ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 700 ราชาสวรรค์แดนบาดาลและโอรสหยินสวรรค์
- Home
- ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods
- ตอนที่ 700 ราชาสวรรค์แดนบาดาลและโอรสหยินสวรรค์
สามบุรุษและหนึ่งกิเลนมังกรนั่งอยู่บนเรือ อันชักใบแล่นไปในความมืดไร้สิ้นสุด
“พี่ใหญ่เถียนมีตำแหน่งเป็นราชาสวรรค์เชียวหรือ” กิเลนมังกรถามด้วยความอยากรู้
เถียนฉู่แค่นเสียงเฮอะ และมองไปรอบๆ โดยไม่ปริปาก
ฉีเจี่ยวอี๋สร่างเมาโดยสมบูรณ์และนั่งอยู่ระหว่างกิเลนมังกรและเถียนฉู่ด้วยความกระวนกระวาย เขานั้นว้าวุ่นราวกับเจ้าสาวน้อยที่เพิ่งถูกส่งเข้าห้องหอ “มีไม่กี่คนที่รู้ศักดิ์ฐานะผู้ช่วยเสนาบดีซ้ายแห่งรัชสมัยเทวะจักรพรรดิก่อตั้ง แต่ว่ามีหลายคนที่รู้จักศักดิ์ฐานะราชาสวรรค์แดนบาดาล”
ฉินมู่สนอกสนใจขึ้นมาและถาม “ที่มาของราชาสวรรค์แดนบาดาลเป็นอย่างไร หรือว่าจะเกี่ยวข้องกับจักรพรรดิดำแดนบาดาล”
ฉีเจี่ยวอี่สีหน้าแปรเปลี่ยนวูบไหว และเขาปรายตามองไปยังเถียนฉู่ที่ตัวสั่นระริกอยู่มุมหนึ่งของเรือ เถียนฉู่ยิ่งกระวนกระวายยิ่งกว่าเขา ทำให้เขารู้สึกโล่งใจขึ้นมาแทน “ครั้งหนึ่งข้าเคยได้ยินจักรพรรดิแดงพูดถึงศักดิ์ฐานะราชาสวรรค์แดนบาดาล ในเมื่อครั้งนั้น จักรพรรดิแดงบอกให้ข้าไปเรียนเวทมนตร์ที่แดนบาดาล นางบอกเล่าข้ามากมายถึงข้อห้ามถือสาในแดนบาดาล และนามราชาสวรรค์แดนบาดาลเป็นชื่อที่ห้ามเอ่ยถึงเป็นอันขาด”
ฉินมู่ปรายตามองไปยังเถียนฉู่และตื่นตระหนก “ทำไมเป็นเช่นนั้น”
“จักรพรรดิดำมีความแค้นกับราชาสวรรค์แดนบาดาล”
ฉีเจี่ยวอี๋สงบใจลงและกล่าว “ภูติบดีถึงกับแต่งตั้งเขาให้มีศักดิ์ฐานะราชาสวรรค์แดนบาดาล ข้าได้ยินจักรพรรดิแดงกล่าวถึงมาก่อนว่าพี่ใหญ่เถียนมีความสำเร็จอันล้ำเลิศในศาสตร์แห่งดวงวิญญาณ เขาสามารถเข้าและออกแดนใต้พิภพได้ตามใจและมีชื่อเสียงค่อนข้างมาก ดังนั้น ภูติบดีจึงชื่นชมนับถือเขา และแต่งตั้งตำแหน่งราชาสวรรค์แดนบาดาลให้แก่เขา จักรพรรดิแดงกล่าวว่า จริงๆ แล้ว ภูติบดีมีเจตนาร้าย เจตนาแฝงเร้นของเขานั้นก็เพื่อยุยงความบาดหมางระหว่างราชาสวรรค์แดนบาดาลและจักรพรรดิดำ เพื่อให้ทั้งคู่ต่อสู้กัน”
ผู้เฒ่านำทางความตายกล่าว “อย่าคิดต่ำช้าเช่นนั้นกับภูติบดี ภูติบดีรู้สึกว่าเขาบรรลุถึงก้นบึ้งของทักษะเทวะใต้พิภพเหมือนกับจักรพรรดิ และรู้สึกว่าในอนาคตเขาก็ไม่อ่อนแอไปกว่าจักรพรรดิดำเป็นแน่ แน่ล่ะ ก็มีเจตนาแฝงอยู่เล็กน้อยที่จะเพาะความบาดหมาง”
ฉีเจี่ยวอี๋กล่าว “หลังจากนั้น ผู้สืบทอดของจักรพรรดิดำก็ไปหาเรื่องตอแยราชาสวรรค์แดนบาดาลหลายต่อหลายครั้ง และพี่ใหญ่เถียนก็สังหารศิษย์ของเขาไปหลายคน”
เถียนฉู่อดไม่ได้ที่จะเผยสีหน้ากระหยิ่มใจและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเป็นราชาสวรรค์ที่อยู่ในระดับเดียวกับจักรพรรดิดำ ข้าจะอ่อนแอกว่าศิษย์ของเขาได้อย่างไร”
ฉินมู่มีสีหน้าพิลึกประหลาดขณะที่มองเถียนฉู่ขึ้นๆ ลงๆ เขามองไม่ออกเลยสักนิดว่าเจ้าขี้เมาที่รักสุรายิ่งกว่าชีวิตผู้นี้ จะโด่งดังขนาดที่ว่ามีกิตติศัพท์ชื่อเสียงเทียบเท่าโอรสหยินสวรรค์
“เขาฆ่าศิษย์ของจักรพรรดิดำจนหมด และแม้แต่ศิษย์คนโตของเขาก็ตายในน้ำมือของราชาสวรรค์แดนบาดาล ดังนั้นจักรพรรดิดำจึงไปหาเขาด้วยตนเอง”
ฉีเจี่ยวอี๋ลังเลและกล่าว “จักรพรรดิแดงกล่าวว่า แม้พี่ใหญ่เถียนจะพ่ายแพ้ แต่จักรพรรดิดำก็สังหารเขาไม่ได้ และปล่อยให้เขาหลุดมือหลบหนีไปได้แทน”
เถียนฉู่ใบหน้าเกลื่อนยิ้มและหัวเราะเบาๆ “ต่อให้ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้เขา ข้าก็ยังเป็นราชาสวรรค์อยู่ดี ถึงอย่างไรก็ไม่ง่ายนักหรอกหากว่าเขาคิดจะสังหารข้า”
“และหลังจากนั้น พี่ใหญ่เถียนก็แตกหักกับภูติบดี” ฉินมู่กล่าวต่อให้
เถียนฉู่สีหน้าซีดเผือดทันที และทรุดลงไปบนเรือน้อย เขากล่าวด้วยน้ำตานองหน้า “ข้าจะทำอะไรได้ จักรพรรดิก่อตั้งส่งดาบเทวะประตูจักรพรรดิให้ข้า และต้องการใช้ข้าสับเขาของภูติบดี ข้าจะกล้าทำได้อย่างไร ดังนั้นจักรพรรดิก่อตั้งจึงมอบสุราดีให้แก่ข้ามากมาย และสุราเหล่านั้นก็เลิศรสเป็นอย่างยิ่ง หลังจากข้าเมามาย แม้แต่จักรพรรดิก่อตั้งข้าก็กล้าลุกขึ้นไปสับ ประสาอะไรกับภูติบดี! ดังนั้น ข้าจึงแบกดาบและเข้าไปในแดนใต้พิภพอย่างบุ่มบ่าม ข้าสร่างเมาเอาก็ตอนที่ภูติบดีจับตัวข้าในกำมือ…”
ฉินมู่มองไปที่เขาด้วยสีหน้าประหลาด
เถียนฉู่ดูขี้ขลาดเป็นอย่างยิ่ง และเขาก็ยังชอบดื่มสุราอีก ปกติแล้วเขาขลาดกลัวแต่เมื่อเขาเมา ก็กลายเป็นบ้าบิ่น
ก่อนจะดื่ม เขาเหมือนกับหนูนา แต่หลังจากดื่ม กลับดุร้ายราวเสือโคร่ง นี่บรรยายเขาได้ชัดเจนมาก
ผู้เฒ่านำทางความตายมิได้ขับเรือน้อยไปยังคฤหาสน์ของเขา แต่ในทางกลับกัน เขาแล่นมันไปยังร่างกายของภูติบดีอันมีเขาเก้าบิดอยู่
เถียนฉู่สีหน้าซีดขาว และเขามองไปที่ฉินมู่ด้วยความว้าวุ่น
ฉินมู่พึมพำ “พวกเราอาจจะไปพบกับร่างที่แท้จริงของภูติบดี อย่ากลัว อย่ากลัว…”
ในไม่ช้า พวกเขาก็เห็นดวงตาของภูติบดีลอยเข้ามาใกล้ขึ้นและใกล้ขึ้น ยิ่งดวงตาทั้งสามนั้นใหญ่มากเท่าใด ก็ยิ่งยากที่จะมองเห็นร่างทั้งหมดของภูติบดีมากเท่านั้น
ฉินมู่ยังคงสามารถมองเห็นภูตผีมากมายพักผ่อนอยู่บนผิวหนังของภูติบดี และดินแดนมากมายอันมีภูตผีนับไม่ถ้วนอาศัยอยู่ พวกเขาก่อสร้างเมืองอันวิจิตรตระการ และถึงกับมีบางที่ที่กำลังรบพุ่งกัน พวกเขาต่อสู้กันจนผิวหนังของภูติบดีปริแตก แต่ก็ไม่ได้ทำให้ภูติบดีเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย
เขาถึงกับเห็นสัตว์ประหลาดมากมายที่มีเรือนกายใหญ่มหึมา กำลังแบกปราสาทราชวังพวกมันเดินตรงไปยังร่างกายของภูติบดี แต่ละย่างก้าวย่างออกไปด้วยความยากลำบาก
“ที่อาศัยอยู่ในโถงวังเหล่านี้คือจิตวิญญาณดั้งเดิมของเทพเจ้าศักดิ์สิทธิ์ที่แข็งแกร่งทรงพลัง พวกเขากำราบสัตว์ประหลาดและใช้สอยพวกมันเป็นสัตว์ขี่”
เถียนฉู่กล่าว “พวกที่มีศักดิ์ฐานะจิ๊บจ้อยในแดนใต้พิภพก็จะเลี้ยงสัตว์ประหลาดเพียงตัวหรือสองตัวเอาไว้ใช้เป็นสัตว์ขี่ เมื่อพวกเขาไปเยี่ยมญาติมิตร พวกเขาก็จะให้สัตว์ประหลาเเหล่านี้แบกพวกเขาไปเพื่อจะดูมีสง่าราศี เมื่อครั้งกระโน้น ตอนที่ข้ายังคงคลุกคลีในแดนใต้พิภพ ข้าเองก็มีสง่าราศีน่าประทับใจเป็นอย่างยิ่ง”
ผู้เฒ่านำทางความตายกล่าวด้วยรอยยิ้ม “หลังจากราชาสวรรค์ไปพบกับภูติบดีแล้ว ท่านก็สามารถมีสง่าราศีน่าประทับใจต่อได้”
เถียนฉู่มีสีหน้าหมดอาลัยตายอยากและไม่พูดอะไรอีก
ฉินมู่ปลอบใจเขา กล่าวว่า “อย่ากังวล เขาขู่ท่านให้กลัวไปงั้นเอง ภูติบดีมีขันติธรรมล้ำเลิศ เขาไม่ทำอะไรท่านหรอก”
ผู้เฒ่านำทางความตายยิ้มหยันและบอกไป “กับเจ้าก็เหมือนกัน อย่าคิดว่าภูติบดีจะไม่รู้นะว่าเจ้าเพิ่งจะขโมยพลังอำนาจของเขาไปเมื่อเร็วๆ นี้ ใช่ไหมล่ะ ความชั่วที่เจ้าก่อ ภูติบดีจะจดจำเอาไว้ทั้งหมด”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ราชันย์ขุนนาง ข้าเองก็ทำไปเพื่อช่วยชีวิตเทพีหยินสวรรค์ เทพีหยินสวรรค์ทำหน้าที่จัดการดูแลผีเปรตอันเกิดจากดวงวิญญาณแตกสลาย และหากว่าดวงวิญญาณไม่แตกสลาย ภูติบดีก็เป็นผู้จัดการดูแล ข้ารู้สึกว่าข้าไม่อาจปล่อยให้โฉมสะคราญอย่างเทพีหยินสวรรค์หยกแตกกลิ่นหอมสาบสูญเช่นนั้น ดังนั้นข้าจึงหยิบยืมพลังอำนาจมาโดยมิได้บอกกล่าว ข้ายืมพลังอำนาจนิดหน่อยจากภูติบดีและเทพสรรพชีวิต เทพสรรพชีวิตยังพูดเลยว่าที่ข้ากระทำไปนั้นดีและถูกต้อง”
“เทพสรรพชีวิตพูดอย่างนั้นหรือ” ผู้เฒ่านำทางความตายถามด้วยความสงสัยใคร่รู้
ฉินมู่กล่าวอย่างเที่ยงธรรม “แน่นอน! เทพสรรพชีวิตเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมล้ำเลิศ และเขาก็สนับสนุนพฤติการณ์ของข้าเป็นอย่างยิ่ง เทพสรรพชีวิตยังถึงกับพูดว่าภูติบดีจะต้องเข้าใจและสนับสนุนการกระทำของข้า ท่านต้องกล่าวผิดไปแน่ๆ ที่บอกว่าภูติบดีจะจดจำความชั่วที่ข้าก่อเอาไว้ ข้าคิดว่าพวกเราไม่ควรไปรบกวนภูติบดีจะดีกว่า แม้ว่าพวกเราจะมาถึงแดนใต้พิภพแล้วก็ตาม ท่านส่งพวกเรากลับไปก่อนจะดีกว่าไหม”
“พวกเรามาถึงแล้ว”
ผู้เฒ่านำทางความตายสงบเยือกเย็น และเขาไม่สะทกสะท้านกับสีหน้าอันสัตย์ซื่อและจริงใจของเขา เรือแล่นไปอย่างแช่มช้า ตรงไปที่ดวงตาที่สามของภูติบดี และพวกเขาก็มองไม่เห็นดวงตาได้อีกต่อไป เห็นแต่แสงสีแดงอันไร้ขอบเขต
เรือน้อยแล่นเข้าไปในแสงสีแดง และเมื่อฉินมู่หันไปมองข้างหลัง ร่างของเขาก็สั่นเทิ้ม เขาถึงกับสามารถมองเห็นโลกมิตินับไม่ถ้วนผ่านดวงตาของภูติบดี และดวงวิญญาณของสิ่งมีชีวิตมากมายไร้ประมาณก็ถูกจับอยู่ในสายตาของเขา!
“ความสามารถอันเหนือธรรมดาจริงๆ…”
ในส่วนลึกของแสงสีแดงนั้นเป็นแท่นวงกลมที่มีรัศมีร้อยห้าสิบวา บนแท่นวงกลมนั้นเป็นราชวังหลังหนึ่ง และเรือน้อยก็แล่นไปเทียบที่ข้างๆ แท่นวงกลมนั้น
ฉินมู่และคนอื่นๆ ขึ้นจากเรือ และเถียนฉู่ก็แทบจะทรุดลงไปกองกับพื้น ผ่านไปครู่หนึ่ง พวกเขาก็ได้ยินเสียงอันนุ่มนวลกล่าวกลั้วหัวเราะ “ในเมื่อภูติบดีมีแขกมาเยือน ข้าก็ไม่รั้งอยู่และรบกวนท่านอีกต่อไป ข้าจะมาเยี่ยมเยือนใหม่ในวันหลัง ไม่จำเป็นต้องส่งข้า”
ฉินมู่ได้ยินเสียง และเขาก็ตะลึงไปเล็กน้อย เขารู้สึกว่ามันคุ้นหูอย่างยิ่ง
ผู้เฒ่านำทางความตายคล้องเรือไว้กับท่าและกล่าว “เมื่ออาคันตุกะนี้ออกไป พวกเราก็เข้าไปได้”
ผ่านไปครู่หนึ่ง ฉินมู่ก็เห็นบุรุษร่างเพรียวบางเดินออกมาจากราชวัง และชายผู้นั้นดูหล่อเหลาเป็นอย่างยิ่ง เขามีท่วงทีกิริยาที่ยากจะบรรยาย และเมื่อผู้คนมองไปที่เขาก็จะรู้สึกเหมือนอาบไล้ด้วยสายลมวสันต์ อดไม่ได้ที่จะมีความรู้สึกนิยมชมชอบ
ฉินมู่จินตนาการออกได้ว่า หากว่าใบหน้าของนักปรุงยายังดีๆ อยู่ เขาก็คงจะต้องหล่อเหลาแบบนี้เหมือนกัน
เถียนฉู่สีหน้าแปรเปลี่ยน และเขาก็แค่นเสียง
หนุ่มหล่อผู้นั้นเดินเข้ามาและคารวะทักทายผู้เฒ่านำทางความตาย “ราชันย์ขุนนาง”
ผู้เฒ่านำทางความตายคารวะกลับไป
หนุ่มหล่อผู้นั้นเห็นเถียนฉู่และตะลึงไปเล็กน้อย เขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ที่แท้ก็เป็นราชาสวรรค์ เจ้ายังคงมีชีวิตอยู่”
เถียนฉู่เปลี่ยนจากท่าทีหมดอาลัยตายอยากเมื่อครู่เป็นยืนตัวตรง เขาของเขาเปล่งแสงเทวะเย็นเยียบออกมา และเขากล่าว “ขอบใจสำหรับคำอวยพรของเจ้า ข้ายังไม่ตาย!”
ชายหนุ่มหล่อเหลาผู้นั้นมองไปรอบๆ ด้วยรอยยิ้ม “ไม่เลวเลยจริงๆ ที่เจ้าสามารถหลบหนีออกมาได้หลังจากที่เอี๋ยนเฉ่าชิงกักเจ้าเอาไว้ในดาบเทวะประตูจักรพรรดิ แต่ถึงอย่างไร เจ้าก็ยังได้สับเขาของภูติบดีไป ดังนั้นจึงยากที่จะกล่าวว่าเจ้าจะมีชีวิตรอดไปได้อีกกี่น้ำ จริงสิ ข้ารู้ว่าเจ้าชมชอบสุรา ข้าจึงให้เอี๋ยนเฉ่าชิงนำสุราดีจำนวนหนึ่งไปให้เจ้า รสชาติเป็นอย่างไรบ้างล่ะ”
เคราแพะภูเขาของเถียนฉู่ลุกโพลง และเขาก็ระงับโทสะเอาไว้ไม่อยู่
หนุ่มหล่อผู้นี้ยิ้มนิดๆ “ที่นี่คือแดนใต้พิภพ อย่ามุทะลุไป จริงสิ ครั้งหนึ่งเจ้าก็เคยมุทะลุนี่นา เจี่ยวอี๋ ทำไมเจ้าก็อยู่ที่นี่ล่ะ”
ฉีเจี่ยวอี๋สีหน้าแปรเปลี่ยนเล็กน้อย และเขาก็เดินออกมาจากข้างหลังกิเลนมังกร เขาคารวะทักทาย “เจี่ยวอี๋น้อมคารวะอาจารย์!”
ชายหนุ่มหล่อเหลาเพ่งพิศดูเขาและขมวดคิ้ว “เจ้าเหลือแต่จิตวิญญาณดั้งเดิม กายเนื้อของเจ้าอยู่ที่ไหน”
ฉีเจี่ยวอี๋เผยสีหน้าละอายและกล่าว “ข้าถูกดูดเข้าไปในดาบเทวะประตูจักรพรรดิ ดังนั้นกายเนื้อของข้าจึงยังอยู่ในแดนโบราณวินาศ”
ฉินมู่หัวใจเต้นตึกตักขึ้นมาทันที และเขารู้โดยพลันว่าหนุ่มหล่อผู้นี้คือใคร
จักรพรรดิดำแดนบาดาล และก็คือโอรสหยินสวรรค์ด้วย!
รัศมีของเขาวูบไหว แต่เขาก็สะกดข่มมันเอาไว้อย่างรวดเร็ว ให้กลับมาเยือกเย็น เขาครุ่นคิดในใจ ทำไมโอรสหยินสวรรค์ถึงมาหาภูติบดีล่ะ หรือว่าเพราะเรื่องราวที่เกิดกับเทพีหยินสวรรค์ ข้าขโมยพลังอำนาจของภูติบดีเพื่อฟื้นคืนชีพเทพีหยินสวรรค์ และข้อเท็จจริงนี้ไม่อาจหลุดรอดสายตาของเขาไปได้
โอรสหยินสวรรค์ดูเหมือนจะสัมผัสได้ถึงรัศมีที่สั่นไหวของเขา และมองไปที่เขาก่อนจะเอ่ยปากชม “จิตวิญญาณดั้งเดิมที่มั่นคง เป็นคนหนุ่มสาวที่ดีเยี่ยมจริงๆ ราชาสวรรค์ นี่คือศิษย์ของเจ้าหรือ”
เถียนฉู่หัวเราะในคอ “ไม่ใช่กงการของเจ้า”
โอรสหยินสวรรค์มองไปที่ฉินมู่และเผยรอยยิ้มอบอุ่น “ตามเจ้ากบฏนี่ไปก็ไม่มีอนาคตหรอก หากว่ามีโอกาส เจ้าก็ไปหาข้าที่แดนบาดาลได้ ข้าชื่นชมคนหนุ่มอย่างเจ้า”
ฉินมู่มีสีหน้าขยาดหวั่นเกรงเมื่อเขามองไปทางเถียนฉู่หนึ่งทีและหันไปมองโอรสหยินสวรรค์อีกที เขาดูเหมือนจะจนปัญญาทำอะไรไม่ถูก
โอรสหยินสวรรค์ก้าวจากไป “เจี่ยวอี๋ ในเมื่อภูติบดีต้องการพบพวกเจ้า ข้าก็จะไม่ฝืนชิงตัวเจ้าไป หลังจากที่เจ้าสะสางเรื่องราวที่นี่แล้ว ก็จงไปที่โลกแห่งคนเป็นและตามหากายเนื้อของเจ้าเสีย หลังจากนั้นก็ออกไปจากที่นั่นโดยทันที ศิษย์พี่ของเจ้ากำลังจะปล่อยภัยพิบัติลงมา การเยี่ยมเยือนครั้งนี้ของข้านั้นเพื่อปรึกษาหารือว่าจะจัดการอย่างไรกับดวงวิญญาณนับล้านๆ ที่เดี๋ยวก็จะตายอย่างฉับพลันมาจากแดนต่ำใต้”
“ขอรับ อาจารย์” ฉีเจี่ยวอี๋โค้งคารวะ และเงยหน้าขึ้นมาก็ต่อเมื่อเขาลับตาไปแล้ว
ฉินมู่หรี่ตา สนามปราณของโอรสหยินสวรรค์นั้นเต็มเปี่ยม และรัศมีน่าเกรงขามของเขาก็กดทับข่มเถียนฉู่ไว้อย่างมั่นคง เขานั้นเป็นผู้ที่ทรงพลังจริงๆ
ฉีเจี่ยวอี๋ปรายตามองเขาและกล่าว “อาจารย์ของข้าจดจำเจ้าไม่ได้”
“ขอบคุณมาก” ฉินมู่โค้งตัว
ฉีเจี่ยวอี๋อ้าปาก และพลันถอนหายใจ “เดิมทีพวกเราเป็นศัตรูกัน แต่กระนั้นข้าก็กลายเป็นพี่น้องร่วมสาบานกับกิเลนมังกรตอนที่ไม่ได้สติ ดังนั้นถ้าข้าจะหักหลังเจ้ามันก็คงไม่ดีนัก ทำไมมันถึงกลายเป็นเช่นนี้ไปได้”
เขามีสายตาอันว่างเปล่ามึนงง
เถียนฉู่สงสัยใคร่รู้ “ฉินมู่ เจ้าทำอะไรลงไป ทำไมเจ้าถึงเปิดเผยตัวตนให้จักรพรรดิดำล่วงรู้ไม่ได้”
ฉินมู่ถอนหายใจและกล่าว “เรื่องมันยากจะอธิบายในสองสามคำ”
เถียนฉู่ดวงตาเบิกกว้างยิ่งขึ้น และเขาก็ยิ่งคันหัวใจยิบๆ
ผู้เฒ่านำทางความตายก้าวออกมาและกล่าวอย่างไม่ยินดียินร้าย “เข้าไป อย่าปล่อยให้ภูติบดีรอนาน”
เถียนฉู่เดินโผเผเหมือนปีศาจแพะภูเขาที่จะถูกลากไปฆ่าแกง เขานอนคว่ำลงกับพื้นอย่างไม่อยากจะขยับเขยื้อนเคลื่อนไหว ฉินมู่คว้าจับเขาแพะภูเขาของเขาและลากเขาไปตลอดทางจนถึงโถงวังใหญ่
ภูติบดีอยู่ตรงหน้าพวกเขา แม้ว่าดูท่าจะเป็นร่างแยก แต่เขาก็มีเพลิงไฟพวยพุ่งรอบตัว มีศีรษะพยัคฆ์ เขาวัว ร่างมนุษย์ และกำลังพลิกหนังสือเล่มหนา
“ราชันย์ขุนนาง เจ้าได้เพิ่มอาชญากรรมที่เขาขโมยพลังอำนาจของข้าลงไปแล้วหรือยัง” ภูติบดีถามโดยไม่เงยหน้า