉิดฉายก็ยังดูซูบเซียวผอมแห้ง ขณะที่ทุกๆ คน รวมทั้งเทพเจ้าทั้งหลายกำลังจะทนทานไม่ได้อีกต่อไป อาการบาดเจ็บของบรรพชนแรกก็ทุเลาลงในที่สุด นี่ก็เพราะว่าการพยาบาลเป็นอย่างดีของฉินมู่และนักปรุงยา ทำให้วรยุทธของเขาฟื้นฟูขึ้นมาเล็กน้อย
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกใช้ทักษะเทวะเสกสรรของเขาเพื่อสร้างน้ำสะอาดให้กับทุกๆ คน ชุบชูชีวิตพวกเขากลับมาอีกครา
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกสามารถเดินได้ด้วยตนเองในที่สุด ไม่จำเป็นต้องให้เทพเที่ยงแท้ผางอวี้แบกเขาอีกต่อไป เมื่อเขามองไปยังทุกๆ คนที่กำลังดื่มน้ำ องค์ชายแห่งรัชสมัยเก่าก่อนก็รู้สึกหดหู่เล็กน้อย
ได้เห็นเทพครองดาวเจ็ดสังหาร เขาก็ยิ่งซึมเศร้ามากขึ้น
เว่ยเหลียวจดจำเขาได้และกล่าว “เมื่อข้ารับตำแหน่งในรัชสมัย ข้าเคยพบกับองค์ชาย เมื่อข้ายังมีชีวิตอยู่ ข้าได้พบกับผู้ที่อ้างว่าตนเป็นจ้าวลัทธินักบุญสวรรค์จากแดนต่ำใต้ เขาดูเหมือนกับชายหนุ่มอ่อนโยนแต่จริงๆ เถื่อนดุเป็นอย่างยิ่ง จากปากคำของเขา ข้าได้ยินพฤติการณ์ขององค์ชาย และรู้ว่าองค์ชายได้นำพาเผ่าพันธุ์ทั้งหมดออกจากแดนนรกและสร้างหนทางรอดชีวิตให้แก่พวกเขาท่ามกลางภยันตราย”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกกล่าวอย่างหดหู่ “ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งได้ถูกกวาดล้างไปแล้ว ไม่มีองค์ชายที่ไหนอีกต่อไป ข้าเป็นเพียงแค่คนหนีทัพ และจักรพรรดิก่อตั้งก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกัน แม่ทัพเที่ยงธรรมยิ่งนัก อย่าได้เอ่ยถึงอดีตอีกต่อไปเลย”
เว่ยเหลียวอึ้งไป และพลันกล่าวด้วยรอยยิ้ม “องค์ชาย ท่านรู้สึกอย่างไรกับการที่กษัตริย์มนุษย์ฉินได้นำพาผู้ฝึกวิชาเทวะนับหมื่นคนเพื่อเสาะหาหนทางรอด เรื่องนี้นับว่าเป็นวีรกรรมอันองอาจหรือไม่”
ความหดหู่ของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกปลาสนาการไป และเขาหันไปมองยังฉินมู่ “เขาดีเยี่ยม เป็นเด็กดี ข้าไม่เคยเห็นใครที่สามารถมองโลกในแง่บวกท่ามกลางสถานการณ์อันทารุณได้ขนาดนี้ ยิ่งไปกว่านั้น เขายังมีปัญญาญาณอันยิ่งใหญ่ ความกล้าหาญอันยิ่งใหญ่ และบุกทะลวงไปข้างหน้าอยู่เสมอเมื่อต้องเผชิญกับอุปสรรค มีเทพเจ้ามากมายอยู่รอบตัวเขา แต่ผู้ที่สามารถนำพาเทพเจ้าทั้งหลายให้พ้นจากสภาวะสิ้นหวังนี้ได้ก็คือเขา และมีแต่เขาเท่านั้น!”
เว่ยเหลียวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “แต่บุคคลที่เขาเรียนรู้เป็นเยี่ยงอย่างก็คือท่าน!”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกตกตะลึง จากนั้นก็ส่ายศีรษะ “อย่าพูดเหลวไหลเลย ข้าเป็นเพียงแค่คนหนีทัพ ฮี่ๆ การศึกที่วังหยกสว่าง ข้าหลบหนี…”
“แต่ทว่าสถานการณ์ที่ท่านเผชิญในตอนนั้น ย่ำแย่กว่าสถานการณ์นี้นับร้อยเท่า!”
เว่ยเหลียวกล่าว “กษัตริย์มนุษย์ฉินได้นำทางทุกๆ คนข้ามผ่านสวรรค์ไท่หวงเพื่อเสาะหาหนทางรอด แม้ว่าเงื่อนไขสภาวะของสวรรค์ไท่หวงจะร้ายกาจทารุณ แต่ก็ยังด้อยกว่าตอนที่ยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งถึงจุดจบ บุคคลที่เขาเอาเยี่ยงอย่างตามนั้นคือท่าน และก็เป็นท่านที่ได้นำพาคนชราป่วย อ่อนแอ และพิการทั้งหลายในยุคสมัยอันน่าสะพรึงกลัว เพื่อข้ามภูเขาและทะเลแห่งซากศพ ท่านได้หลีกเลี่ยงภยันตรายนับไม่ถ้วน แต่แม้แต่สู้สุดชีวิตเพื่อเปิดเส้นทางรอดให้กับพวกเขา เพื่อเสาะหาสันตินิรันดร์”
บรรพชนแรกอึ้งไป
เว่ยเหลียวยังคงกล่าวต่อ “หากว่าไม่ใช่เพราะท่าน มันก็คงจะไม่มีสันตินิรันดร์ในวันนี้ มันก็คงจะไม่มีการปฏิรูปในภายหลัง และก็คงไม่มีชนรุ่นเยาว์มากมายที่เปล่งประกายความสามารถ องค์ชาย แม้แต่คนที่ชั่วร้ายที่สุดในสันตินิรันดร์ก็ยังคงเคารพเลื่อมใสท่านและเรียกท่านว่าบรรพชน แม้แต่ผู้มีอิทธิพลอำนาจสูงที่สุดในสันตินิรันดร์ก็ยังคงเป็นคนของท่าน และพวกเขาก็ยกย่องท่านเป็นกษัตริย์แห่งมวลมนุษย์ ท่านเพียงแต่รู้ตัวเองว่าเป็นคนหนีทัพ แต่ท่านไม่เคยคิดเลยหรือว่ากุศลของท่านนั้นเป็นอย่างไร ระหว่างวันเวลาที่ผ่านมานี้ ข้าสังเกตเห็นกษัตริย์มนุษย์ฉินเรียกท่านว่าบรรพชนแรก แม้แต่ราชครูสันตินิรันดร์ก็เคารพนับถือท่าน ท่านน่าจะรู้ดีว่าท่านเป็นที่เคารพสูงส่งเพียงไหนในหัวใจของพวกเขา”
โครงกระดูกมหึมากล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเขาได้ถือท่านเหมือนกับญาติสนิท แม้แต่กษัตริย์มนุษย์ฉิน ผู้นำพาผู้ฝึกวิชาเทวะนับหมื่นหนีออกจากสวรรค์ไท่หวง ก็ยังคงเอาเยี่ยงอย่างท่าน!”
“พวกเขามักจะหารือกันถึงการปฏิรูปแห่งสันตินิรันดร์ แต่หากว่าปราศจากท่าน ไหนเลยจะมีจักรวรรดิสันตินิรันดร์ หรือแม้แต่การปฏิรูปสันตินิรันดร์”
“องค์ชายท่านมีรากเหง้าอยู่ในยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง แต่ท่านเป็นผู้ที่เปิดยุคสมัยสันตินิรันดร์!”
“ท่านมองเห็นแต่รอยด่างพร้อยในชีวิตของท่าน แต่ได้หลงลืมกล้าอ่อนที่ท่านทิ้งเอาไว้ พวกเขาได้เติบโตเป็นแมกไม้อันสูงใหญ่และป่าไพรอันเขียวขจีไปแล้ว องค์ชาย โปรดมองไปข้างหน้าเถิด”
“รอยด่างพร้อยของท่านนั้นน้อยนิดเหลือเกิน แต่กุศลของท่านสูงส่งกว่าสวรรค์!”
เว่ยเหลียวกล่าวด้วยรอยยิ้ม “พวกเรา สหายเฒ่าที่ได้ตายลงไป ได้มองดูท่านจากเบื้องบน สหายทั้งหลายจากวังหยกสว่างก็กำลังมองดูท่านจากเบื้องบน พวกเขาหวังแต่ให้ท่านเดินออกมาได้สำเร็จ และไม่จมจ่อมอยู่อย่างนี้”
น้ำตาพลันไหลลงอาบแก้มของกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก
ในเวลาเดียวกันนั้น หน้าผาขาดก็ปรากฏตรงหน้าพวกเขา และมันเต็มไปด้วยมิติอวกาศอันแตกหัก ฉินมู่และราชครูสันตินิรันดร์มองไปข้างหน้า และเห็นชิ้นส่วนแตกหักของอวกาศมากมาย ชิ้นส่วนพวกนั้นกระจุกรวมตัวกัน และประกอบขึ้นมาเป็นแสงรุ้งหลากสี
ชิ้นส่วนบางชิ้นก็บริสุทธิ์ไร้มลทิน ราวกับฟ้าครามที่ไหลลอยไปอย่างเงียบเชียบ ชิ้นส่วนแตกหักอื่นๆ ก็เหมือนกับทะเลสีไพลิน ขณะที่บางชิ้นก็คือเปลวไฟ แผ่นดิน และขุนเขา
แต่ทว่าชิ้นส่วนพวกนี้ไม่มีความหนา ดังนั้นหากว่าใครตกลงไป พวกเขาก็คงจะไม่สามารถสัมผัสอะไร และก็มีแต่จะถูกตัดออกเป็นชิ้นๆ
ฉินมู่มองไปรอบๆ พบว่าความยาวของหน้าผาขาดนี้น่าตื่นตระหนก พวกเขามองไม่เห็นจุดสิ้นสุด และก็ไม่เห็นว่ามีอะไรอยู่อีกฝั่งหนึ่ง มีชิ้นส่วนมิติอวกาศแตกหักมากมายเกินไปที่บดบังทัศนวิสัยเอาไว้
ลาวาจากทะเลลาวาได้ขาดหายไปหลังจากไหลมายังบริเวณนี้ และเขาก็ไม่รู้ว่าหินหลอมเหลวพวกนั้นไหลไปที่ไหน
“นี่น่าจะเป็นรูมหึมาที่เกิดขึ้นเมื่อซากโบราณขนาดมหึมาร่วงตกลงจากปราสาทสวรรค์”
ฉินมู่ให้กิเลนมังกรหยุดยานเข็มทิศและกล่าว “หากว่าพวกเรามุ่งหน้าไปยังแดนโบราณวินาศจากที่นี้ ข้าไม่รู้เส้นทาง แต่ทว่าหากพวกเราไปแดนโบราณวินาศจากสวรรค์ไท่หมิง ข้าก็ยังคงรู้เส้นทาง”
“ประเด็นสำคัญคือ พวกเราจะไปยังสวรรค์ไท่หมิงจากที่นี่ได้อย่างไร!” ยายเฒ่าซีก้าวออกมาและกล่าวด้วยเสียงนุ่มนวล
หลังจากฟื้นฟูความชื้นในร่าง นางก็กลับมาสวยหยาดเยิ้มอีกครั้ง
ราชครูสันตินิรันดร์มองนางแวบหนึ่งก็ต้องรีบรั้งสายตากลับมาพลางคิดในใจ ข้าแต่งงานแล้ว ข้าไม่อาจมีจิตคิดเป็นอื่น
เฒ่าเป๋วิ่งขนานไปตามหน้าผาขาดด้วยความเร็วอันเหลือเชื่อ และผ่านไปครู่หนึ่ง เขาก็รีบรุดกลับมาพร้อมกับหอบลมที่พัดมาปะทะหน้าทุกคน เขารีบกล่าว “มันมีสะพานอยู่ตรงนั้น เหมือนกับสะพานที่เชื่อมไปยังฝั่งตรงข้าม!”
ข่าวนี้ทำให้ทุกคนประหลาดใจ มันมีสะพานในสถานที่เช่นนี้ได้อย่างไร
พวกเขารีบรุดไปยังตำแหน่งที่เฒ่าเป๋ค้นพบ และที่นั่นก็มีสะพานอันนไปยังอีกฝั่งอยู่จริงๆ ใบหลิวสีเขียวหยกสิบกว่าใบมาถักทอเข้าด้วยกันเป็นสะพาน แต่ทว่ากิ่งหลิวนั้นหนาใหญ่เท่ามังกร มันจะต้องมีใครที่เสกกิ่งหลิวให้แข็งแกร่งและทนทานขนาดนี้เป็นแน่!
กิ่งหลิวไขว้ประสานกันไปมา จนไปถึงอีกฝั่งหนึ่ง แต่ทว่ากิ่งหลิวที่ฝั่งของพวกเขาฝังรากอยู่ในหินหลอมเหลวและดูดซับสารอาหารจากในนั้น!
ฉินมู่ถามด้วยเสียงเบา “ผู้บัญชาการแคว้นเว่ยเหลียว สะพานนี้พวกเจ้าเป็นคนสร้างเอาไว้หรือ”
เว่ยเหลียวมองไปที่สะพาน ก็ตะลึงงันเช่นกัน เขาส่ายศีรษะและกล่าว “ข้าตายแต่เนิ่นๆ และไม่รู้เกี่ยวกับสะพานที่นี่”
ฉินมู่มองไปที่เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ ซึ่งก็ส่ายศีรษะเช่นกัน “พวกเราต่อสู้กับเผ่ามารมาตลอดสองหมื่นปี และไม่เคยมีสะพานอยู่ที่นี่ พวกเราไม่มีวิธีการใช้กิ่งหลิวสร้างสะพานด้วยซ้ำ”
สะพานกิ่งหลิวสามารถเชื่อมสองโลกมิติเข้าด้วยกัน และน่าแปลกมากที่สะพานนี้สามารถหลบหลีกชิ้นส่วนแตกหักของมิติอวกาศได้ทั้งหมด สะพานนี้ไม่ตรงไปตรงมา ในทางกลับกัน มันคดเคี้ยวและอ้อมชิ้นส่วนแตกหักของอวกาศตรงหน้าหน้าผาขาดไป สร้างเส้นทางรอดชีวิตให้
“พีชคณิตลึกล้ำจริงๆ…”
เจ้าสำนักเต๋าหลินเสียนและนักพรตเฒ่าแห่งสำนักเต๋าทั้งหลายตกตะลึง เมื่อพวกเขามองไปที่โค้งบิดทั้งหลายในสะพาน นักพรตเฒ่าคนหนึ่งท่วมท้นไปด้วยความตะลึงลาน และเขาก็พึมพำออกมา “ความสำเร็จเชิงพีชคณิตของเขาลึกล้ำเหลือเกิน มีก็แต่แบบนี้ถึงจะสามารหลบหลีกชิ้นส่วนอวกาศอันวุ่นวาย สะเปะสะปะ และซับซ้อนทั้งหลายได้โดยง่าย ใครสร้างสะพานนี้กัน ใครกันที่มีความสำเร็จเชิงพีชคณิตอันลึกล้ำขนาดนี้”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก้าวออกไปตรวจตราและกล่าว “นี่มาจากครูบาสวรรค์ เขาได้ล่วงหน้ามาที่นี่และคิดคำนวณเส้นทางรอดชีวิต จากนั้นเขาก็สร้างสะพานด้วยกิ่งหลิว ที่ปลายสุดสะพานนี้ น่าจะเป็นสวรรค์ไท่หมิง!”
ฉินมู่กล่าวด้วยความตื่นเต้น “ครูบาศักดิ์สิทธิ์นั้นเป็นอาจารย์ของบรรพจารย์ก่อตั้งลัทธินักบุญสวรรค์ของพวกข้า หากว่าพวกเจ้าต้องการเรียนพีชคณิต ก็มาที่ลัทธินักบุญสวรรค์หรือสถาบันนักบุญสวรรค์ได้!”
เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนสีหน้ามืดดำ และเขาก็พูดไม่ออกไปด้วยความแค้นใจ หลวงจีนเฒ่าจิ่งหมิงที่อยู่ข้างๆ ยิ้มน้อยๆ และคิดในใจ ตอนนี้เจ้าก็คงรู้แล้วสินะว่า จ้าวลัทธิฉินไม่ใช่ง่ายๆ เลย
เจ้าสำนักเต๋าหลินเสวียนขบคิดอยู่พักหนึ่งและกล่าวกับนักพรตเฒ่าข้างๆ “หลังจากกลับไป พวกเราควรไปหารือกับจักรพรรดิเพื่อเปิดสถาบันสำนักเต๋าบ้างดีไหม”
ฉินมู่ส่งคนไปดูลาดเลาสะพานก่อน และหลังจากนั้นนานอยู่ คนผู้นั้นก็กลับมาจากอีกฟากและกล่าว “เส้นทางปลอดภัย อีกฟากหนึ่งเป็นโลกที่เงียบสงัดและตายร้าง”
“นั่นคือสวรรค์ไท่หมิง!”
ฉินมู่คึกคักใจขึ้นมา และเขารีบสั่งให้ทุกคนเดินทางข้ามสะพานไปอย่างเป็นระเบียบ
“ผู้บัญชาการแคว้นเว่ยเหลียว โชคดีเหลือเกินที่มีเจ้าคอยอารักขามาตลอดเส้นทาง ไม่ทราบว่าผู้บัญชาการแคว้นจะติดตามพวกเราไปยังแดนโบราณวินาศหรือไม่”
ฉินมู่กล่าวแก่เว่ยเหลียวต่อ “ในแดนโบราณวินาศมียมโลกอยู่ และข้าเคยสัญญาไว้ว่าจะให้ตำแหน่งแห่งที่แก่พวกเจ้าในยมโลก ตอนนี้ก็ได้เวลาที่ข้าจะทำตามสัญญา”
เว่ยเหลียวหันกลับไปและเห็นสวรรค์ไท่หวงที่พังภินท์ ผ่านไปยาวนาน เขาก็สลัดศีรษะและตะโกนไปด้วยเสียงอันดัง “พี่น้องทั้งหลายที่ตายไป ติดตามข้าไปยมโลก!”
ผู้ใหญ่บ้านมองไปที่โครงกระดูกเทพเจ้านับพัน และเขาอดไม่ได้ที่จะถอนหายใจ ฉินมู่ฉงนฉงายและถาม “ทำไมผู้ใหญ่บ้านถึงถอนหายใจ”
“ข้ากำลังคิดถึงนักพรตหลิงจิ่งที่ยังคงพายเรืออยู่ในยมโลก”
ผู้ใหญ่บ้านถอดถอนใจอีก “ตอนนี้ก็จะมีเทพเจ้าในยมโลกเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งพัน นักพรตหลิงจิ่งคงยังซื้อบ้านไม่ได้หากว่าเขายังคงพายเรือหาเลี้ยงชีพ ราคาของที่ดินและสิ่งปลูกสร้างที่นั้นคงจะพุ่งกระฉูด…”