ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 716 จ้าวผู้ปกครองและเสนาบริพารเป็นหนึ่งเดียว
- Home
- ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods
- ตอนที่ 716 จ้าวผู้ปกครองและเสนาบริพารเป็นหนึ่งเดียว
ฉินมู่และคณะไปยังเคหาสน์ราชครู แต่เขาไม่ได้อยู่ที่นั่น ภริยาของราชครูกำลังสอนบุตรของนาง และนางก็รีบนำบุตรออกมาต้อนรับพวกเขา “สามีของข้าได้ไปเข้าพบจักรพรรดิ และเขายังไม่กลับมาหลายวันแล้ว อวิ๋นเจียน มาพบพ่อทูนหัวของเจ้าสิ!”
เด็กข้างๆ นางนั้นอายุเพียงสามสี่ขวบ และเขาก็เรียกฉินมู่ว่าพ่อทูนหัวด้วยเสียงของทารก
ฉินมู่สีหน้าแดงฉานขึ้นมาและพึมพำ “พี่สะใภ้ ข้ายังไม่ทันแต่งงาน ข้าจะไปเป็นพ่อทูนหัวได้อย่างไร”
ภริยาราชครูกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เมื่ออวิ๋นเจียนเพิ่งจะเกิด เขาก็ได้กราบกรานเจ้าเป็นพ่อทูนหัวแล้ว จ้าวลัทธิคิดจะปฏิเสธเอาตอนนี้หรือ”
ฉินมู่คิดอยู่นิดหนึ่ง และเขาก็เอาปีกใหญ่มหึมาออกจากถุงเต๋าตี้ เขาเด็ดเอาขนนกเพลิงเส้นหนึ่งออกจากปีกและกล่าว “นี่คือขนนกหงส์แดง มันเป็นขนนกของยอดฝีมือขั้นแท่นประหารเทพ ให้อวิ๋นเจียนเอามันไปเล่น ข้าไม่อาจให้ปีกนี้ทั้งปีกได้ มันทั้งหนักและอันตราย แต่ขนนกนั้นเบาหวิว รอครู่หนึ่ง ให้ข้าสะกดข่มไฟศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงในขนนกเส้นนี้”
เขาใช้อักษรรูนจากเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งไฟสวรรค์เพื่อปิดผนึกไฟศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงเอาไว้ หลังจากนั้นจึงส่งขนนกหงส์แดงที่ยาวสามคืบให้แก่เจียงอวิ๋นเจียน เด็กชาวแกว่งขนนกไปยังสิงโตหินที่ประตู และลำแสงไฟก็ตัดสิงโตหินออกเป็นสองเสี่ยง
ภริยาราชครูกระโดดโหยงด้วยความตกใจและรีบคว้าขนนกออกไป “ข้าจะให้เจ้าเล่นอีกทีตอนที่โตกว่านี้!”
ฉินมู่นำคนตัดไม้ ตี้อี้เยว่ และบรรพชนแรกไปยังวังหลวง จักรพรรดินีกล่าว “ราชครูลักพาตัวฝ่าบาทไป เขากล่าวว่าจะพากันไปที่มหาวิทยาลัยจักรวรรดิ แต่ผ่านมาหลายวัน เขาก็ยังไม่ส่งตัวฝ่าบาทกลับมา ตอนนี้เป็นรัชทายาทที่ดูแลจักรวรรดิและบริหารกิจการบ้านเมือง”
พวกเขาเดินทางไปยังมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ และกู่ลี่หนวนก็ส่ายศีรษะ “ฝ่าบาทและราชครูไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยเช่นกัน พวกเขามาที่นี่อยู่พักหนึ่งและรวบรวมบัณฑิตทั้งหลายไปก่อสร้างเรือตะวันและเรือจันทรา พวกเขาจึงนำบัณฑิตมากมายเหล่านั้นไปยังโรงงานผลิตสุสานแม่น้ำ ฝ่าบาทก็ได้ติดตามไปด้วย”
ตี้อี้เยว่กล่าว “ฝ่าบาทผู้นี้มิได้เอาแต่นั่งอยู่บนบัลลังก์มังกร เขาตระเวนไปรอบๆ อย่างไม่หยุดหย่อน”
พวกเขาไปยังสุสานแม่น้ำ และที่นั่นคือบ้านเกิดของราชครูสันตินิรันดร์ มันมีโรงงานผลิตมากมายที่สุด นับได้ราวๆ ร้อยโรง
ก่อนที่พวกเขาจะได้เห็นจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงและราชครู พวกเขาก็ได้เห็นเรือใหญ่มหึมามากมายแล่นกลับไปกลับมา พวกมันกำลังขนบรรทุกชิ้นส่วนมหึมาอันเพริศแพร้วประณีตตรงไปยังโรงงานผลิตที่ใหญ่ที่สุดในสุสานแม่น้ำ
ชิ้นส่วนเหล่านั้นดูเหมือนว่าจะเป็นส่วนประกอบสำหรับเรือตะวันและเรือจันทรา
เรือตะวันและเรือจันทราในยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งถูกหลอมสร้างขึ้นมาจากหินศิลา และเมื่อมาถึงยุคสมัยนี้ พวกมันถูกสร้างขึ้นจากโลหะ ทำให้เกิดความตึงเครียดเป็นอย่างมากในด้านทรัพยากร
ฉินมู่เห็นแม้กระทั่งหญิงสาวมากมายแห่งตำหนักสวรรค์แท้แผ่นดินตะวันตกที่กำลังช่วยงานอยู่ และดรุณีน้อยที่เป็นผู้นำนั้นคือคนที่เขารู้จักมักคุ้น นั่นคือเสียงฉีเอ๋อ ธิดาของเสียงซีอวี่
เขาไม่ได้พบนางมาหลายปี และเสียงฉีเอ๋อก็เติบโตขึ้นมาเป็นแปดเก้าขวบ นางกำลังร่ายเวทมนตร์ในโรงงานผลิต และทำให้ทุกชิ้นส่วนเกิดมีชีวิตขึ้นมา ทำให้ชิ้นส่วนใหญ่มหึมาเหล่านั้นลอยขึ้นไปด้วยตนเองและประกอบเข้าด้วยกันโดยอัตโนมัติ
“พี่ชายจ้าวลัทธิ!”
เสียงฉีเอ๋อดีใจมากที่ได้เจอเขา และยิ่งดีใจเข้าไปใหญ่เมื่อเห็นกิเลนมังกร นางวิ่งตื๋อเข้ามาและโยนฉินมู่ไปข้างๆ เพื่อเข้าไปกอดหนวดของกิเลนมังกร
ฉินมู่ถูกเด็กหญิงน้อยวิ่งหลบและเห็นนางไต่ปีนขึ้นไปบนหางกิเลนมังกร กิเลนมังกรยกหางของเขาขึ้น และนางก็ไถลรูดลงมาตลอดทางจนถึงหัวของเขาพลางหัวเราะคิกคักไม่หยุด
“ทุกชิ้นส่วนเรือตะวันที่ราชครูและจักรพรรดิกำลังสร้างขึ้นมาดูเหมือนว่าจะออกมาจากเบ้าหลอมเดียวกัน ทุกๆ โรงงานผลิตรับหน้าที่ผลิตชิ้นส่วนสิบกว่าชิ้น อันจะนำมาประกอบเข้าด้วยกัน”
ฉินมู่ตกตะลึง และเขาก้าวเข้าไปเพื่อตรวจสอบชิ้นส่วนเหล่านั้น อักษรรูนบนชิ้นส่วนสามารถเกาะเกี่ยวเชื่อมต่อกันได้ และพวกมันก็เพริศแพร้วประณีตเป็นอย่างยิ่ง ด้วยเวทมนตร์แผ่นดินตะวันตกทุกสิ่งมีดวงจิต ชิ้นส่วนเหล่านั้นก็สามารถประกอบเข้าด้วยกันได้อย่างรวดเร็ว
“นี่เป็นวิธีการผลิตเรือตะวันและเรือจันทราทีละมากๆ ที่ยอดเยี่ยมยิ่ง!” ฉินมู่อุทานอย่างไม่หยุดปาก
นักบุญคนตัดไม้ออกแบบเรือตะวันและเรือจันทรา แต่สองมหาสมบัติวิเศษที่ถูกสร้างขึ้นมาในสมัยจักรพรรดิก่อตั้งนั้นละเอียดประณีตสุดๆ ดังนั้นเรือจึงมีขนาดแตกต่างกันไป และเวลาที่ใช้สร้างเรือหนึ่งลำก็ยาวนานกว่าเล็กน้อย
ด้วยโรงงานผลิตทั้งหลายในสุสานแม่น้ำ พวกเขาก็สามารถสร้างเรือตะวันและเรือจันทราด้วยความเร็วสุดขีดขั้ว!
เมื่อพวกเขาไปพบราชครูสันตินิรันดร์และจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง ทั้งสองคนก็กำลังงีบหลับอยู่ในโรงงานผลิต ผู้คนแห่งเผ่าดำดินนั้นกำลังแบกเอาชิ้นส่วนมากมายออกมา และเผ่าเทวะที่มีขนาดไม่ถึงห้าคืบก็เคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วรอบๆ ชิ้นส่วนเหล่านั้น
“พวกเจ้ามาตามหาจักรพรรดิบ้านนอกงั้นหรือ”
นายหญิงถู่ลูบเคราของนาง และเสียงของก็กึกก้องปานฟ้าผ่า “พวกเขานอนเป็นตายอยู่ที่นั่น!”
ฉินมู่ คนตัดไม้ และคณะ มองไปยังจุดที่นางชี้ และเห็นชายสองคนนอนแผ่อยู่ตรงมุมหนึ่งของโรงงานผลิต เสียงกึกก้องของการหลอมสร้างสะท้านกังวานไปในโรงงาน แต่กระนั้นทั้งสองคนก็ยังคงหลับสนิท
ราชครูสันตินิรันดร์และจักรพรรดิเอี้ยนเฝิงล้วนแต่เป็นชายหนุ่มรูปงาม และแม้ว่าพวกเขาจะอยู่ในวัยกลางคน ก็ยังใส่ใจกับการแต่งตัวและรูปร่างหน้าตา
แต่ทว่า ในตอนนี้ทั้งสองคนมีหนวดหร็อมแหร็มระเกะระกะ และเสื้อผ้าของพวกเขาก็ทั้งมอมแมมและครำคร่า เท้าราชครูสันตินิรันดร์ก่ายอยู่บนหน้าจักรพรรดิเอี้ยนเฝิง ขณะที่จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงกอดขาราชครูหลับครอกๆ
ข้างๆ พวกเขาคือขุนนางมากมายจากสภาราชสำนัก และบัณฑิตทั้งหลายจากมหาวิทยาลัยจักรวรรดิ พวกเขาล้วนแต่นอนระเนระนาดอยู่ในมุมโรงงานผลิตนี้ และหลับอย่างไม่รู้เรื่องรู้ราว
ตี้อี้เยว่นิ่งไปครู่หนึ่ง และนางก็พลันคลี่ยิ้มออกมา “ตอนนี้ข้ารู้แล้วว่าทำไมครูบาสวรรค์ใหญ่ถึงมีความหวังกับพวกเขาสูงส่งนัก จักรพรรดิเช่นนี้ ราชครูเช่นนี้ พวกเขาสมกับเป็นผู้นำแห่งการปฏิรูปจริงๆ”
นักบุญคนตัดไม้กล่าว “ข้าต้องปลุกพวกเขาขึ้นมาหรือไม่”
“ไม่จำเป็น พวกเขาเป็นเทพเจ้า แต่กระนั้นก็ยังเหน็ดเหนื่อยหมดแรงขนาดนี้ แสดงว่าพวกเขาได้กรำงานหนักในช่วงหลายวันที่ผ่านมาอย่างแท้จริง”
ตี้อี้เยว่กล่าว “ข้าไม่เคยคิดว่าจักรพรรดิคนหนึ่งจะลงมาจัดการเรื่องราวไม่สลักสำคัญเหล่านี้ด้วยตนเอง และข้าก็ไม่คิดเลยว่าราชครูที่รับผิดชอบการปฏิรูปจะลงมาคลุกคลีกับทุกอย่างด้วยตนเอง ราชครูผู้นี้ทำได้ดีกว่าที่เจ้าเคยทำเมื่อครั้งกระโน้น”
นักบุญคนตัดไม้กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเพียงแต่คิดเรื่องนู้นเริ่มเรื่องนี้ และปล่อยให้คนอื่นดำเนินการต่อ จริงๆ แล้วข้าไม่ชอบความยุ่งยาก ดังนั้นจึงลงมือทำสิ่งต่างๆ ด้วยตนเองน้อยครั้งนัก”
ตี้อี้เยว่กล่าว “เจ้าเป็นนักบุญผู้ศักดิ์สิทธิ์ เจ้านั้นอยู่ห่างไกลจากผู้คน”
นักบุญคนตัดไม้นิ่งงันไป และเขาก็กล่าวอย่างขมขื่น “ราชาสวรรค์กล่าวถูกแล้ว เมื่อครั้งกระโน้น ยามที่ภัยพิบัติปะทุขึ้นมา ข้าได้นำทุกๆ คนไปต่อสู้ แต่กองทัพก็แตกกระจายเหมือนกับภูเขาที่พังทลาย ตอนนั้นข้าจึงตระหนักได้ว่าข้าอยู่ห่างไกลจากผู้คนมากเกินไป ในฐานะครูบาสวรรค์ ข้าจะต้องจัดการเรื่องราวจากตำแหน่งที่สูงล้ำทางยุทธศาสตร์ แต่ก็ยังต้องเข้าไปในกองทัพเพื่อเข้าไปในแดนของคนทั่วไป ข้านั้นอยู่ห่างเกินไปมาก และข้าได้ขับเคลื่อนเรื่องราวโดยไม่มีการไตร่ตรองที่ถี่ถ้วน ทำให้พ่ายแพ้ยับเยิน เมื่อมาพูดไปแล้ว ข้ายังด้อยเสียยิ่งกว่าองค์ชายอู่”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกตะลึงไปเล็กน้อย และมองไปที่เขาอย่างไม่เชื่อหู
นักบุญคนตัดไม้กล่าว “อันที่จริงแล้ว แม้ว่าข้าไม่อยากที่จะพบหน้าเขาในช่วงเวลาสองหมื่นปีที่ผ่านมา แต่ข้าก็นับถือเขาอยู่เสมอ ในช่วงเวลาแห่งความโกลาหล แม้ว่าเขาจะกลายเป็นทหารหนีทัพ แต่เขาก็ยังยืดตัวตรงเข้าไปแบกรับความรับผิดชอบเมื่อเห็นผู้คนต้องตกระกำลำบาก เขาปกป้องผู้คนเหล่านั้น และเขาก็ต่อสู้อย่างสุดลมหายใจ เอาชีวิตเข้าแลกเพื่อคุ้มกันพวกเขามาถึงสันตินิรันดร์ หากว่าไม่มีองค์ชายอู่ ก็คงไม่มีสันตินิรันดร์ในอนาคต”
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกน้ำตาคลอเบ้า และเขาเบือนหน้าจากไปเพื่อลอบปาดป้ายดวงตา
นักบุญคนตัดไม้เห็นทุกสิ่งทุกอย่างและกล่าว “แต่สุดท้ายเขาก็ยังจมลงไปในความหดหู่ซึมเศร้า และเอาแต่กล่าวโทษตนเอง เขาไม่มีวันเดินออกมาจากเงื้อมเงาความเป็นคนหนีทัพของเขาไปได้ นั่นจึงเป็นเหตุให้ข้าดูแคลนเขา บัดนี้เมื่อเขาหลุดพ้นมาแล้ว ข้าก็ปลื้มใจ อันที่จริง ในภัยพิบัติครั้งนั้น เขาทำได้ดีกว่าข้า”
ตี้อี้เยว่แย้มยิ้มและกล่าว “ไม่จำเป็นต้องรบกวนพวกเขาหรอก พวกเราไปกันเถอะ”
พวกเขาเดินออกมาจากโรงงานผลิต หลังจากที่เสียงฉีเอ๋อละเล่นอยู่สักพักหนึ่ง นางก็กลับไปทำงาน และประกอบเรือใหญ่ขึ้นมาได้ลำหนึ่ง
เด็กหญิงน้อยนำเอาลูกแก้วพยัคฆ์ขาวออกมาและเคาะลงไปที่ลูกแก้วเบาๆ เรือพิภพขนาดมหึมาค่อยๆ ลุกขึ้นยืน และพื้นดินก็สะเทือนหวั่นไหวอย่างไม่หยุดหย่อน
ในโรงงานผลิต จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงและราชครูสันตินิรันดร์สะดุ้งตื่น พวกเขารีบวิ่งออกมา และเมื่อพวกเขาเห็นเรือยักษ์มีชีวิต พวกเขาก็กอดกันและกันด้วยน้ำตาและเสียงหัวเราะ
ฉินมู่เรียกกิเลนมังกรมา และจากไปยังที่ไกลๆ พร้อมกับตี้อี้เยว่และคณะ จักรพรรดิเอี้ยนเฝิงเห็นกิเลนมังกรแต่ไกลๆ และเขาก็กล่าวอย่างงุนงง “ขุนนางฉินมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมเขาถึงไปเสียแล้วล่ะ? เขากล้าดีอย่างไรถึงไม่มาคารวะข้าและราชครูที่อยู่ที่นี่! มหาดเล็ก เอาพู่กันกับหมึกของข้ามา! วันนี้เป็นวันรื่นเริงยินดี ข้าจะขีดเส้นหนาๆ ให้กับเขาสักขีด!”
คนตัดไม้จากไป และเขากล่าว “ข้ายังต้องลองตามหาชาวนาและติดต่อกับคนอื่นๆ อีก ข้าไม่อาจอยู่ที่นี่ได้ ชาวประมง ไปกันเถอะ”
ผู้เฒ่าตกปลาจากไปพร้อมกับเขา
กษัตริย์มนุษย์บรรพชนแรกก็กล่าวลา “ข้ามีเรื่องที่จะต้องทำ” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็รีบจากไป
ฉินมู่กะพริบตาปริบๆ และส่งพวกเขาจากไป เขาคิดกับตนเอง ไม่แปลกที่อาจารย์คนตัดไม้จะมีธุระมาก แต่ทำไมบรรพชนแรกก็มีเรื่องต้องทำเช่นกันด้วยล่ะ เขามีธุระอะไร
ตี้อี้เยว่มองไปที่เขาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “น้องชาย เจ้าก็มีธุระเหมือนกันหรือเปล่า หากว่าไม่ ทำไมเจ้าไม่ตามข้าไปตามหาราชาสวรรค์เถียนฉู่และช่วยท้าวยมราชรื้อสร้างยมโลกขึ้นมาใหม่สักหน่อยล่ะ พวกเราสามารถไปเยี่ยมเยียนเทพีหยินสวรรค์ และหลังจากไปคารวะทักทายนางแล้ว พี่สาวจะพาเจ้าไปตระเวนคารวะทักทายเทพสรรพชีวิต ภูติบดี และยอดฝีมือบัลลังก์จักรพรรดิคนอื่นๆ มันจะเป็นประโยชน์ต่อเจ้าอย่างยิ่ง!”
ฉินมู่หวั่นไหวไม่น้อย
หากว่าเขาสามารถติดตามยอดยุทธขั้นบัลลังก์จักรพรรดิอย่างตี้อี้เยว่ไปเยือนคารวะเหล่าเทพศักดิ์สิทธิ์ก่อนฟ้าดินทั้งหลาย ขอบฟ้าวิสัยทัศน์ของเขาก็จะขยายออกไปอย่างยิ่ง!
“ข้ายังมีไจกระบี่ที่ต้องขัดเกลา…”
ฉินมู่ลังเลและกล่าว “พี่สาว ทำไมท่านไม่ไปพบกับเทพีหยินสวรรค์เสียก่อนล่ะ หลังจากที่ข้าขัดเกลาไจกระบี่ของข้าเสร็จแล้ว ข้าก็จะไปตามหาท่านที่ยมโลก”
ตี้อี้เยว่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “แบบนั้นก็ได้เหมือนกัน ข้าจะไปตามหาเถียนฉู่ เขานั้นขี้ตื่นกลัว ดังนั้นข้าไม่รู้ว่าเขาไปซ่อนอยู่ที่ไหนในตอนนี้ หลังจากที่เจ้าขัดเกลากระบี่ของเจ้าเสร็จแล้ว หากว่าหาพวกข้าในยมโลกไม่เจอ ก็จงไปที่โลกหยินสวรรค์”
ฉินมู่ผงกศีรษะ และตี้อี้เยว่ก็เหาะจากไปเช่นกัน
“มังกรอ้วน พวกเราไปโรงงานผลิตแม่น้ำโคลนกัน!”
ฉินมู่กระโดดขึ้นไปบนหลังกิเลนมังกร และกิเลนมังกรก็พาเขาวิ่งตะบึงไป
ในโรงงานผลิต ไจกระบี่ขนาดห้าสิบวาได้ลดลงเหลือแค่สิบห้าวา และแม้แต่เครื่องจักรยักษ์ก็ไม่อาจกลึงมันให้มีขนาดเล็กลงไปกว่านี้ได้
ฉินมู่นำเอาปีกนกหงส์แดงออกมาและใช้ไฟศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงเพื่อขัดเกลาไจกระบี่ จิตวิญญาณดั้งเดิมของเขาก้าวเข้าไปใช้ค้อนทุบกลึงไจกระบี่ด้วยตนเอง เขาใช้พลานุภาพของไฟศักดิ์สิทธิ์หงส์แดงเพื่อฝังประทับอักษรรูนของเขาเข้าไปในไจกระบี่
หลังจากสิบกว่าวัน ไจกระบี่ก็กลายเป็นขนาดสามคืบ แต่มันยังไม่อาจเลื่อนไหลไปดุจสายน้ำ
ฉินมู่เก็บปีกกลับและใช้ทักษะเทวะไฟสวรรค์เพื่อขัดเกลาไจกระบี่ หลังจากผ่านไปครึ่งเดือน ไจกระบี่ก็มีขนาดเหลือเพียงหนึ่งคืบ
หลังจากทดลองใช้สอยมัน การขับเคลื่อนปราณชีวิตเต็มไปด้วยความยากลำบาก และเขาต้องใช้พลังงานไปอย่างมากเพื่อแปรเปลี่ยนไจกระบี่ให้กลายเป็นกระบี่บินเพื่อสังหารศัตรู
ข้าฝึกปรือทั้งมรรคาเทพและมาร บางทีข้าอาจจะต้องใช้ไฟมารเพื่อขัดเกลาด้วย…
ฉินมู่ใจหวั่นไหว “จะเกิดอะไรขึ้นนะหากว่าข้าขับเคลื่อนไฟสวรรค์ด้วยวรยุทธมรรคามาร”
เขากะพริบตาปริบๆ และพลันลงมือทดลองทันที เขาพลันนึกอะไรขึ้นมาได้ และเคลื่อนย้ายไจกระบี่ออกจากโรงงาน จากนั้นก็เลือกสถานที่อันรกร้างก่อนที่จะนำเอาแท่งผลึกไฟสวรรค์ออกมา สมบัติเทวะของเขาพลิกกลับ และในเสี้ยวพริบตานั้น ปราณมารก็อัดแน่นไปทั้งร่างกายเขา
ฉินมู่ขับเคลื่อนแท่งผลึกไฟสวรรค์และกระตุ้นพลานุภาพของไฟสวรรค์
ข้างนอกโรงงาน กิเลนมังกรกำลังหลับปุ๋ย แต่ทันใดนั้นเขาก็ได้ยินเสียงระเบิดกัมปนาท เขารีบโงหัวขึ้นและปรือตาดู เขาเห็นเพลิงดำพวยพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้า ห่างจากที่นี่ไปหลายสิบลี้
กิเลนมังกรหาวและลุกขึ้นยืนอย่างง่วงงุน เขาเดินไปข้างหน้าสองก้าว ก่อนจะล้มตัวลงนอนต่อ เขาพึมพำ “จ้าวลัทธิคงไม่ตายง่ายๆ หรอก…”