ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 731 สภาสวรรค์แห่งอดีตกาล
วัวแก่ยืนอยู่บนแม่น้ำและมองไปยังเรือสำราญและนาวาทั้งหลายที่แล่นโต้วารีมา แดนโบราณวินาศอันรกร้างที่ควรจะกำลังเป็นเวลากลางคืนอยู่กลับกลายเป็นเวลากลางวัน แม่น้ำหย่งก็กว้างขวางกว่าเดิมตั้งไม่รู้กี่เท่า อันมีเรือสำราญที่แกะสลักไปด้วยลวดลายหงส์และมังกรแล่นผ่านพวกเขาไป
แม่น้ำใหญ่ที่มีคลื่นน้ำประดุจหยก ถึงกับลอยอยู่กลางท้องฟ้าจริงๆ!
วัวแก่มองลงไปข้างล่าง และมองไม่เห็นแผ่นดินของแดนโบราณวินาศ เขาเห็นก็แต่ดวงดาราทั้งหลายที่ลอยล่องอยู่ในนภาประดับดาว
ดาวบางดวงก็อยู่ใกล้ และบ้างก็อยู่ไกล ที่อยู่ใกล้นั้นดูใหญ่มหึมาอย่างยิ่ง ขณะที่ดวงไกลๆ นั้นดูมีขนาดเท่าดวงจันทร์ แต่ทว่าเขายังพอมองเห็นสิ่งปลูกสร้างและภูเขาทั้งหลายบนดวงดาวพวกนี้
ที่สองฝั่งแม่น้ำหย่ง ราชวังเรียงรายลึกเข้าไปในปราสาทสวรรค์ ราชวังสวรรค์เหล่านี้ดูเหมือนจะเป็นแผ่นปฐพีที่ลอยอยู่สองข้างแม่น้ำสวรรค์ เมื่อราชวังสวรรค์ทั้งหลายมาประกอบเข้าด้วยกัน พวกมันก็ก่อขึ้นมาเป็นหมู่ปราสาทแห่งสภาสวรรค์อันกว้างใหญ่ไพศาล!
วัวแก่สลัดหัวไปมา และดูงงงันไม่รู้เหนือใต้
เขาเพียงแค่แบกฉินมู่มาส่ง แต่ทำไมกลายมาเจอกับเหตุการณ์พิลึกประหลาดแทน
ยิ่งไปกว่านั้น ยังมีหญิงคนหนึ่งกล่าวว่านี่คือแม่น้ำสวรรค์ แม่น้ำสวรรค์? นี่ไม่ใช่แม่น้ำหย่งหรอกหรือ
แดนโบราณวินาศหายไปไหน
แล้วสันตินิรันดร์ล่ะ?
ที่นี่ไม่มีแผ่นดินเลยแม้แต่น้อย แล้วโลกมิติที่พวกเขาอยู่กันก่อนหน้านี้หายไปไหน
วัวแก่ส่ายหางไปมาอย่างว้าวุ้น และฟาดก้นของตนเองดังเปี๊ยะๆ มองไปรอบๆ ด้วยความระแวดระวัง
ต้นธารแม่น้ำหย่ง เขตพื้นที่ของหน้าผาขาด มันเป็นสถานที่ที่ควรจะมีผู้คนอยู่น้อยนิด สถานที่นี้อยู่ในใจกลางแดนโบราณวินาศ แต่มันเกิดแผ่นดินยุบอย่างน่าสะพรึงกลัว
เพราะแผ่นดินยุบครั้งนั้น แดนโบราณวินาศฝั่งตะวันออกจึงต่ำกว่าแดนโบราณวินาศฝั่งตะวันตกไปหลายพันวา
เพราะอุปสรรคธรรมชาตินี้ แดนโบราณวินาศจึงไม่มีการคมนาคมที่ราบรื่นจากตะวันออกไปตะวันตก จนกระทั่งฉินมู่ได้เชื้อเชิญราชครูสันตินิรันดร์และผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งแผ่นดินตะวันตกมาปูถนนเบิกทาง พวกเขาได้จัดตั้งสะพานเหินหาวสองเส้น อันในที่สุดก็สร้างการเชื่อมต่อจากแดนโบราณวินาศฝั่งตะวันออกไปยังฝั่งตะวันตกได้
ที่มาของแม่น้ำหย่งนั้นไหลออกมาจากหน้าผาขาด และมวลน้ำก็พวยพุ่งออกจากหน้าผาขาดไปยังทิศตะวันตก
ครั้งหนึ่งฉินมู่ได้ไปสำรวจตรวจตราดูอย่างละเอียด เขาสงสัยว่าที่ต้นธารแม่น้ำหย่งนี้มีโลกมิติถึงห้าโลกที่กำลังซ้อนทับกันอยู่ และน้ำในแม่น้ำอาจจะมาจากโลกมิติอื่นๆ ทั้งห้า
แน่นอนว่า นี่เป็นข้อสันนิษฐานเมื่อครั้งที่เขายังเยาว์
เมื่อเขาค้นพบโลกหยินสวรรค์ และโลกมิติอื่นๆ จำนวนนับไม่ถ้วนรอบๆ บริเวณ เขาก็รู้แล้วว่าข้อสันนิษฐานของเขาผิดพลาด
เขาได้คาดคะเนเอาไว้น้อยเกินไป จำนวนของโลกมิติที่นี่มีมากมายเกินจะนับถ้วน
ถึงอย่างไรวัวแก่ก็ได้ติดตามชาวนาเฒ่ามาเป็นเวลาหลายหมื่นปี ความเข้าใจของเขาที่มีต่อยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งย่อมเหนือกว่าฉินมู่
ฉินมู่เพียงแต่อนุมานได้ว่าน้ำในแม่น้ำมาจากโลกมิติอื่น แต่วัวแก่รู้ว่าแม่น้ำหย่งเป็นสถานที่อันแปลกประหลาดที่สุดในยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้ง!
เมื่อนานมาแล้ว สถานที่แห่งนี้ยังเป็นซากโบราณของยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง จักรพรรดิก่อตั้งหนุ่มได้นำพาผู้คนหนุ่มสาวมากที่นี่ พวกเขาได้เผชิญกับความยากลำบากในช่วงแรกๆ แต่ก็ได้ก่อตั้งตระกูลขึ้นมาจากซากปรักหักพัง และสร้างฐานที่มั่นอันไพศาล พวกเขาได้ก่อตั้งยุคสมัยอันรุ่งโรจน์ที่ดำรงอยู่ยาวนานถึงสองหมื่นปี
แต่ในเวลานั้น เรื่องที่ต้นธารแม่น้ำหย่งเป็นสถานที่สุดประหลาด ก็เป็นที่รู้กันดี
จักรพรรดิก่อตั้ง คนตัดไม้ และตัวตนอื่นๆ ได้เสาะหาบริเวณสถานที่นี้ และเผชิญกับสิ่งพิสดารเหลือเชื่อมากมาย
แม่น้ำมักจะมีหมอกขึ้นมาอยู่บ่อยครั้ง และเมื่อหมอกโถมทะลักมา ผู้คนก็จะได้พบเห็นสิ่งอันเหลือเชื่อ และถึงกับมองเห็นโลกมิติอื่นๆ บางคนเดินเข้าไปในหมอกโดยบังเอิญ และตระหนักว่าเวลาหลายพันปีได้ผ่านพ้นไป
บางคนถึงกับเห็นคนผ่านทางที่เดินหลงอยู่ในนั้น และคนผ่านทางเหล่านั้นก็อ้างว่าตนเป็นบุคคลจากยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง เมื่อหมอกจางหาย คนผ่านทางก็สาบสูญไปด้วย
วัวแก่ยังจดจำได้ถึงเหตุการณ์ที่โด่งดังที่สุดที่เกิดขึ้นที่นี่ และมันก็คือเมื่อจักรพรรดิก่อตั้งกล่าวว่าเขาได้หายตัวไปจากที่นี่เป็นเวลาหลายเดือนเมื่อสมัยยังหนุ่ม เขาได้เข้าไปในสถานที่อันพิสดารเกินจะเข้าใจ และเมื่อเขากลับมา เขาก็พบว่าเวลาได้ผ่านไปหลายเดือนแล้ว
เขาพยายามเสาะหาสถานที่อันเหลือเชื่อแห่งนั้นอีกครั้ง แต่ไม่สามารถหาพบ
แต่ทว่า เมื่อคนอื่นๆ ถามจักรพรรดิก่อตั้งว่า เขาได้พบกับอะไรในนั้น และเขาได้พบเจอกับผู้ใด จักรพรรดิก่อตั้งก็ไม่ปริปากสักคำเดียว และเก็บมันไว้เป็นความลับมาตลอด
เทพเจ้ามากมายมายังแม่น้ำหย่งเพื่อสำรวจหาหลังจากนั้น แต่ทั้งหมดก็คว้าน้ำเหลว เหตุการณ์นี้จึงค่อยๆ เลือนหายไปจากความสนใจของผู้คน
แม้ว่าเหตุการณ์นี้จะถูกลืมเลือนไปแล้ว แต่หลังจากที่จักรพรรดิก่อตั้งได้ขึ้นครองบัลลังก์ เขาก็จะมาที่นี่บ่อยๆ ไม่รู้ว่าเขากำลังเสาะหาสถานที่อันเหลือเชื่อนั้นหรือไม่
หลังจากนั้น นักบุญคนตัดไม้ก็นำกองพันอักษรสวรรค์มาที่นี่ และมุ่งเน้นสืบสาวแม่น้ำหย่ง พวกเขาค้นพบความลับและโลกมิติมากมายที่ถูกกลบฝังไว้ในประวัติศาสตร์ พวกเขายังคงพบกับแหล่งที่มาของความมืด และส่งคนเข้าไปสืบสวน
แต่ทว่า ตอนนั้นก็เป็นช่วงปลายยุคสมัยจักรพรรดิก่อตั้งแล้ว และภัยพิบัติจักรพรรดิก่อตั้งก็ปะทุขึ้นมาก่อนที่นักบุญคนตัดไม้จะทันได้ผลลัพธ์อะไร
บางทีครูบาสวรรค์ใหญ่อาจจะรู้ความลับมากมายเกี่ยวกับแม่น้ำหย่ง แต่ว่าเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ในตอนนี้
วัวแก่มองไปรอบๆ อย่างระมัดระวัง เขาพบว่าราชวังสวรรค์ทุกแห่งมีเทพเจ้าที่แข็งแกร่งอย่างสุดขีดพิทักษ์คุ้มกันอยู่ ดังนั้นเขาจึงไม่กล้าบุ่มบ่าม เขาคิดอยู่ในใจ ปัญหาตอนนี้ก็คือ ข้าจะกลับไปที่แดนโบราณวินาศได้อย่างไร
ในตอนนั้นเอง เสียงของฉินมู่ก็ดังมา และฟังดูเหมือนว่าเขาจะตื่นตระหนกเล็กน้อย “ศิษย์พี่ซานตัว สถานที่แห่งนี้มันคืออะไรกัน ทำไมท่านถึงพาข้ามาที่นี่”
วัวแก่กะพริบตาปริบๆ และอ้าปาก เขาอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่เขาก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรดี “ข้า…”
ฉินมู่กล่าวอย่างตื่นเต้น “นี่คือสภาสวรรค์นอกโลกหรือ”
วัวแก่ลังเลและเขาก็อ้าปาก “ข้าเองก็…”
ฉินมู่ยืดเหยียดร่างกาย พลังวัตรของเขายังคงเพิ่มพูนขึ้นอย่างดุเดือด เห็นได้ชัดว่าหลังจากที่หลอมรวมห้ามหาสมบัติเทวะ วรยุทธของเขาก็เพิ่มพูนขึ้นอย่างก้าวกระโดด เขามองไปรอบๆ อย่างตื่นเต้นและระงับความลิงโลดเอาไว้ไม่อยู่ “ศิษย์พี่ซานตัวสมแล้วกับที่แข็งแกร่งที่สุดรองจากครูบาสวรรค์วิชาบู๊ ท่านถึงกับบุกไต่ขึ้นเหนือฟ้า ถึงกับกล้าพาข้ามายังสภาสวรรค์นอกโลก! ครูบาสวรรค์วิชาบู๊มอบหมายภารกิจลับให้ท่านอย่างนั้นหรือ”
หลิวซานตัวมองไปยังผิวน้ำและไม่รู้ว่าจะตอบอย่างไร
ฉินมู่ถาม “ท่านได้คิดลู่ทางถอยไว้บ้างหรือไม่”
“ข้า…”
“ข้าสามารถหลอมสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณ!”
ฉินมู่กล่าวอย่างตื่นเต้น “แต่ว่าพวกเราจะต้องเสาะหาสถานที่อันซ่อนเร้น ข้ามีโลหะเทวะและวัสดุเทวะจำนวนมากจากพุทธเจ้าท้าวสักกะ ดังนั้นข้าจะสามารถสร้างสะพานย้ายสลับพลังจิตวิญญาณอีกแห่งได้อย่างแน่นอน ราชครูคงจะยังมีแท่นสังเวยอยู่กับตัวเขา ในเมื่อเขาตระเตรียมที่จะก่อศึกสงครามในโลกขนนกสวรรค์…”
“ศิษย์น้อง ดูเหมือนข้าจะหลงทาง” วัวแก่รวบรวมความกล้าและกล่าวออกมา
“ภารกิจอะไรที่ครูบาสวรรค์วิชาบู๊มอบให้ท่าน เพื่อช่วยชีวิตครูบาสวรรค์หนอนหนังสือ ใช่ไหม หนอนหนังสือจื่อซีคงจะต้องถูกสภาสวรรค์จับตัวไปและตรึงสะกดเอาไว้ ข้าพูดถูกไหม”
ฉินมู่กล่าวอย่างตื่นเต้น “สักแปบนึง ให้ข้าเปิดดวงตาที่หน้าผากมองดูสักหน่อย!”
“ศิษย์น้อง ข้าหลงทาง!”
วัวแก่โพล่งออกมาอย่างอดไม่ไหว “ข้าหลงทางแล้วจริงๆ! ข้าก็ไม่รู้ว่าที่นี่คือสถานที่ผีสางอะไร! ข้าไม่รู้จักที่นี่เลยสักนิด ดังนั้นอย่าก่อเรื่องวุ่นวายในตอนที่ข้ายังไม่รู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ให้ข้าสะสางความคิดสักพักก่อน!”
ฉินมู่มีสีหน้าว่างเปล่า และกล่าวอย่างสงสัย “ผู้คนมักจะกล่าวว่าวัวแก่รู้หนทาง แล้วท่านมาที่นี่ได้อย่างไร ก็แค่หันกลับไปทางเก่าก็พอ”
วัวแก่กล่าวอย่างเหลืออด “ข้าก็ไม่รู้ว่าข้ามาถึงที่นี่ได้อย่างไร! หลังจากที่กระโดดลงจากหน้าผาขาดแห่งแม่น้ำหย่ง หมอกก็ไหลท่วมเข้ามาในย่างก้าวแรกที่ข้าเหยียบลงไปบนผิวแม่น้ำ เมื่อหมอกจางหายไป ข้าก็มาโผล่ที่นี่อย่างไม่รู้ต้นสายปลายเหตุ อย่าปริปากสักคำ ให้ข้าคิดหาวิธีกลับก่อน!”
ฉินมู่หุบปาก และเมื่อผ่านไปสักครู่หนึ่ง เขาก็ถาม “ศิษย์พี่คิดความคิดอะไรดีๆ ออกหรือยัง”
วัวแก่งุนงงจนหมดท่า เขาส่ายหัวและกล่าว “สมองข้าโล่งว่างไปหมด ข้าคิดความคิดดีๆ ที่จะย้อนกลับไปไม่ได้ ที่นี่คือที่ไหนกันแน่ ข้าเองก็ไม่มีเบาะแสเลยสักนิด…”
ฉินมู่มองไปรอบๆ และวิเคราะห์ “เรือสำราญเหล่านั้นดึกดำบรรพ์เป็นอย่างนิ่ง และที่แกะสลักอยู่บนเรือสำราญ เป็นอักษรรูนเต่าดำอันพื้นฐานที่สุด นี่คือการหยิบยืมพลังอำนาจในการควบคุมน้ำของเต่าดำ เพื่อทำให้เรือลอยอยู่ได้ ส่วนแรงขับดันของเรือมาจากสัตว์แม่น้ำที่กำลังชักลากเรืออยู่ มันไม่ได้มาจากเตาหลอมยา นี่จึงมิใช่สภาสวรรค์นอกโลก สภาสวรรค์นอกโลกไม่มีทางล้าหลังถึงขนาดนี้…”
วัวแก่ดวงตาลุกวาว และเขามองไปยังเรือสำราญทั้งหลาย เขาพบเห็นสัตว์แม่น้ำใหญ่มหึมามากมายกำลังชักลากพวกมันไป นั่นคือรายละเอียดที่เขามิได้สังเกต และเขาก็รีบถาม “แล้วอะไรอีก”
ฉินมู่ปลดใบหลิวออกจากหว่างคิ้วของเขา และเผยดวงตาที่สาม เขาสำรวจบริเวณโดยรอบ และมองไปยังผู้คนบนเรือสำราญกับทั้งเทพเจ้าในราชวังสวรรค์ทั้งหลาย เขากล่าวอย่างเคร่งขรึม “เส้นทางการโคจรปราณชีวิตของเขาเรียบง่ายเป็นอย่างยิ่ง และสมบัติเทวะของพวกเขาก็ดึกดำบรรพ์อย่างสุดๆ พวกมันไม่ได้เพริศแพร้วพิสดารเหมือนสมบัติเทวะของผู้ฝึกวิชาเทวะแห่งสันตินิรันดร์ ยิ่งไปกว่านั้น สะพานเทวะของพวกเขาล้วนแต่ครบสมบูรณ์ ไม่มีของใครเลยที่แตกหัก”
วัวแก่เริ่มได้ความมั่นใจกลับคืนมาในที่สุด และถามต่อ “เจ้าพบเห็นอะไรอีก”
“ข้ายังเห็นผู้คนที่ไม่มีสมบัติเทวะ”
ฉินมู่สีหน้าเครียดขรึม และเขาจ้องมองไปยังราชวังสวรรค์ ที่นั่น เทพเจ้าผู้ยิ่งยงยืนอยู่พร้อมกับเพลิงไฟอันพวยพุ่ง ราวกับว่าเขาถูกห่อหุ้มไว้ด้วยดวงตะวัน ฉินมู่กล่างอย่างเคร่งขรึม “ดูเหมือนว่าข้าอาจจะได้พบเห็นเทพครองดาวมหาตะวันตัวจริง เขาไม่มีสมบัติเทวะใดๆ เขาเป็นเทพครองดาวมหาตะวันที่ถือกำเนิดขึ้นมาจากฟ้าและดิน เขามิใช่เทพครองดาวมหาตะวันจากยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง…”
วัวแก่จิตว่างโหวง และเขาไม่มีความคิดอะไรในหัวเลยสักนิด เขาตะกุกตะกัก “ทะ-ที่ จะ-เจ้าหมายถึง…”
“ความหมายของข้าก็คือ…”
ฉินมู่เผยยอมยิ้มอันแจ่มจ้าดุจแสงอรุณบนใบหน้าขณะที่เขาโบกมือไปยังหญิงสาวคนหนึ่งบนเรือสำราญอันกำลังแล่นตรงมาหาพวกเขา “พี่สาว ทางนี้! ทางนี้! พวกเราหลงทาง พี่สาว ที่นี่คือที่ไหน”
วัวแก่สีหน้าซีดเผือด และเขาก็คิดในใจ ทำไมศิษย์น้องถึงไม่ระวังตัวขนาดนี้ พวกเราเพิ่งจะบุกเข้ามาที่นี่ และมียอดฝีมือเต็มไปหมดทุกหนแห่ง หากว่ามีใครค้นพบว่าพวกเราไม่ใช่คนที่นี่ล่ะ…
หญิงสาวบนเรือนั้นแต่งกายอย่างหรูหราและงดงาม นางกำลังดื่มด่ำกับทิวทัศน์ข้างหน้าเรือ และก็พลันมองไปตามทิศทางเสียง ดวงตาของนางเป็นประกาย “น้องชายผู้นี้ปากหวานเสียจริง สถานที่นี้ย่อมเป็นสภาสวรรค์ ขึ้นมาบนเรือสิ”
วัวแก่ยังคงตะลึงงันและยังไม่ได้สติ
ฉินมู่กระโดดขึ้นไปบนเรือและร้องเรียก “ศิษย์พี่ ขึ้นมาบนเรือด้วยสิ พี่สาวผู้นี้ใจดีอย่างยิ่ง และนางก็ยินดีที่จะพาพวกเราไปด้วย”
วัวแก่รีบลุกขึ้นยืนสองขาเหมือนมนุษย์ และสลัดร่างของตนเองเพื่อแปรเปลี่ยนเป็นเทพเจ้าหัววัว เขาติดตามฉินมู่กระโดดขึ้นไปบนหัวเรือ
หญิงผู้นั้นสำรวจตรวจตราฉินมู่ และพบว่าเด็กหนุ่มผู้นี้ทั้งดูหล่อเหลาและเปี่ยมความสามารถ มีท่วงทีของเด็กหนุ่มที่ใสซื่อและเรียบง่าย นางอดไม่ได้ที่จะประทับใจเขาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วันนี้เป็นวันมหาสมาคมอันพิเศษเหนือธรรมดาแห่งสภาสวรรค์ เรือเกือบทั้งหมดที่แล่นอยู่บนแม่น้ำสวรรค์คืออัจฉริยะเยาว์ทั้งหลายที่มาเที่ยวเล่นจากแดนต่ำใต้ นี่คงจะเป็นครั้งแรกที่เจ้าได้ขึ้นมาบนสภาสวรรค์ ใช่ไหม”
ฉินมู่ผงกศีรษะและหน้าแดงเรื่อ “ศิษย์พี่หนิวและข้ามาที่นี่เป็นครั้งแรก พวกเราเหมือนกับบ้านนอกเข้ากรุง พวกเรามัวแต่มองความสวยงามรอบๆ และก็กลายเป็นหลงทางไปแล้ว”
หญิงนั้นกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ใครที่ขึ้นมาที่สภาสวรรค์เป็นครั้งแรกก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้น ฝ่าบาทได้สั่งให้ช่างฝีมือล้ำเลิศก่อสร้างราชวังสวรรค์สามสิบหกหลัง และท้องพระโรงอีกเจ็ดสิบสองห้อง เพื่อมอบแต่งตั้งแก่เทพบรรพกาลทั้งหลาย ข้าเองก็รู้สึกว่านี่เป็นการยึดติดกับรายละเอียดเล็กน้อยมากจนเกินไป ฝ่าบาทยังถึงกับต้องการเลือกเฟ้นนามให้แก่สภาสวรรค์ ตอนนี้เขากำลังปรึกษาหารือว่าจะเลือกเฟ้นฉายานามใดให้แก่ภูติบดีและเทพสรรพชีวิต”
หนิวซานตัวมองไปรอบๆ และสายตาของเขาก็พลันไปจับที่เรือสำราญอันแล่นอยู่ข้างๆ เขา เขาเบิกตากว้างราวกับว่ากำลังมองเห็นผี และเขาก็ละสายตาไปไม่ได้เลยสักนิด
ฉินมู่กำลังพูดคุยกับหญิงผู้นั้นอย่างถูกคอ แต่เขาก็พลันเห็นสีหน้าของวัวแก่จากหางตา เขาตะลึงไปเล็กน้อยและถาม “ศิษย์พี่ เกิดอะไรขึ้นหรือเปล่า”
“จักร จักร จักร…”
วัวแก่ติดอ่าง และสายตาของเขาก็ยังตรึงอยู่กับเรือสำราญนั้น ฉินมู่มองตามสายตาของเขา และก็เห็นชายหนุ่มคนหนึ่งกำลังสนทนาอย่างแช่มชื่นและเต็มไปด้วยไหวพริบกับอีกบุคคล
“จักร จักร…”
วัวแก่ตะกุกตะกัก และก็ยังคงพ่นคำออกมาไม่ได้
ฉินมู่ถามด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ ท่านเห็นจักรอะไรอย่างนั้นหรือ”
“จักรพรรดิก่อตั้ง!”
ในที่สุด หนิวซานตัวก็สำลักคำนั้นออกมาจนได้ และร้องด้วยเสียงแหบพร่า “ข้าเห็นจักรพรรดิก่อตั้งหนุ่ม!”