ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 735 ยอดอัจฉริยะแห่งยุคโบราณ
ในมือนักพรตเต๋ามีเข็มทิศ และดูเหมือนเขาจะท่องบ่นอะไรบางอย่างขณะที่เข็มทิศกระดิกดังเคร้งคร้าง แปรเปลี่ยนเป็นอักษรรูนต่างๆ
หลวงจีนถือสร้อยประคำเส้นหนึ่ง และลูกประคำก็หมุนวนไปอย่างต่อเนื่อง เมื่อลูกประคำสองลูกเข้ามากระทบกัน พวกมันก็จะส่งเสียงแป้กเบาๆ อีกมือหนึ่งของเขาถือบาตรสีดำและข้างในบาตรก็มียาวิญญาณจำนวนหนึ่ง ไม่รู้ว่าเขาได้มันมาจากการบิณฑบาตหรือไม่
เสื้อผ้าของทั้งสองคนเก่าขาด เสื้อของนักพรตซีดขาวจากการซักซ้ำแล้วซ้ำเล่า และยังมีรอยปะจำนวนหนึ่ง แต่ก็นับได้ว่าสะอาดสะอ้าน ในอีกทางหนึ่ง เสื้อผ้าของหลวงจีนไม่ได้รับการปะเย็บ และมีลมโผล่ออกมาจากรูแหว่งวิ่นเหล่านั้น
จากสภาพแล้ว ทั้งสองคนคงมีชีวิตที่ไม่ง่ายดายนัก
ฉินมู่อดไม่ได้ที่ฉงนสงสัย ในยุคนี้มีนักพรตกับหลวงจีนแล้วหรือ
จักรพรรดิก่อตั้งก็ตกตะลึงเมื่อเขาสังเกตเห็นหลวงจีนกับนักพรต
ฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้งเดินเข้าไป และได้ยินหลวงจีนสนทนากับนักพรต “ชุมนุมสระหยกยังนับว่าดี ข้าบิณฑบาตยาวิญญาณมาได้จำนวนหนึ่ง อย่างน้อยก็มีอาหาร เสื้อผ้า และค่าเดินทาง”
ฉินมู่มองไปที่เขาด้วยสีหน้าประหลาด
นักพรตกล่าว “อย่าเพิ่งพูด ข้ากำลังคิดเรื่องปัญหาพีชคณิต รอให้ข้าคิดคำนวณเสร็จก่อน”
หลวงจีนกล่าวด้วยรอยยิ้ม “เจ้าคำนวนไปจะได้อะไรขึ้นมา ทำไมเจ้าไม่ดำเนินตามรอยข้า เมื่อสุบินของข้าย่างกรายสู่เต๋า ก็จะมีทุกสิ่งทุกอย่างในความฝันของข้า การเปลี่ยนแปลงในโลกอันมากมายไร้ประมาณ และจะสามารถเสาะหาแก่นแท้แห่งเต๋าได้จากที่นั่น”
นักพรตไม่ลำบากเงยหน้าขึ้นมาและยังคงขยับเข็มทิศของเขาต่อ “ถึงอย่างไรความฝันก็ยังเป็นแค่มายาภาพ มีแต่พีชคณิตที่เป็นเต๋าอันยิ่งใหญ่ที่แท้จริง ข้ารู้สึกว่าทุกสิ่งทุกอย่างในจักรวาลได้ถูกรังสรรค์ขึ้นมาบนรากฐานแห่งพีชคณิต ตราบเท่าที่เข้าสำเร็จเชี่ยวชาญพีชคณิต ข้าก็จะสามารถเข้าใจแง่อัศจรรย์ทั้งหมดในจักรวาล พีชคณิตจะเปล่งแสงจำรัสในอนาคต!”
ขณะที่หลวงจีนรอจังหวะพูดอยู่นั่นเอง เขาก็เห็นฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้งเดินเข้ามา และรีบยกบาตรไปตรงหน้าพวกเขาพลางเขย่ามัน ยาวิญญาณไม่กี่เม็ดในนั้นกลิ้งกรอกแกรก
“สหายที่ไม่ว่าจะมาพบกันด้วยวาสนาหรือไม่ โปรดบริจาคสักหน่อยเถอะ พวกเราศิษย์พี่น้องอดอาหารมาหลายวันแล้ว” หลวงจีนกล่าว
จักรพรรดิก่อตั้งมีสีหน้าพิกล และเขาคุ้ยหาในถุงสัมภาระของเขาและนำยาวิญญาณจำนวนหนึ่งออกมา เพื่อใส่ลงไปในบาตร
“ผู้ใจบุญย่อมได้รับกุศล” หลวงจีนแย้มยิ้มและหันไปมองที่ฉินมู่
ฉินมู่ก็นำยาวิญญาณมาหอบหนึ่งใส่เข้าไปจนเต็มบาตรเหล็ก
หลวงจีนส่ายหัว “ไม่ต้องมากขนาดนั้น ข้าบิณฑบาตไปเพื่อการฝึกบำเพ็ญ ต้องการเสบียงแค่พอใช้หนึ่งวัน ให้ข้ามากเกินไปหมายความว่าข้าก็จะต้องชะลอการฝึกบำเพ็ญไปอีกหลายวัน” หลังจากกล่าวเช่นนั้น เขาก็นำยาวิญญาณที่เกินเลยมาส่งคืนให้กับฉินมู่
ฉินมู่ไม่รับมันกลับมาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ไต้ซือ นี่คือของที่ท่านสมควรได้ พวกเรามีวาสนาผูกพันกันเป็นอย่างยิ่ง ในอนาคต เมื่อท่านพบกับคนที่มีนามว่ามู่ ท่านก็จะเข้าใจเอง”
หลวงจีนมองไปที่เขาและกล่าว “ไฉนประสกถึงไม่กล่าวให้ชัดเจนสักหน่อยล่ะ”
ฉินมู่ส่ายหัวและกล่าว “ความฝันไพศาล ท่านรู้ได้อย่างไรว่าท่านมิได้อยู่ในความฝันในขณะนี้ ไฉนข้าจะต้องกล่าวให้ชัดเจนล่ะ มีโลกมากมายไร้ประมาณในความฝัน และความฝันก็แปรเปลี่ยนเป็นสรรพสัตว์ทั้งหลาย ไต้ซือจะกระจ่างแจ้งเองในอนาคต”
หลวงจีนฉงนฉงาย และเขาก็แย้มยิ้มออกมา “ความฝันไพศาล? นั่นนับได้ว่าเป็นแก่นแท้สมาธิของเต๋าของข้า”
ฉินมู่มองไปที่นักพรตที่กำลังศึกษาอย่างขะมักเขม้น และเข็มทิศของนักพรตผู้นี้ก็ซับซ้อนเป็นอย่างยิ่ง การเปลี่ยนแปลงในศาสตร์การคำนวณของเขาได้วิวัฒน์ไปจนถึงปัญญาแก่นแกนในตำราคำนวณบรมปริศนาแล้ว แต่ทว่า หากเขาต้องการสร้างสรรค์ตำราคำนวณบรมปริศนาขึ้นมาจากศูนย์ ก็คงจะยากเย็นจนเหลือประมาณ
มันยากที่จะเริ่มต้นขึ้นมาตั้งแต่แรก และยิ่งไปกว่านั้น ก็ไม่มีใครที่จะสามารถวิเคราะห์อนุมานตำราพีชคณิตทั้งเล่มได้
ฉินมู่ยื่นมือออกไปและปรับหมุนเข็มทิศให้
นักพรตผู้นั้นกะจะตีมือเขาให้กระเด็นออกไป แต่ทันใดนั้น เขาก็ตกตะลึงกับสิ่งที่เห็นบนเข็มทิศ เขากลายเป็นลิงโลดยินดี “ใช่ ปัญหานี้ได้เร้ารุมข้ามาหลายวันแล้ว แต่กลับสามารถไขออกมาได้แบบนี้! ยอดเยี่ยม ยอดเยี่ยม! ศิษย์พี่ผู้นี้ เจ้าคิดถึงวิธีแก้ปัญหาแบบนี้ได้อย่างไร”
เขามองไปที่ฉินมู่ด้วยสายตารุ่มร้อน เขารออย่างตื่นเต้นให้ฉินมู่อธิบายแนวคิดของตน
ฉินมู่กล่าวอย่างผ่าเผย “ข้าเคยได้รับคำชี้แนะจากนักพรต ข้าจึงสามารถคิดหาวิธีแก้โจทย์แบบนั้นได้ ขอบคุณมาก!”
เขาโค้งคารวะเพื่อแสดงความขอบคุณ
นักพรตรีบกล่าว “ทำไมเจ้าถึงมาขอบคุณข้ากับการที่เจ้าช่วยข้าแก้โจทย์ปัญหาของข้าล่ะ”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ท่านจะทราบเองในอนาคต นักพรต เมื่อท่านพบกับคนชื่อมู่ในกาลข้างหน้า เขาก็จะพูดถึงเรื่องนี้กับท่าน”
นักพรตตะลึงไป
ฉินมู่ยิ้มน้อยๆ และเดินหลบพวกเขาเพื่อมุ่งไปยังราชวังข้างหน้า
จักรพรรดิก่อตั้งลังเลเล็กน้อย และเดินตามฉินมู่ไป เขากล่าวด้วยเสียงเบา “จิตเจตนาเจ้าไม่ซื่อ และเจ้าจะประจบสร้างบุญคุณมากเกินไปไหม หลวงจีนและนักพรตเมื่อครู่นี้น่าจะเป็นสองตัวตนผู้นั้นในอนาคตใช่หรือไม่ ตอนนี้เจ้าให้ยาวิญญาณแก่พวกเขาไม่เท่าไร และช่วยดึงหมุนเข็มทิศให้ ก็เพราะเจ้าต้องการจะหยิบยืมอิทธิพลอำนาจของพวกเขาในอนาคต หากว่าเจ้าใช้ความใส่ใจแบบนี้กับ…”
ฉินมู่ขัดจังหวะเขาและกล่าว “หากว่าเจ้าไม่ใช้ความใส่ใจพวกนี้กับการคาดเดาจิตเจตนาของข้า และใช้มันในอนาคต บางทีเจ้าก็คงจะไม่…”
จักรพรรดิก่อตั้งอึ้งไปเล็กน้อย “ไม่อะไร”
ฉินมู่มีสีหน้าสลดใจและส่ายศีรษะ “ไม่มีอะไรมากหรอก ข้าเพียงแค่คาดเดาว่าพวกเขาคือพุทธเจ้าพรหม และเจ้าสำนักเต๋าแห่งสำนักเต๋า เจ้าน่าจะเข้าไปผูกมิตรกับพวกเขา พวกเขาจะคืนกรรมดีให้กับเจ้าในอนาคต”
จักรพรรดิก่อตั้งดูจะครุ่นคิดและถามหยั่ง “เจ้ารู้จักข้า? เจ้ารู้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับข้าในอนาคต? เจ้ามาจากยุคสมัยหลังจากข้า?”
เขานั้นชาญฉลาดกว่าคนทั่วไป แม้ว่าฉินมู่จะกล่าวแค่ประโยคสองประโยคที่ดูไม่สลักสำคัญ แต่เขาก็สามารถอนุมานข้อมูลได้มากไปกว่าถ้อยคำเหล่านั้น
ฉินมู่ส่ายศีรษะแล้วกล่าว “ข้าไม่รู้ว่าตัวจริงของเจ้าเป็นแบบไหนกันแน่ ข้าไม่เคยพบเจ้ากับตัวมาก่อน กลับไปและตามหาพวกเขาทั้งสองสิ”
จักรพรรดิก่อตั้งลังเลและส่ายศีรษะ “ข้าไม่เหมือนเจ้า ข้าไม่จงใจทำแบบนั้นหรอก หากว่าข้าจงใจทำ ข้าก็อาจจะเปลี่ยนแปลงอนาคต เมื่ออนาคตเปลี่ยนแปลงไป ข้าก็อาจจะไม่ได้ถือกำเนิดมาด้วยซ้ำ และตัวตนถูกลบหาย ข้าได้บอกมาก่อนหน้านี้แล้วอย่างไร ว่าข้าเป็นเพียงผู้ผ่านทางที่นี่ เป็นประจักษ์พยานของประวัติศาสตร์ ข้าอยากจะได้พบกับผู้ก่อตั้งอารยธรรมในอนาคตทั้งหลายเหล่านั้นเป็นอย่างยิ่ง”
วัวแก่เดินตามไปข้างหลังพวกเขาและขมวดคิ้วเมื่อได้ยินบทสนทนา เพียงแค่เมื่อครู่นี้เอง ทั้งสองคนดูเหมือนจะอดใจรอไม่ไหวที่จะกระทืบกันและกันให้ตายคาเท้า และบัดนี้เขาก็มาพูดจากันอย่างสนิทสนม
หัวใจของบุรุษเหมือนดินฟ้าอากาศในเดือนหก เปลี่ยนแปลงไปมาเดาไม่ได้
วัวแก่ลังเลและมองไปที่หลวงจีนและนักพรต เขาคิดในใจ ข้าควรไปผูกมิตรกับพวกเขาไหม ข้าอาจจะสามารถได้ผลประโยชน์บางอย่างในอนาคตก็เป็นได้…
ฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้งได้เดินห่างออกไปแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่สามารถมัวมาคิดเรื่องการไปผูกมิตรกับหลวงจีนและนักพรตคู่นั้นได้อีกต่อไป เขารีบเดินตามให้ทันฉินมู่พลางคิดอยู่กับตนเอง ถึงอย่างไรพวกเราก็มีเวลาหลายเดือน เมื่ออารมณ์ของสองคนนี้เป็นปกติแล้ว ข้าก็ค่อยไปผูกมิตรกับสองผู้อาวุโสยุคบรรพกาลและเก็บเกี่ยวผลประโยชน์! ฮี่ๆ เมื่อเวลานั้นมาถึง แม้แต่นายผู้เฒ่าก็จะต้องมองข้าอย่างประหลาดใจแน่ๆ…
หลวงจีนและนักพรตมองส่งตามหลังพวกเขา และก็พากันส่ายหัว นักพรตกล่าว “ช่างเป็นคนที่ประหลาดจริงๆ แต่ทว่า พีชคณิตของคนผู้นี้ดูจะล้ำเลิศกว่าข้า เพียงแต่หัวใจเขาไม่ได้จดจ่ออยู่ที่นี่ ศิษย์พี่ หลังจากการชี้แนะของเขา ข้าก็สามารถค้นพบเต๋าของข้า!”
หลวงจีนผงกหัวและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าเองก็กำลังจะค้นพบเต๋าของข้า”
ทั้งสองคนมองกันและกัน จากนั้นก็หัวเราะด้วยเสียงอันดัง
ฉินมู่ จักรพรรดิก่อตั้ง และวัวแก่เข้าไปในราชวังในอาณาเขตลับสระหยก และพวกเขาก็เห็นผู้คนเดินไปมาขวักไขว่ สถานที่นี้คับคั่งครึกครื้น แต่พวกเขาหาโอรสหยินสวรรค์ไม่เจอเลยสักนิด เขาคงจะไปตามหาตัววิญญูชนสวรรค์อวี้
วิญญูชนสวรรค์อวี้ได้เชิญเขามาร่วมงานชุมนุม ดังนั้นความสัมพันธ์ระหว่างพวกเขาคงไม่ผิวเผิน
มีผู้คนมากมายที่มาร่วมงานชุมนุม และพวกเขาส่วนใหญ่ก็กำลังถกเถียงสนทนาว่าวิญญูชนสวรรค์อวี้กำลังจะประกาศเรื่องใด บ้างก็กล่าวว่าวิญญูชนสวรรค์อวี้ได้คิดค้นสมบัติเทวะชิ้นที่แปด บ้างก็กล่าวว่าวิญญูชนสวรรค์ได้ค้นพบวิธีการที่ทำให้จิตวิญญาณดั้งเดิมเป็นอมตะ บางคนก็ถึงกับกล่าวว่าวิญญูชนสวรรค์กำลังจะแต่งงาน มีการคาดเดามากมายเต็มไปหมด
ฉินมู่มองไปรอบๆ และเห็นผู้ฝึกวิชาเทวะจำนวนมากจับตัวกันเป็นกลุ่มๆ พวกเขาสนทนาอย่างตื่นเต้นเกี่ยวกับสิ่งที่พวกเขาได้เรียนรู้มา อวดมรรคา วิชา และทักษะเทวะที่พวกเขาตรึกตรองเข้าใจได้
เขาและจักรพรรดิก่อตั้งรับฟังอยู่ครู่หนึ่ง มรรคา วิชา และทักษะเทวะเหล่านี้ทั้งหยาบกร้านและเรียบง่าย มันยังห่างไกลจากความเพริศแพร้วพิสดารของมรรคา วิชา และทักษะเทวะจากอนาคต ดังนั้นจึงไม่ใช่เรื่องใหญ่สำหรับพวกเขาทั้งสอง
แต่ทว่า สำหรับยุคนี้ มันไม่ใช่เรื่องเล็กๆ เลย
หากว่าพวกเราสนทนาถึงวิชาฝึกปรือและทักษะเทวะของอารยธรรมในอนาคต ก็คงจะทำให้พวกเขาแตกตื่นเป็นอย่างมากแน่ๆ
ฉินมู่ส่ายศีรษะ มรรคา วิชา และทักษะเทวะแห่งอารยธรรมอนาคตนั้นเพริศแพร้วพิสดารจนเกินไป หากว่าเขาบอกผู้คนในยุคสมัยนี้ การทำให้โลกหล้าตื่นตระหนกยังนับว่าเป็นเรื่องน้อยๆ แต่การเปลี่ยนแปลงในอนาคตจะน่าสะพรึงกลัวเกินไป
เขาไม่อาจเสี่ยงอันตรายนี้ได้
เขามองไปที่จักรพรรดิก่อตั้ง และจักรพรรดิก่อตั้งก็ได้คาดเดาแล้วว่าเขาคือคนที่มาจากอนาคต ดังนั้นเขาจึงบอกให้เขาอย่าพยายามเปลี่ยนแปลงอดีต เมื่อมาคิดๆ ดูแล้ว ถ้อยคำของจักรพรรดิก่อตั้งก็มีเหตุมีผลอยู่
ทุกคนที่เข้าร่วมการชุมนุมล้วนแต่งมงายในการสนทนา และก็จะมีใครบางคนอธิบายมรรคา วิชา และทักษะเทวะของตนอยู่เสมอ นับว่าเป็นสภาวะของร้อยสำนักคิดเบ่งบานพร้อมๆ กันจริงๆ
ความคิดอัศจรรย์บางอย่างเหล่านั้นก็ได้ทำให้ฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้งตกตะลึงไปในทันที พวกเขาอดไม่ได้ที่จะเงี่ยหูฟังอย่างถี่ถ้วน เพราะว่านั่นคือรูปลักษณ์ของทักษะเทวะที่พวกเขาไม่เคยคิดถึงมาก่อน
เพราะว่าผู้คนในอนาคตได้อยู่ในระบบอันตายตัวของการฝึกปรือบ่มเพาะสมบัติเทวะแล้ว พวกเขาไม่จำเป็นต้องเค้นสมองคิด และสักแต่ว่าฝึกปรือตามที่บรรพชนได้กระทำมาก็พอ พวกเขาสามารถบรรลุความสำเร็จอันสูงส่ง แต่ก็จะขาดหายความคิดสร้างสรรค์ไปแทน
แต่ทว่า ในยุคนี้ไม่มีกฎเกณฑ์อะไรมากมาย ดังนั้นจึงง่ายที่จะกระโดดออกไปจากระบบการบ่มเพาะสมบัติเทวะ ดังนั้นจึงมี มรรคา วิชา และทักษะเทวะที่เหลือเชื่อสำหรับฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้ง
แต่ทว่า สาเหตุที่ผู้คนในอนาคตมิได้เห็นมรรคา วิชา และทักษะเทวะเหล่านี้ ไม่ใช่เพราะว่าพวกมันดีไม่พอ แต่เพราะว่าพวกมันล้มเหลวที่จะแข่งขันกับระบบบ่มเพาะสมบัติเทวะ ดังนั้นพวกมันจึงล้มหายตายจาก
ระบบบ่มเพาะทักษะเทวะนั้นเรียนได้ง่ายที่สุด และเป็นที่ยอมรับของทุกๆ คนได้ง่ายที่สุด มันได้ผ่านบททดสอบของกาลเวลา เมื่อผู้คนส่วนใหญ่ฝึกฝนบ่มเพาะสมบัติเทวะ ผู้คนกลุ่มที่ฝึกฝนในมรรคาอื่นก็จะลดน้อยถอยลงไปเรื่อยๆ และมรดกยุทธของพวกเขาก็ยากที่จะสืบทอดต่อกันไป จนทำให้หายสาบสูญในที่สุด
ฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้งเดินเบียดไปรอบๆ ฝูงชนอันคับคั่ง หมายที่จะรับฟังความคิดดีๆ มีประโยชน์มากกว่านี้ แต่ทันใดนั้น พวกเขาก็ได้ยินเสียงพูด “วิญญูชนสวรรค์หลิง! วิญญูชนสวรรค์หลิง! เมื่อครู่ที่เจ้าบอกว่าเวลาไม่มีอยู่จริง มันมีหลักเหตุผลอย่างไร”
ฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้งมองไปยังที่มาของเสียงพร้อมๆ กัน และเห็นผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายห้อมล้อมหญิงสาวผู้หนึ่งเอาไว้ นางสวมใส่อาภรณ์อันเรียบง่าย และมีปิ่นปักผมไม้ท้ออยู่บนศีรษะ ที่เท้าสวมรองเท้าฟาง กระโปรงสวมใส่หนังเสือดาว และมีเสื้อแขนสั้นที่ไร้ลวดลาย
แม้ว่านางจะไม่ใส่ใจกับรูปโฉม แต่ก็มีความงามอีกรูปแบบหนึ่งอันดูดิบเถื่อน
วิญญูชนสวรรค์หลิงที่เปิดสมบัติเทวะหกทิศเป็นสตรีหรือ ฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้งอึ้งไปเล็กน้อย
หญิงผู้นั้นกำลังอธิบายเหตุผลด้วยความใจเย็น “สิ่งใดๆ ก็ตาม รวมทั้งอวกาศ ล้วนแต่เป็นสสาร ทักษะเทวะก็เป็นการจัดเรียงสสาร ใช้อนุภาคของปราณชีวิตเพื่อเปลี่ยนแปลงการประกอบที่แตกต่างกันไป อันขยายหลักกฎของเต๋าอันยิ่งใหญ่ ก่อขึ้นมาเป็นพลังอำนาจ แล้วเวลาเป็นสสารหรือ เวลาไม่ใช่สสาร เจ้าไม่สามารถจับต้องเวลาได้ ดังนั้น เวลาจึงไม่มีอยู่จริง”
ทุกคนขบคิด บางคนก็ส่ายศีรษะ แต่กระนั้นพวกเขาก็นึกหาข้อโต้แย้งไม่ออก
ฉินมู่ก้าวเข้าไปแล้วกล่าว “วิญญูชนสวรรค์หลิง แล้วทำไมพวกเราถึงแก่เฒ่าได้ ผู้คนในโลกหล้าจะแก่ชราและตายจากไป ไม่ใช่ว่าพวกเขาแก่เฒ่าไปตามการผันผ่านของเวลาหรอกหรือ”
วิญญูชนสวรรค์หลิงเห็นเขาก้าวเข้ามา และนางก็พลันปลดปิ่นปักผมลง ไม้ต้นท้อของปิ่นได้เหี่ยวแห้งไปแล้ว
“ศิษย์พี่ผู้นี้ ลองดูที่ปิ่นปักผม มันได้ตายไปจากความชราแล้วใช่หรือไม่” นางถาม
ฉินมู่ผงกศีรษะ
วิญญูชนสวรรค์หลิงขับเคลื่อนทักษะเทวะของนาง และไม้ต้นท้อชิ้นนี้ก็ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีเขียว จากนั้นก็เป็นสีแดง ไม้ต้นท้อพลันแตกใบออกมา และดอกตูมอ่อนๆ ก็ผุดโผล่ ดอกท้อเบ่งบานออกมาจากกิ่งไม้แห้งเหี่ยวที่ถูกชุบชีวิต และมีกิ่งอ่อนอันงอกเงยพร้อมกับใบท้อจำนวนหนึ่ง
“ข้าได้ย้อนเวลาใช่หรือไม่” วิญญูชนสวรรค์หลิงถามด้วยรอยยิ้ม
ฉินมู่อึ้งไป และเขาก็ส่ายศีรษะ “เจ้าเพียงแต่ใช้ทักษะเทวะเสกสรรเพื่อเปลี่ยนแปลงโครงสร้างของไม้ตายซาก ฟื้นคืนชีพมันขึ้นมาจากความตาย…ช้าก่อน ข้าเข้าใจความหมายของเจ้าล่ะ!”
เขาระบายลมหายใจสะท้านและร้องออกมา “เจ้าหมายความว่า เวลาเป็นมายาภาพ! เมื่อพวกเราแก่เฒ่าและตายไป นั้นเพียงเพราะว่าโครงสร้างกายเนื้อของพวกเราเปลี่ยนแปลง เวลาไม่มีอยู่จริง มันเป็นภาพลวงตาที่เกิดขึ้นมาจากการเปลี่ยนแปลงของสสาร!”
วิญญูชนสวรรค์หลิงมองมาที่เขาด้วยความประหลาดใจแกมยินดี นางกล่าวอย่างสุขใจ “ในที่สุดข้าก็ได้พบกับคนที่เข้าใจข้า! ตอนข้าบอกความคิดนี้กับวิญญูชนสวรรค์อวี้และคนอื่นๆ พวกเขาบอกว่าข้าพูดเล่นไปทั่ว! เจ้าเป็นสหายเต๋าของข้า! ใช่แล้ว เวลาไม่มีอยู่จริง หากว่ามันมีอยู่จริง ก็จะต้องมีทักษะเทวะกาลเวลาในโลกนี้! แต่ทว่า ทักษะเทวะกาลเวลาไม่มีอยู่ มีเพียงแต่มายาภาพที่เกิดขึ้นจากการเปลี่ยนแปลงของสสาร! เจ้าเรียกทักษะเทวะของข้าว่าทักษะเทวะเสกสรรอย่างนั้นหรือ เสกสรร ชื่อที่ยอดเยี่ยม! ดีอะไรอย่างนี้!”
ความคิดของนางบริสุทธิ์ และเมื่อนางกล่าวว่าดีอะไรอย่างนี้ นางก็แสดงมันออกมาจากเบื้องลึกของหัวใจ นางไม่ได้เสแสร้งจนเกินเลยไปแม้แต่น้อย
ฉินมู่สะท้านใจ และเขาก็ยืนอยู่ที่นั่นด้วยความตะลึงงัน เขาพึมพำ “ถ้าเช่นนั้น จะมีคนที่เดินทางย้อนอดีตได้ไหม”
“อดีตไม่มีอยู่จริง ที่มีอยู่จริงคือการเปลี่ยนแปลงของสสาร”
วิญญูชนสวรรค์หลิงดวงตาเป็นประกาย “หากว่ามันมีสสารที่สามารถย้อนคืนสู่รูปเดิมของมันในอดีต งั้นคนก็จะสามารถเดินทางกลับไปสู่ยุคโบราณได้ นั่นคือสิ่งที่ข้าคิด เจ้าเข้าใจข้าไหม”
ทุกคนในบริเวณรอบๆ พบว่ายากที่จะเข้าใจนาง และการสนทนาก็ระเบ็งเซ็งแซ่ออกมา โดยส่วนใหญ่แล้วเป็นการตำหนิวิจารณ์นาง บางคนกล่าว “วิญญูชนสวรรค์หลิงบ้าไปแล้ว…”
วิญญูชนสวรรค์หลิงเดือดดาล และนางก็โต้กลับไป “ในอนาคต ข้าจะต้องคิดค้นทักษะเทวะที่สามารถทำให้สสารอันไม่เปลี่ยนแปลงไปชั่วนิรันดร์ได้ ตราบเท่าที่ใครก้าวเข้าไปในสสารนั้น พวกเขาก็จะสามารถมองเห็นอดีตและอนาคตทั้งหมดของจักรวาล!”