ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 712 ผู้เฒ่าใจดีและราชามารจุติ
ฉินมู่คิดคำนวณเพื่อดูว่าเขาจะออกแบบทักษะเทวะเสกสรรที่แม่นยำได้อย่างไร อันจะใช้เพื่อรักษาอาการบาดเจ็บของตี้อี้เยว่และไม่ทำอันตรายต่อสมองของนาง นักบุญคนตัดไม้เดินขึ้นไปบนหอดูดาวแห่งสถาบันแม่น้ำหย่ง และเขาก็ตระเตรียมที่จะร่ายเวทมนตร์ เขาต้องการที่จะช่วยให้ผู้คนแห่งมณฑลลี่โจวได้ดวงวิญญาณกลับคืนมา “หากว่าพวกเราปล่อยให้ผู้คนแห่งลี่โจวสูญเสียดวงวิญญาณไปนาน ก็จะเป็นอันตรายต่อร่างกายพวกเขา ข้าควรจะนำทางดวงวิญญาณและจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขากลับคืนมา”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกเผยสีหน้ากระวนกระวายและบอกเตือน “หากว่าพวกเราชิงดวงวิญญาณจากแดนใต้พิภพและฟื้นคืนชีพให้กับคนตาย พวกเราก็จะสูญเสียอายุขัย แม้ว่าครูบาสวรรค์จะเป็นเทพเจ้าที่มีอายุขัยไม่สิ้นสุด แต่หากว่าท่านทำให้ผู้นำทางความตายพิโรธขึ้นมา เขาก็จะยื่นมือมาคร่าวิญญาณของท่านไป หากว่าท่านไม่สามารถหลบหนีเคราะห์ภัยนี้ ท่านก็จะต้องทนทุกข์ทรมานในแดนใต้พิภพ และอาชญาอันใหญ่หลวงอาจจะถึงกับถูกภูติบดีกินเข้าไป แม้ว่าท่านจะหลบหนีจากเคราะห์ภัยครั้งนี้ได้ แต่หลังจากที่ท่านลงไปยังแดนใต้พิภพหลังความตาย ก็จะถูกภูติบดีจับกินอยู่ดี มณฑลลี่โจวนั้นกว้างใหญ่ มีผู้คนมากมาย ดังนั้นโทษทัณฑ์ของท่านจะต้องยิ่งหนักหนาอย่างแน่นอน!”
นักบุญคนตัดไม้กล่าว “แผนการของข้าคือการใช้ชีวิตของผู้คนในลี่โจวเหล่านี้เป็นเหยื่อ เพื่อล่อให้โหลอวิ๋นชวีและพรรคพวกโผล่หัวออกมา จากนั้นก็ใช้ฉินมู่เพื่อล่อเหยื่อโอรสหยินสวรรค์ ทั้งหมดนี้ต้องนับไว้บนหัวข้า แล้วข้าจะรักตัวกลัวตายไม่กู้ชีวิตพวกเขากลับมาได้อย่างไร เรื่องผลพวงทั้งหลายไว้ค่อยว่ากันใหม่หลังข้าตาย”
เขานั้นได้ศึกษาภาษาใต้พิภพและเวทมนตร์ใต้พิภพมาประมาณหนึ่ง การใช้นำทางวิญญาณจึงไม่ใช่เรื่องยาก
ภาษาใต้พิภพเปล่งออกมาจากปากของเขา และประตูก็ค่อยๆ ก่อรูปขึ้นเป็นตัวตนจากความว่างเปล่า มันค่อยๆ ปรากฏขึ้นมา
วิธีการเช่นนี้คล้ายคลึงกับนำทางวิญญาณฉบับดั้งเดิม และแตกต่างจากนำทางวิญญาณที่ฉินมู่พัฒนาขึ้น นำทางวิญญาณที่ฉินมู่พัฒนานั้นตรงไปตรงมาอย่างสุดกู่ ประตูน้อมสวรรค์จะปรากฏขึ้นทันทีหลังจากขับเคลื่อนเวทมนตร์ และเขาก็จะสามารถเพรียกขานดวงวิญญาณคนตายกลับออกมาจากแดนใต้พิภพอย่างง่ายดาย
นักบุญคนตัดไม้ต้องใช้ความพยายามและพลังวัตรมากกว่านั้นเพื่อขับเคลื่อนนำทางวิญญาณ แต่ผลลัพธ์นั้นแทบไม่แตกต่างกัน
เขายืนอยู่บนหอดูดาว และปราณมารใต้พิภพก็ไหลทะลักออกมาจากข้างหลังเขา ความมืดยิ่งมากก็ยิ่งหนาแน่น ตอนนี้เป็นเวลากลางวัน และแม้ว่าดวงตะวันจะสาดแสงเจิดจ้า แต่แสงอาทิตย์ก็ไม่อาจส่องผ่านการรุกรานของปราณมารใต้พิภพได้
ในปราณมาร ประตูหนึ่งตั้งตระหง่าน และดวงวิญญาณพรั่งพรูออกมา ก่อนที่จะลอยแยกย้ายไปยังทิศทางแตกต่างกันไป เมื่อพวกเขาเสาะพบกายเนื้อของตนเอง ก็จะกลับเข้าไปสถิตในนั้น และหลังจากนั้นสักพัก เจ้าของร่างก็จะค่อยๆ ฟื้นตื่นขึ้นมา
นักบุญคนตัดไม้ร่ายเวทมนตร์เพื่อเพิ่มขอบเขตพื้นที่ที่ปราณมารใต้พิภพเข้าคลี่คลุม ปราณมารแพร่กระจายไปในสถาบันแม่น้ำหย่ง และคลี่คลุมแม่น้ำหย่ง ก่อนที่จะไปถึงเมืองชนบทเขื่อนแม่น้ำ จากนั้นมันก็คืบคลานจากเขื่อนแม่น้ำไปยังเมืองชนบทอื่นๆ
จากประตูนั้น ดวงวิญญาณไหลออกมามากขึ้นทุกที และมีผู้คนที่ฟื้นตื่นมากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนั้นเอง แสงเลือนรางก็ปรากฏขึ้นในความมืด มันลอยเข้ามายังประตู
“ผู้นำทางความตายมาที่นี่แล้ว เขาคงจะมาจับกุมดวงวิญญาณของข้าไป”
นักบุญคนตัดไม้รู้สึกเศร้าจับใจ แต่ใบหน้าของเขานิ่งสงบ เขาคิดกับตนเอง ตราบเท่าที่ข้าไม่ทำให้คนอื่นต้องมาพัวพันไปด้วย นั่นก็ดีถมเถแล้ว เพื่อแลกชีวิตของข้ากับชีวิตของผู้คนในมณฑลลี่โจว ต่อให้ข้าตายก็ไม่เสียดายชีวิต ยิ่งไปกว่านั้นได้สร้างการบาดเจ็บสาหัสให้แก่โอรสหยินสวรรค์ ช่วยชีวิตตี้อี้เยว่ ยับยั้งภัยพิบัติไม่ให้ตกลงมา ทุกอย่างล้วนแต่คุ้มค่า ข้ามีศิษย์สามคน และพวกเขา…ล้วนแต่ไม่เป็นไร แม้ว่าจะไม่มีข้า พวกเขาก็ยังคงบุกบั่นไปข้างหน้าต่อได้
ความเศร้าในหัวใจของเขาจางหาย และเขารอชะตาสุดท้ายของตน
เรือน้อยลอยมายังประตูในความมืด และผู้เฒ่าบนเรือก็ลุกขึ้น เขาปลดตะเกียงลงมาและสาดแสงส่องไปยังนักบุญคนตัดไม้
จิตวิญญาณดั้งเดิมของนักบุญคนตัดไม้กลายเป็นหวั่นไหวไม่เสถียรจากแสงตะเกียง แต่เขาก็ยังคงพร่ำสวดภาษาใต้พิภพออกมาจากปาก เขาไม่กล้าปล่อยปละละเลยและได้แต่หวังว่าจะเพรียกขานดวงวิญญาณของผู้คนที่ตายอย่างไร้ความเป็นธรรมในลี่โจวกลับมาให้หมด ก่อนที่ผู้นำทางความตายจะลงมือ
เรือน้อยลอยออกมาจากประตู และผู้เฒ่านำทางความตายก็เดินเข้ามาในโลกแห่งคนเป็นจากแดนใต้พิภพ นักบุญคนตัดไม้แตกตื่นและชะงักเวทมนตร์ของเขาไปชั่วครู “ใต้เท้าราชันย์ขุนนางแห่งแดนใต้พิภพ ท่านจะให้เวลาข้าอีกสักหน่อยได้หรือไม่ เพื่อให้ข้าสำเร็จความปรารถนาสุดท้าย”
ผู้เฒ่านำทางความตายอ้าปากจะกล่าววาจา แต่ทันใดนั้นฉินมู่ก็ชะโงกหัวเข้าไปในประตูและดูประหลาดใจแกมยินดีที่เห็นเขา “ที่แท้ก็เป็นราชันย์ขุนนาง!”
ผู้นำทางความตายสีหน้าเปลี่ยนเป็นดำคล้ำ และเขากล่าว “ข้าคิดว่าเป็นเจ้าเสียอีกที่เพรียกขานดวงวิญญาณอยู่ ดังนั้นข้าจึงกะว่าจะมาดูสักหน่อย แต่สุดท้ายก็ไม่ใช่เจ้า ดังนั้นข้าจึงคิดว่าคนที่บังอาจเพรียกขานดวงวิญญาณ ก็มีกึ๋นใหญ่ใจกล้าไม่ใช่น้อย ในช่วงหลายวันมานี้ มีหลายคนที่มาเรียกดวงวิญญาณไปนั่นนี่ แดนใต้พิภพปั่นป่วนวุ่นวายไปหมด และภูติบดีก็ไม่ค่อยจะสบอารมณ์นัก”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ราชันย์ขุนนางโปรดละเว้นข้า ข้าคือคนที่ให้พวกเขาไปเพรียกขานดวงวิญญาณกลับมา ราชันย์ขุนนางคงไม่ได้ทำอะไรพวกเขาหรอกใช่ไหม”
ผู้เฒ่านำทางความตายยสีหน้ามืดดำ และแค่นเสียง
ฉินมู่รีบกล่าว “ผู้ที่เพรียกขานดวงวิญญาณในคราวนี้คืออาจารย์ของข้าเอง ข้านั้นกำลังมีธุระเต็มมือเกินกว่าจะมาเพรียกขานดวงวิญญาณ ดังนั้นเขาจึงรับหน้าที่นี้ เขาไม่รู้อะไรสักอย่าง เลยก่อเรื่องด้วยความไร้เดียงสา โปรดให้อภัยเขาหากว่าล่วงเกินราชันย์ขุนนางไปแต่อย่างใด ถ้าไม่งั้น ให้ข้าเป็นคนเพรียกขานดวงวิญญาณด้วยตนเองจะดีไหม”
ผู้เฒ่านำทางวิญญาณนิ่งอึ้งไปครู่หนึ่ง และน้ำเสียงของเขาก็แข็งฝืด “ไม่จำเป็น แม้ว่าผนึกจะแน่นหนาดี แต่พวกเราก็ยังต้องจัดการเรื่องราวอย่างระมัดระวัง นี่เพื่อป้องกันไม่ให้เจ้าเผลอป้อนพี่ชายเจ้าด้วยดวงวิญญาณที่เจ้าเพรียกขานมา”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไม่ต้องกังวล ราชันย์ขุนนาง ใบหลิวบนหว่างคิ้วข้าแปะเอาไว้เป็นอย่างดี และไม่เคยปลดมันลงมาเลย พี่ชายของข้าวิ่งออกมาเพ่นพ่านไม่ได้หรอก”
ผู้เฒ่านำทางความตายสีหน้าอ่อนลงและชี้แนะ “หากว่าเจ้าไม่ปลดลงมานั่นก็จะดีที่สุด หากว่าเจ้าปล่อยให้พี่ชายของเจ้าออกมาเพ่นพ่าน ภูติบดีก็จะต้องมาตามล้างตามเช็ดให้เจ้าอีก การเพรียกขานดวงวิญญาณในครั้งนี้ข้าจะไม่สืบสาวราวเรื่อง แดนใต้พิภพมีกฎตราไว้ว่า ในเจ็ดวันแรกของคนตายไม่นับว่าตายอย่างสิ้นเชิง และพวกเขาก็ยังสามารถฟื้นคืนชีพได้อยู่ ดังนั้นไม่ใช่ว่าแดนใต้พิภพเกรงกลัวเจ้าและไม่ใช่ว่าข้าเห็นแก่หน้าเจ้า แต่มันมีกฎเช่นนี้อยู่จริงๆ เจ้าก็ต้องระมัดระวังด้วย”
ฉินมู่รับคำและกล่าว “รักษาตัวด้วย”
ผู้เฒ่านำทางความตายขึ้นเรือเล็กและกลับไปในความมืด
ฉินมู่จึงวิ่งตื๋อกลับมาจากนักบุญคนตัดไม้ที่ยืนอ้าปากค้างอยู่บนหอดูดาว เขาไม่ฟื้นสติกลับมาเป็นนานสองนาน
“พี่ทางเต๋า ข้าอิจฉาเจ้าจริงๆ ที่มีศิษย์อันเหนือธรรมดาเช่นนี้ แม้แต่แดนใต้พิภพก็ยังอยากได้ตัวเขามาเข้าร่วม”
ฟู่ยื่อลัวถอนหายใจและเต็มไปด้วยความอิจฉา “เจ้าปลุกปั้นเขามาได้อย่างไรถึงโดดเด่นไม่ธรรมดาเช่นนี้ เจ้าสอนข้าบ้างได้หรือไม่”
เทพชื่อซีก็เงี่ยหูฟังอยู่ข้างๆ และไม่กล้าพลาดไปแม้แต่คำเดียว
นักบุญคนตัดไม้อ้าปาก “ข้า…” แต่เขาพูดต่อไม่ออก
เจ้าหมอนี่ มีชื่อเสียงว่าเป็นนักบุญ แต่ก็ยังปกปิดความลับจากพวกข้า! ชื่อซีรู้สึกโกรธคุกรุ่น
เขาไม่เคยรู้สึกดีกับนักบุญคนตัดไม้เลย และก็ยิ่งมองแย่หนักกว่าเก่า
นักบุญคนตัดไม้อธิบายไม่ได้ เขาจึงได้แต่เพรียกขานดวงวิญญาณต่อ เขาคิดในใจอย่างย้ำหนัก ข้าเคยสอนอะไรเขามาก่อนด้วยหรือ ทำไมข้าไม่เห็นรู้เลย…
ฉินมู่วิ่งกลับไปที่ข้างกายตี้อี้เยว่ และนางก็มองไปที่เขาอย่างสนอกสนใจ นางถามเขาอย่างแผ่วเบา “เจ้ารู้จักราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์ด้วยหรือ”
ฉินมู่เพ่งสมาธิกับการออกแบบอักษรรูนและไม่เงยหน้าขึ้นมาด้วยซ้ำ “ข้ารู้จักเขา พวกเราเคยพบปะกันหลายครั้ง และเขาก็เป็นผู้เฒ่าที่พูดจาคบหาง่าย”
ตี้อี้เยว่จ้องด้วยดวงตาเบิกกว้างและไม่รู้จะหัวเราะหรือร่ำไห้ “เขาพูดจาคบหาง่าย? เจ้ารู้หรือไม่ว่าราชันย์ศักดิ์สิทธิ์เมตตาเทียมสวรรค์นั้นเป็นบุคคลอันดับสองแห่งแดนใต้พิภพ ตัวตนที่เป็นรองก็เพียงแต่ภูติบดี หากว่าเขาพูดจาคบหาง่าย ไม่ใช่ว่าเทพเจ้าทั้งหลายที่เขาสังหารและกระชากวิญญาณออกไปจะไม่คร่ำครวญวิงวอนขอหนทางรอดหรอกหรือ หากว่าใครแตะต้องกับกฎของแดนใต้พิภพ เขาก็จะไม่หยุดยั้งให้กับผู้ใดหรือสิ่งใด แม้ว่าจะต้องทำลายล้างโลกก็ตาม!”
ฉินมู่นำเอาอักษรรูนเสกสรรที่เขาออกแบบออกมาและทดลองมัน เขาส่ายหัวและกล่าว “นั่นต้องเป็นแค่ข่าวลือแน่นอน ราชันย์ขุนนางนั้นเป็นผู้เฒ่าใจดี ข้ากำลังจะร่ายเวทมนตร์และรักษาอาการบาดเจ็บให้ท่าน”
ตี้อี้เยว่ยืนอย่างเรียบๆ ร้อยๆ และเลิกขยับเขยื้อน
ฉินมู่ต้องการจะลงมือรักษา แต่เขารู้สึกไม่สะดวก ดังนั้นจึงได้แต่ออกปาก “พี่สาว ท่านสูงเกินไปแล้ว ท่านควรจะนอนลงเพื่อให้ข้ารักษาสะดวก”
ตี้อี้เยว่นอนลงไปตามที่เขาบอก และลอยอยู่บนอากาศสูงจากพื้นห้าคืบ
เรือนผมอันงดงามของนางตกลงไปราวกับน้ำตกและสะท้อนประกายแวววับ เสื้อผ้าสีดำของนางก็ตกลงไปราวกับผ้าไหมนุ่ม และฉินมู่ก็ปรายตามองหน้าอกของนางก็ชูชันขึ้นแม้ว่าจะนอนราบลงไปแล้ว เขาอุทานด้วยความทึ่งอยู่ในใจ พี่สาวสวยจริงๆ
แม้ว่าเด็กหนุ่มใสซื่อจะมองที่ใบหน้าด้วย แต่เพราะการสั่งสอนของผู้เฒ่าตั้งแต่ยังเล็กๆ ว่าไม่ควรมองเพียงแค่ใบหน้า เขาจึงมองไปที่หน้าอกหน้าใจด้วย
เด็กสาวใดที่หน้าอกใหญ่คือผู้สะสวยคนหนึ่ง
เขาร่ายเวทหลังจากสงบใจตนเองลง มีอักษรรูนไม่กี่ตัวที่จำเป็นต้องใช้เพื่อซ่อมแซมบาดแผลบนศีรษะของตี้อี้เยว่ และเขาเพียงต้องการอักษรรูนจากสำนึกรู้เทพอมตะสามจิตวิญญาณดั้งเดิมและจากคัมภีร์ปริศนาเสกสรรไม่รั่วไหล ที่พุ่งเป้าไปยังหน้าผากและสมอง แต่ทว่าประเด็นสำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นว่า จะสร้างเนื้อเยื่อขึ้นมาใหม่ได้อย่างไร และไม่ทำให้เนื้อเยื่อสมองส่วนอื่นงอกเกินมาด้วย
สาเหตุที่ฉินมู่ต้องคำนวณอยู่นานขนาดนี้ก็เพราะแบบนั้น
นอกจากนั้น เขายังต้องแก้ไขอักษรรูนเสกสรรบางตัวและจัดเรียงโครงสร้างใหม่ มันเป็นครั้งแรกของเขา ดังนั้นเขาจึงต้องระมัดระวังเป็นพิเศษ
เพราะถึงอย่างไร สมองก็เป็นส่วนที่บอบบาง มีเนื้อเยื่องอกกลับมาน้อยไปก็ไม่ดี งอกมามากเกินไปก็ไม่ดี
ยิ่งไปกว่านั้น ตี้อี้เยว่ไม่ได้มีเพียงแค่บาดแผลบนกายเนื้อ แต่นางยังมีรูโบ๋ในจิตวิญญาณดั้งเดิมของนาง สาเหตุที่ฉินมู่ออกแบบอักษรรูนใหม่ ก็เพื่อรักษาบาดแผลบนจิตวิญญาณดั้งเดิมของนางด้วย
เขาร่ายเวทมนตร์อย่างระมัดระวัง และเห็นเนื้อเยื่อที่ข้างหลังสมองของตี้อี้เยว่ค่อยๆ งอกกลับมา ส่วนที่ขาดหายไปค่อยๆ เติบโตขึ้นเพื่อเติมเต็มรูแผลอันน่ากลัวนี้
ทุกกิริยาของฉินมู่ระมัดระวังอย่างถึงที่สุด รอยชั้นพยุหะปรากฏในแก้วตาของเขา และเขาจ้องไปที่รูแผลในหน้าผากของตี้อี้เยว่ เขาตรวจสอบการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อสมองอย่างถี่ถ้วน
เขาควบคุมพลังวัตรของตนและเปลี่ยนอักษรรูนให้ละเอียดยิบกว่าเดิม เมื่อเนื้อเยื่อสมองงอกกลับมาหมดในที่สุด เขาก็เปลี่ยนอักษรรูนอย่างระมัดระวังเพื่องอกกระดูกในจุดที่นางมีบาดแผล
เมื่อกระดูกงอกกลับมาแล้ว ฉินมู่ก็เปลี่ยนอักษรรูนอีกครั้ง คราวนี้เพื่อซ่อมแซมผิวหนังบนหน้าผาก
“มู่เอ๋อ นักปรุงยาอย่างพวกข้าจะตกงานกันหมดแล้ว” เสียงของนักปรุงยาดังมา
อักษรรูนตัวสุดท้ายของฉินมู่กะพริบวูบ และมันก็สลายไปในที่สุด ตี้อี้เยว่แตะหน้าผากของนางและแตกตื่นอย่างล้นเหลือ นางกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ปรมาจารย์มหาเวทได้เยียวยาข้าราวกับมือภูตเทพรังสรรค์ ด้วยวิชาเสกสรรของเจ้าอย่างแท้จริง!”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่สาวโปรดพลิกตัว ยังคงมีรูอยู่ข้างหลังศีรษะท่านที่ยังไม่ได้ซ่อมแซม…ช้าๆ ระวังสมองท่านไหลออกมา ท่านปู่นักปรุงยา วิชาเสกสรรไม่สามารถทดแทนวิชาแพทย์ได้หรอก และมันก็ไม่สามารถไปแทนที่นักปรุงยาคนอื่นๆ ได้”
หลังจากรักษาข้างหลังศีรษะของตี้อี้เยว่แล้ว เขาก็กล่าว “วิชาเสกสรรนั้นเป็นสิ่งที่ยากจะสำเร็จเชี่ยวชาญ ไม่ใช่ว่าจะเป็นไปไม่ได้ที่จะฝึกปรือจนทัดเทียมข้า แต่ต้องใช้ทั้งปฏิภาณที่ล้ำเลิศเหมือนข้า และต้องฝึกฝนเป็นเวลาหลายหมื่นปีอย่างขะมักเขม้น พวกเขาถึงจะทำได้เช่นกัน”
แม้ว่าคนอื่นๆ จะไม่รู้ความยากเย็นของวิชาเสกสรร แต่เขารู้เป็นอย่างดี ความสำเร็จของเขาในวิชาเสกสรรนั้นหลักๆ แล้วมาจากสำนึกรู้ของจักรพรรดิแดงฉาน หากว่าเขาไม่ได้รับสำนึกรู้จักรพรรดิแดงฉานมา ก็ไม่รู้ว่าใช้เวลานานเท่าไรเขาถึงจะตรึกตรองเข้าใจจนก้าวมาถึงระดับนี้
“ยิ่งไปกว่านั้น ร่างกายมนุษย์เป็นระบบใหญ่ และกายเนื้อของเทพเจ้าก็เป็นโลกเล็กๆ ใบหนึ่ง วิชาเสกสรรสามารถซ่อมแซมร่างกาย แต่เพื่อที่จะธำรงรักษาสมดุลของระบบร่างกายมนุษย์ และโลกมิติกายเนื้อของเทพเจ้า นั่นก็ยังต้องพึ่งนักปรุงยา”
ฉินมู่สลายอักษรรูนของเขาและนำเอากระจกบานเล็กส่งให้ตี้อี้เยว่ “พี่สาว โปรดชมดู แผลหายกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อนไหม”