ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 704 จันทร์กลมเพ็ญเด่นแสง
ยิ่งฉินมู่เดินไปไกลเท่าไร ก็ยิ่งเห็นอาวุธวิญญาณสำหรับใช้สอยในชีวิตประจำวันมากเท่านั้น ยังมีบัณฑิตใกล้ๆ สถาบันแม่น้ำหย่งที่กำลังทดสอบรถเหาะอันสามารถบรรทุกผู้คนขึ้นไปบนท้องฟ้าได้ เตาหลอมยาในนั้นเล็กลงกว่าหน่อยและไม่หมดเปลืองหินยามากมายเท่ากับเรือเหาะ เหมาะสมบูรณ์แบบสำหรับการบินระยะสั้น
เขายังคงเห็นบัณฑิตจำนวนหนึ่งหลอมสร้างตู้เย็นมังกรน้ำแข็ง และขายอาวุธวิญญาณพวกนี้ให้แก่ตระกูลใหญ่ในละแวก ตู้เย็นมังกรน้ำแข็งเป็นสี่เหลี่ยมเหมือนกับกระถางใหญ่ แต่มันมีฝาปิด รูปสลักมังกรสำริดสี่ตัวอยู่ที่มุมทั้งสี่ของมัน เมื่อใส่หินยาลงไป มังกรเขียวเหล่านั้นก็จะปล่อยลมหายใจเย็นเฉียบออกมา
ระหว่างฤดูร้อน มันก็จะสร้างอากาศเย็นให้ภายในบ้าน และยังคงช่วยเก็บรักษาอาหารไม่ให้เน่าเสียง่ายๆ
มีเหมืองแร่อยู่ริมแม่น้ำ และเครื่องจักรมากมายก็กำลังขุดแร่อยู่ ขณะที่บัณฑิตหลายคนกำลังควบคุมงานและจดบันทึกอยู่ข้างๆ
เขาถึงกับเห็นบัณฑิตมากมายที่กำลังออกแบบเมืองลอยฟ้า พวกเขากำลังก่อสร้างเมืองขนาดย่อส่วน และจะส่งเมืองนี้ให้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
“ทักษะเทวะพยุหะของทักษะนิรันดร์ได้ก้าวหน้าไปถึงขั้นนี้แล้วหรือเนี่ย”
เขาก้าวเข้าไปตรวจสอบวิชาพยุหะดู และบัณฑิตเหล่านี้ก็มาจากสถาบันนักบุญสวรรค์ พวกเขาจดจำได้ว่าเขาคืออธิการบดี และรีบนำพิมพ์เขียวออกมาให้เขาดูอย่างถี่ถ้วน
ฉินมู่อดไม่ได้ที่จะรู้สึกตื่นตระหนก พิมพ์เขียวสำหรับตัวแบบเมืองลอยฟ้าใช้โครงสร้างพยุหะคล้ายคลึงกับนครหยกน้อยและภูเขานักบุญเยือนแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ พยุหะเหล่านี้หยิบยืมพลังจากฟ้าและดิน และโครงสร้างพยุหะเหล่านี้ก็เหนือล้ำกว่าความสำเร็จเชิงพยุหะของเขาไปแล้ว
“หากว่าข้าไม่ใช่คนที่วิจัยมันออกมา แล้วนี่เป็นฝีมือใคร”
ฉินมู่อึ้งไป “หรือว่าท่านปู่บอดได้วิ่งเร่ไปที่ภูเขานักบุญเยือนและนครหยกน้อยเพื่อขุดเอาวิชาพยุหะพวกนี้ออกมา”
ทักษะเทวะแห่งสันตินิรันดร์มีการเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ และนี่ทำให้เขาแตกตื่นอย่างที่สุด นับตั้งแต่เขาออกจากสันตินิรันดร์ไปหาเอี๋ยนจิงจิงและพบกับนักบุญคนตัดไม้ ผู้เฒ่าตกปลา และเผชิญเหตุการณ์ในโลกหยินสวรรค์ จนท้ายที่สุดก็กลับมายังสันตินิรันดร์อีกครั้ง รวมๆ แล้วก็เพียงแค่ราวๆ สี่เดือน แต่มรรคา วิชา และทักษะเทวะได้พัฒนาขึ้นมาถึงระดับนี้ นี่มันทรงพลังเกินไปแล้ว!
แต่ทว่า นี่มันไม่ทรงพลังเกินไปหน่อยหรือ
“นี่ไม่น่าจะเป็นแค่ฝีมือของท่านปู่ใบ้และท่านปู่บอด นักบุญคนตัดไม้ก็น่าจะช่วยผลักดันการปฏิรูปด้วยเช่นกัน! เขามีความรู้มากมายในทุกสิ่งทุกอย่าง และจากปากคำของผู้เฒ่าตกปลา การปฏิรูปจักรพรรดิก่อตั้งก็ถูกขับเคลื่อนด้วยฝีมือของอาจารย์คนตัดไม้ด้วย” ฉินมู่พึมพำกับตนเอง
คนตัดไม้และผู้คนแห่งหมู่บ้านพิการชราได้ผลักดันมรรคา วิชา และทักษะเทวะไปข้างหน้า อันจะทำให้สันตินิรันดร์แข็งแกร่งขึ้นมามากในระยะเวลาอันสั้น ชีวิตความเป็นอยู่และอาหารของผู้คนก็จะเพิ่มพูนขึ้นมาอย่างก้าวกระโดด นี่ก็จะช่วยประหยัดเวลาการฝึกปรือให้แก่ผู้ฝึกวิชาเทวะ เพื่อให้พวกเขาศึกษาค้นคว้าวิชาฝึกปรืออันยิ่งลึกล้ำเข้าไปอีก
แต่ทว่า ประเด็นสำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นเรื่องหินยา
อาวุธวิญญาณสำหรับใช้สอยประจำวันนั้นต้องการหินยามากกว่าเดิมไปเยอะ และแม้ว่าจะมีการขุดหินจิตวิญญาณจากเหมืองแร่ มันก็ยังคงยากที่จะเพาะปลุกสมุนไพร
เขามาที่สถาบันแม่น้ำหย่งและตะลึงลาน เขาเห็นพื้นที่เพาะปลูกอันอุดมสมบูรณ์กว่าหมื่นไร่และมีสมุนไพรงอกงามอยู่ทุกหนทุกแห่ง บัณฑิตมากมายแห่งสถาบันแม่น้ำหย่งและสถาบันนักบุญสวรรค์กำลังขับเคลื่อนทักษะเทวะเสกสรรอยู่ในไร่สมุนไพร
บัณฑิตเหล่านี้กำลังขับเคลื่อนวิชาดินอสงไขยเสกสรร แต่มันแตกต่างจากวิชาดินอสงไขยเสกสรรในอดีต ดูเหมือนว่าจะมีทักษะเทวะเสกสรรจากยุคสมัยแสงฉานผสมผสานเข้าไป
ฉินมู่ให้กิเลนมังกรหยุดวิ่งและมองไปยังเรือกสวน เขาเห็นบัณฑิตแห่งสถาบันเหล่านี้ใช้วิชาดินอสงไขยเสกสรรเพื่อช่วยให้พืชเจริญงอกงาม และบ่มเพาะฤทธิ์พลังยาของพวกมัน สมุนไพรที่เคยต้องใช้เวลาหลายสิบปีในการเพาะปลูก กลับสามารถถูกเก็บเกี่ยวได้ภายในไม่กี่ชั่วยาม
“สมุนไพรพวกนี้งอกงามดีอย่างยิ่ง และจะสามารถเก็บเกี่ยวได้ในอีกสักพัก…มู่เอ๋อ!”
ฉินมู่ได้ยินเสียงของนักปรุงยาและรีบหันไปมอง เขาเห็นนักปรุงยากำลังสำรวจไร่สมุนไพร และเฒ่าหนวกก็อยู่ที่นั่นด้วย ข้างๆ เขาคือขุนนางชั้นสูงซูอวิ๋นจือ ผู้ได้กรุยเปิดสะพานเทวะของตนและฝึกฝนจนบรรลุเป็นเทพเจ้าไปแล้ว
เมื่อฉินมู่พบนางในเมืองหลวง นางเป็นหญิงชรา แต่ตอนนี้นางได้ย้อนวันกลับมาเป็นสาวสวยสะพรั่งวัยสามสิบ แต่ละท่วงทีกิริยาของนางล้วนแต่เปล่งความเหนือธรรมดาออกมา
เฒ่าหนวกได้งอกใบหูของเขากลับคืนแล้ว ขณะที่นักปรุงยายังคงสวมหน้ากากทองแดงเช่นเดิม
ฉินมู่มองไปยังบัณฑิตมากมายแห่งลัทธินักบุญสวรรค์ พวกเขาคงจะถูกผู้เฒ่าสองคนนำมาที่นี่ ผู้เฒ่าทั้งสองตั้งใจว่าจะมาชี้แนะในเรื่องวิชาเสกสรรแก่สถาบันแม่น้ำหย่ง
ฉินมู่เดินเข้าไปหาด้วยรอยยิ้ม “ท่านปู่นักปรุงยา ทักษะเทวะเสกสรรของท่านเป็นอย่างไรบ้างแล้ว ทำไมท่านยังสวมใส่หน้ากากอยู่อีกล่ะ”
นักปรุงยาแตะหน้ากากบนใบหน้าและส่ายศีรษะ “ข้านั้นแก่เฒ่าแล้ว ไม่เผยใบหน้าที่แท้จริงจะดีกว่า ไม่อย่างนั้น…เฮ้อ”
เขาถอนหายใจอีกรอบ
เฒ่าหนวกยิ้มหยันและกล่าว “หน้าตาดีๆ ของเจ้าคงจะเหนือธรรมดาสินะ? ไม่มีรสนิยม”
นักปรุงยากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใช่ ความหล่อของข้าเหนือธรรมดาจริงๆ”
เฒ่าหนวกแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน
ทั้งสองคนชอบแต่กัดกันไปมา และฉินมู่ก็คุ้นเคยกับภาพพวกนี้แล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่เอามาใส่ใจ เฒ่าหนวกมองมาที่ฉินมู่และถามด้วยความพิศวง “ทำไมเจ้าไม่ไปที่สถาบันนักบุญสวรรค์ แต่กลับมาที่นี่แทน”
ประกายตาของฉินมู่วูบไหว และเขากล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเดินทางผ่านมาทางนี้พอดี ดังนั้นข้าจึงมาดูเทพครองแดนเลี้ยงมังกร และเยี่ยมเยือนอธิการบดีซู”
ซูอวิ๋นจือห่อปากของนางและกล่าว “ยากนักที่เจ้าจะมาที่สถาบันแม่น้ำหย่งของข้า แต่ในทางกลับกัน ข้าไปสถาบันนักบุญสวรรค์ออกจะบ่อย เพื่อปรึกษาปัญหาเรื่องการสอน แต่ก็ไม่เคยหาตัวเจ้าพบ”
ฉินมู่อ้าปากหาว และจ้องไปที่กอดอกไม้ข้างๆ อย่างเงียบเชียบ
นักปรุงยาและเฒ่าหนวกเข้าใจความนัยของเขาเมื่อเห็นเขาทำท่าเช่นนั้น และนักปรุงยาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ขุนนางชั้นสูงซู ข้าเหนื่อยนิดหน่อยแล้ว ดังนั้นข้าจะกลับไปพักผ่อนเสียหน่อย ขุนนางชั้นสูงซูเพียงแต่ต้องรออีกหนึ่งชั่วยาม เจ้าก็จะสามารถให้บัณฑิตทั้งหลายเก็บเกี่ยวสมุนไพร อย่าลืมกันเมล็ดพันธุ์เอาไว้ด้วยส่วนหนึ่ง”
ซูอวิ๋นจือผงกศีรษะ
นักปรุงยาและเฒ่าหนวกเดินตรงไปยังสถาบันนักบุญสวรรค์ ฉินมู่ตามเขาไปอย่างรวดเร็ว และเฒ่าหนวกก็กล่าว “ดูจากสีหน้าของเจ้า ที่มาคราวนี้คงไม่ใช่เรื่องดี พูดออกมาสิ คราวนี้มันเรื่องอะไร”
“ข้าสงสัยว่าโหลอวิ๋นชวีกำลังจะใช้บันทึกเป็นตายกับสถานที่แห่งนี้ เพื่อทำลายล้างทุกชีวิตในมณฑลลี่โจว” ฉินมู่กล่าว
“อะไรนะ”
นักปรุงยาและเฒ่าหนวกร้องออกมาด้วยความตื่นตระหนก และฉินมู่ก็รีบกล่าว “เบาๆ หน่อย อย่าทำให้ศัตรูไหวตัวทัน”
นักปรุงยาชะงักเท้าและเริ่มพล่ามออกมา “เร็วเข้า เก็บข้าวของมีค่าแล้วออกไปจากที่นี่เดี๋ยวนี้ พวกเรารีบกลับไปที่ป้าโจว…ไม่ กลับไปที่หมู่บ้านพิการชรา! ป้าโจวก็ไม่ปลอดภัยเหมือนกัน!”
ฉินมู่คว้ามือของเขาเอาไว้ และนักปรุงยาก็ดิ้นรนแต่ไม่หลุด เขานั้นอยู่ในขั้นวรยุทธเป็นตาย แต่ในเมื่อการฝึกวิทยายุทธของเขาเชื่องช้า กายเนื้อของเขาจึงด้อยกำลังกว่าฉินมู่มาก
“ท่านปู่นักปรุงยา ท่านสามารถอยู่ที่นี่นานเท่าไรก็ได้”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ตราบใดที่โหลอวิ๋นชวีไม่ลงมาเข่นฆ่าด้วยตนเอง ข้าก็ยังสามารถรับมือกับสถานการณ์ได้ หากว่ามีแต่การใช้บันทึกเป็นตาย”
“เจ้าจะรับมือมันได้อย่างไร”
“เมื่อพวกท่านตาย ข้าจะชุบชีวิตพวกท่าน”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวล ตราบเท่าที่กายเนื้อไม่เน่าเปื่อย ก็ไม่ลำบากถ้าจะเรียกวิญญาณของพวกท่านกลับคืนมา”
นักรุงยาลังเลอยู่ครู่หนึ่งและมองไปที่เฒ่าหนวก เฒ่าหนวกกล่าว “เรียกวิญญาณพวกเรากลับมามีประโยชน์อะไร เจ้าเอาชนะโหลอวิ๋นชวีและคนอื่นๆ ได้หรือ”
“ข้าทำไม่ได้”
ฉินมู่ส่ายศีรษะและกล่าว “ก่อนที่สวรรค์ไท่หวงจะถูกทำลาย โหลอวิ๋นชวีและพวกของเขาพบกับกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก ทั้งสี่คนมุ่งหน้าไปยังสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณดั้งเดิม และกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็ไม่ได้ลงมือกับพวกเขา นี่แสดงให้เห็นว่าเขาระแวงกำลังฝีมือของคนเหล่านั้นเป็นอย่างยิ่ง อีกทางหนึ่ง พวกเขาเองก็ไม่กล้าที่จะลงมือกับกษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก และนี่ก็แสดงให้เห็นว่ากำลังฝีมือของบรรพชนแรกนั้นเหนือกว่าพวกเขา วรยุทธของศิษย์พี่ศิษย์น้องพวกนั้นน่าจะอยู่ระหว่างขั้นแท่นประหารเทพและสระหยก”
นักปรุงยาถาม “พวกเขาถึงกับแข็งแกร่งกว่าฟู่ยื่อลัวเลยหรือ”
ฉินมู่ผงกศีรษะ “แข็งแกร่งกว่าฟู่ยื่อลัวมาก ฟู่ยื่อลัวอย่างมากก็อยู่ในขั้นสระหยก แต่ทว่าพวกเขาเป็นศิษย์ของจักรพรรดิดำแดนบาดาล และที่พวกเขาฝึกก็เป็นวิชาฝึกปรือบัลลังก์จักรพรรดิ”
นักปรุงยาตั้งสติตนเองและกล่าว “พวกเราห่างไกลจากการเป็นคู่ต่อสู้ของพวกเขา งั้นทำไมพวกเราไม่จากไปและกลับไปที่แดนโบราณวินาศ พวกเราไม่อาจช่วยชีวิตใครได้ แต่สามารถช่วยชีวิตตนเองได้”
ฉินมู่คลี่ยิ้มออกมา “แต่ว่าตั้งแต่ข้ายังเด็ก ท่านปู่นักปรุงยาได้สั่งสอนข้าว่าแพทย์ทุกคนจะต้องปฏิบัติต่อผู้ป่วยเหมือนบุตรหลานของตน อีกทั้งสอนว่าชีวิตมนุษย์สูงส่งกว่าสวรรค์ พวกเราเรียนวิชาแพทย์ไปนั้นไม่ใช่เพื่อจะช่วยชีวิตผู้คนให้ได้มากขึ้นหรอกหรือ หรือว่าท่านปู่นักปรุงยาคิดจะฝืนปณิธานดั้งเดิมของตน”
นักปรุงยายิ้มจากความเดือดดาล “ตอนนี้เจ้าก็มาสั่งสอนข้าแทนแล้วรึ! งั้นให้ข้าสอนเจ้าอีกประโยค เรียนวิชาแพทย์ไปก็ช่วยกู้สันตินิรันดร์ไม่ได้! เจ้าจะฟังข้าหรือไม่ฟัง? เฒ่าหนวก กำลังฝีมือของเจ้าเหนือกว่าข้า ปิดผนึกเขาไว้ในภาพเขียนเสีย พวกเราจะกลับไปที่สถาบันนักบุญสวรรค์ในทันที เพื่อพายายเฒ่าและคนอื่นๆ กลับไป!”
เฒ่าหนวกปิดหูตัวเองและกล่าว “ข้าไม่ได้ยิน ข้าเป็นคนหูหนวก”
นักปรุงยาโมโหเดือดและกำลังทะเลาะกับเฒ่าหนวก เฒ่าหนวกจึงรีบกล่าว “ในเมื่อมู่เอ๋ออยู่ที่นี่ เขาจะต้องมีแผนการบางอย่างเป็นแน่ ทำไมเจ้าไม่ฟังเขาก่อนแล้วค่อยตัดสินใจล่ะ”
นักปรุงยารั้งตนเองเอาไว้และกล่าว “หากว่าไม่มีโอกาสรอดชีวิต พวกเราจะต้องจากไปในทันที! ต่อให้ข้าต้องใช้ยาพิษเพื่อล้มเจ้าสลบ พวกเราก็จะกลับไปที่หมู่บ้านพิการชราให้ได้!”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แม้ว่าพวกเราจะไม่ใช่คู่ต่อสู้ของโหลอวิ๋นชวี แต่พวกเราก็ยังมีผู้ช่วยเหลือคนอื่นๆ หากว่าข้าคิดไม่ผิดพลาด นักบุญคนตัดไม้ กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก ฟู่ยื่อลัว และผู้เฒ่าตกปลา ล้วนแต่น่าจะอยู่ในลี่โจวในขณะนี้ รอให้โหลอวิ๋นชวีและคณะมาปรากฏตัว”
เขากล่าวอย่างเยือกเย็น “หากว่าข้าสามารถคาดเดาได้ว่าเป้าหมายของโหลอวิ๋นชวีคือลี่โจว พวกเขาก็ต้องสามารถคาดเดาได้เช่นกัน”
นักปรุงยาสูดลมหายใจหนาวเหน็บ และพึมพำ “หากว่าพวกเขาคาดเดาได้ ทำไมพวกเขาไม่เคลื่อนย้ายผู้คนออกไปจากลี่โจว ทำไมพวกเขายังปล่อยให้ผู้คนแห่งลี่โจวรอรับชะตาถึงฆาตที่กำลังย่างกรายมา”
“เพราะว่าพวกเราไม่อาจหาตัวโหลอวิ๋นชวีพบ ดังนั้นพวกเราจึงต้องมีแต่เสียสละผู้คนแห่งลี่โจว”
ฉินมู่กล่าว “ยิ่งไปกว่านั้น ข้ายังได้เผยแพร่วิชานำทางวิญญาณออกไปแล้ว และมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่ฝึกปรือทักษะเทวะนี้ในสันตินิรันดร์ ด้วยทักษะเทวะดังกล่าว พวกเราก็จะสามารถคืนชีวิตให้แก่ผู้คนที่ตายไปจากบันทึกเป็นตาย ดังนั้นความเสี่ยงนี้จึงคุ้มค่า และพวกเราจะต้องแบกรับมัน!”
เฒ่าหนวกถาม “หากว่าเป้าหมายของพวกเขาไม่ใช่ลี่โจวล่ะ? หากว่าเป็นเมืองหลวง?”
“ข้าอยู่ที่นี่ พวกเขาจะมาแน่นอน”
ฉินมู่กล่าวอย่างเด็ดขาด “ข้าเป็นเหยื่อที่ใช้ล่อพวกเขา ข้าจะทำให้โหลอวิ๋นชวีล้มเลิกเป้าหมายอื่น และพุ่งความสนใจแต่ที่ลี่โจว! ผู้คนหลายล้านได้ตกตายในชนบทอวี้จื้อแล้ว และตัวการปลิดชีวิตเมื่อค่ำคืนนี้ก็คือบันทึกเป็นตาย ข้าได้สั่งการให้ทุกคนที่ฝึกปรือนำทางวิญญาณ เร่งรุดไปยังชนบทอวี้จื้อเพื่อช่วยชีวิตผู้คน คืนนี้จะเป็นจังหวะที่พวกเขาจะลงมือกับลี่โจว!”
นักปรุงยาถาม “แล้วแบบนั้น พวกเขาจะรู้ได้อย่างไรว่าเจ้าอยู่ในลี่โจว”
ฉินมู่กล่าว “พวกเขาครอบครองบันทึกเป็นตาย ดังนั้นก็ย่อมต้องรู้ว่าข้าอยู่ที่ไหน เมื่อใช้บันทึกเป็นตายฉายส่อง นามของทุกๆ คนจะปรากฏขึ้นมาบนนั้น คืนนี้ ข้าต้องใช้สถานที่สูงเพื่อร่ายเวทมนตร์ หลังจากที่พวกเขาใช้เวทมนตร์ทำร้ายผู้คนที่นี่ ข้าก็จะฟื้นคืนชีพทุกๆ คนในลี่โจว!”
เฒ่าหนวกกล่าวอย่างรีบร้อน “มันมีหอดูดาวอยู่ในสถาบันแม่น้ำหย่ง และภูมิประเทศที่นั้นก็สูงลิ่ว เพียงยืนอยู่บนหอดูดาว เจ้าก็จะสามารถมองเห็นทุกสิ่งทุกอย่างในลี่โจว”
ฉินมู่ปรบมือเข้าด้วยกันและกล่าว “เยี่ยม! ข้าจะไปร่ายเวทมนตร์ที่นั่น”
ในค่ำคืนนั้น ฉินมู่นำกิเลนมังกรไปยังหอดูดาว นักปรุงยาและเฒ่าหนวกยืนอยู่ที่ริมขอบ และมองขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างกระวนกระวาย ดวงจันทร์ทั้งกลมเพ็ญและเด่นแสง
สี่มุมของหอดูดาวมีรูปสลักสัตว์เทวะทั้งสี่ อันได้แก่ มังกร เขียว พยัคฆ์ขาว หงส์แดง และเต่าดำ พวกมันแต่ละตนเป็นตัวแทนของสี่ปราสาทสวรรค์ในทิศตะวันออก ตะวันตก ใต้ และเหนือ ตรงใจกลางนั้นเป็นลูกกลมท้องฟ้าจำลองที่สลักดวงดาวเอาไว้อย่างมากมาย
ฉินมู่จุดตะเกียงในบริเวณรอบๆ และยืนอยู่บนลูกกลมท้องฟ้าจำลองเพื่อรออย่างเงียบเชียบ
แสงจันทร์สว่างไสวเป็นอย่างยิ่ง และมันก็ค่อยๆ ลอยขึ้นมาที่กลางฟ้า ในโมงยามนั้น ไม่มีสรรพเสียงดังออกมาจากสถาบันแม่น้ำหย่ง มีแต่เสียงคลื่นน้ำที่ซัดมาจากฝั่งแม่น้ำฉาดฉานครึกโครมทั้งวันทั้งคืน
ราตรีนี้เย็นเยียบเล็กน้อย
ฉินมู่เผยสามเศียรหกกรของเขาเพื่อมองไปยังทิศทางโดยรอบ แสงจันทร์นั้นเยือกเย็นราวน้ำนิ่งและส่องสกาวลงไปทั่วดินแดน ให้แสงสว่างแก่ภูเขาและภูมิประเทศ กลิ่นหอมเบาบางของพืชพรรณที่อยู่ใกล้ๆ ลอยไปในอากาศ ขณะที่เทือกเขาตะคุ่มครึ้มใกล้ๆ ดูเหมือนกับสัตว์ร้ายที่กำลังหมอบซุ่ม
ฉินมู่รออยู่เนิ่นนาน และแม้ว่าดวงจันทร์จะเลื่อนลอยผ่านกลางฟ้าไปแล้ว เขาก็ยังไม่เห็นบันทึกเป็นตายลอยเข้ามา
“หรือว่าพวกเขาจะไม่มาแล้ว นั่นเป็นไปไม่ได้…มังกรอ้วน มังกรอ้วน!”
ฉินมู่ตะโกนไป และกิเลนมังกรก็หมอบอยู่บนหอดูดาวโดยไม่ไหวติง ฉินมู่งุนงงและมองไปที่นักปรุงยากับเฒ่าหนวก เฒ่าหนวกนั่งอยู่ในท่าขัดสมาธิดอกบัวพลางจ้องมาที่เขา นักปรุงยายืนอยู่ข้างๆ รูปสลักมังกรเขียว และใบหน้าของเขาก็ซ่อนอยู่ในเงา
ฉินมู่กระโดดลงมาจากลูกกลมท้องฟ้าจำลอง เพื่อมายังข้างกายของพวกเขาตรวจดูว่ายังมีลมหายใจหรือไม่ จิตคิดของเขากระเจิดกระเจิดไปหมด
นักปรุงยาและเฒ่าหนวกเหลือเพียงร่างกาย ดวงวิญญาณของเขาหายสาบสูญไปอย่างไร้ร่องรอย!
เขาเหาะไปหากิเลนมังกรอย่างรวดเร็ว และดวงวิญญาณของกิเลนมังกรก็ไม่อยู่แล้วเช่นกัน!
ฉินมู่เลือดในกายเย็นเฉียบ และเขาก็รีบวิ่งตะบึงลงไปจากหอดูดาว เขาวิ่งผ่านสถาบันแม่น้ำหย่ง และเห็นโคมไฟแขวนห้อยให้แสงสว่างแก่เรือนบันทึกสวรรค์ บัณฑิตมากมายกำลังอ่านทักษะเทวะและคัมภีร์ในเรือนตึก แต่ทุกๆ คน ยืนแข็งค้างอยู่กับที่โดยไม่ขยับ!
เขาวิ่งตะบึงไปตามโถงทางเดิน และเห็นกระทั่งบัณฑิตซึ่งยังไม่ได้เข้านอน เด็กสาวในอ้อมกอดของเด็กหนุ่ม และพวกเขาน่าจะกำลังพรอดคำรักต่อกัน แต่ทว่า ร่างกายของพวกเขาล้วนแต่ว่างเปล่า ดวงวิญญาณหายไปจนหมดสิ้น!
ฉินมู่ผ่านไปทางโถงของซูอวิ๋นจือ และนางกำลังเข้าสมาธิฝึกปรืออยู่ แต่ทว่าจิตวิญญาณดั้งเดิมของนางไม่อยู่แล้ว!
“เป็นไปไม่ได้! เป็นไปไม่ได้! พวกเขาไม่มีกระตุ้นการทำงานของบันทึกเป็นตายโดยที่ข้าไม่รู้ตัว! เทพครองแดนเลี้ยงมังกร!”
ฉินมู่ตะโกนไปด้วยเสียงอันดัง “เทพครองแดนเลี้ยงมังกรอยู่ที่ไหน”
น้ำในแม่น้ำไหลไป แต่ไม่มีเสียงตอบรับกลับมา ในแม่น้ำหยง มังกรยักษ์สองตัวกำลังลอยหงายท้องอยู่ในแม่น้ำ เขามังกรของพวกมันเข้าไปติดอยู่กับเขื่อน และร่างของพวกมันก็ไหวกระเพื่อมไปตามคลื่นและกระแสน้ำ
บนภูเขาร้อยปี เทพป๋ายซี่ดูราวจะกลายเป็นรูปสลักหินและยืนอยู่บนหินสุสานโดยไม่กระดุกกระดิก
ทั่วทั้งลี่โจวและเมืองชนบททั้งหลายกลายเป็นเงียบดุจป่าช้า
“พวกเขาร่ายเวทมนตร์ได้อย่างไร ไม่มีทางที่มันไม่เหลือร่องรอยขนาดนี้!”
ร่างของฉินมู่เย็นเฉียบ และเขาเดินไปเดินมา เหงื่อเม็ดเป้งร่วงลงจากหน้าผากของเขา และเขาก็พลันเงยหน้าขึ้นไปมองจันทร์เพ็ญบนท้องฟ้า
ดวงจันทร์ทั้งกลมเพ็ญและเด่นแสง
“วันนี้คือวันขึ้นหนึ่งค่ำของเดือนจันทรคติ จริงสิ วันนี้เป็นวันแรก แล้วทำไมถึงมีดวงจันทร์”
ฉินมู่ร่างสั่นเทิ้มและตะโกนออกไป “พวกเขาซ่อนตัวอยู่ในดวงจันทร์! อาจารย์คนตัดไม้ กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรก พวกท่านได้ยินที่ข้าบอกไหม”
ตึง
คนผู้หนึ่งร่วงลงมาจากก้อนเมฆกลางอากาศ และหล่นลงปะทะพื้นไม่ห่างไกลจากฉินมู่ ฉินมู่มองไปที่บุคคลผู้นั้นและเห็นว่าเขาถือขวานและใบหน้าก็มอมแมมไปด้วยดินโคลน
หางตาของฉินมู่กระตุก และเขาเห็นบุคคลที่สองร่วงลงมาจากท้องฟ้า กษัตริย์บรรพชนแรกได้สร้างรูใหญ่ขึ้นมาในโถงวังแห่งสถาบันแม่น้ำหย่ง ถัดไปนั้น ฟู่ยื่อลัว ชื่อซี ครูบาสวรรค์ชาวประมง และคนอื่นๆ ก็ร่วงลงมาจากชั้นเมฆ
ฉินมู่ร้องคำราม และประตูน้อมสวรรค์ก็เปิดขึ้นมาจากข้างหลังเขาอย่างเงียบงัน!
ในตอนนั้นเอง เงาร่างสามร่างก็เดินออกมาจากดวงจันทร์เพ็ญ