ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 740 เหตุแปรผันในสระหยก
ขณะที่เขากำลังจะพูดเรื่องที่สองอยู่นั่นเอง…“วิญญูชนสวรรค์ฮ่าว!”
ชายหนุ่มอีกคนได้ยินเสียงเรียกของวิญญูชนสวรรค์อวี้ และเขาก็หันศีรษะกลับมามองดูทุกๆ คน เขาเผยรอยยิ้มและทักทาย “วิญญูชนสวรรค์อวี้ สหายเหล่านี้ที่มีกำลังฝีมือสูงล้ำ! เจ้าได้ชักนำพวกเขาเข้าพวกแบบนี้หรือ”
วิญญูชนสวรรค์อวี้หัวเราะและกล่าว “นี่ไม่ใช่ชักนำเขาเข้าพวก พี่ฉินและพี่มู่ล้วนแต่เป็นผู้มีคุณงามความดี และพวกเขาไม่อาจขาดหายไปได้จากชุมนุมสระหยกครั้งนี้ ข้าเตรียมที่จะถวายฎีกาขึ้นไปยังฝ่าบาท และร้องขอฉายานามวิญญูชนสวรรค์สองตำแหน่ง พวกเขาจะเข้าร่วมเป็นเก้าวิญญูชนสวรรค์กับพวกเรา วิญญูชนสวรรค์ฮ่าว เจ้าคิดว่าอย่างไร”
ฉินมู่สำรวจตรวจตราวิญญูชนสวรรค์ฮ่าว วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวเป็นผู้ก่อตั้งสมบัติเทวะห้าธาตุ และเขาสวมใส่เสื้อผ้าอันหรูหราที่ปักลายไปด้วยอักษรรูนของนก สัตว์ป่า และปลา
และยังมีวงรัศมีอยู่ข้างหลังศีรษะของเขา อันมีดวงดาวห้าดวงอยู่ในรัศมี นั่นน่าจะเป็นดาวธาตุทั้งห้า รัศมีข้างหลังศีรษะของวิญญูชนสวรรค์หั่วนั้นเป็นรูปไข่ ขณะที่ของวิญญูชนสวรรค์ฮ่าวเป็นรูปวงกลม
ท่วงทีของเขาก็แตกต่างไปจากวิญญูชนสวรรค์คนอื่นๆ ที่ฉินมู่ได้พบเจอไปแล้ว วิญญูชนสวรรค์หลิงหมกมุ่นกับการค้นคว้า และไม่สนใจรูปโฉมของตนเอง วิญญูชนสวรรค์โยวมีนิสัยเหมือนเด็กประหลาด วิญญูชนสวรรค์หั่วตรงไปตรงมาและใสซื่อ วิญญูชนสวรรค์อวี้นั้นนุ่มนวลและลื่นไหล และทุกคนที่ฉินมู่ได้พบมายังไม่มีใครให้ความรู้สึกแง่ลบแก่ฉินมู่
และความรู้สึกต่อวิญญูชนสวรรค์ฮ่าวที่ฉินมู่สัมผัสนั้นก็คือคนผู้นี้ทั้งหนักแน่นและดุดัน เขาจะต้องบุกตะลุยไปยังเป้าหมายอย่างไม่สนใจผลกระทบใดๆ เขาจะต้องสำเร็จสิ่งที่หมายมาดไว้ให้จงได้
เมื่อเทียบกับวิญญูชนสวรรค์อวี้แล้ว เขายังคงขาดไปในการบ่มเพาะเครือข่ายความสัมพันธ์ แต่ทว่า เพราะเขาเต็มไปด้วยความกระตือรือร้น จึงมิอาจดูเบาได้
แม้ว่าธรรมชาติของวิญญูชนสวรรค์อวี้จะบรรลุขั้นสมบูรณ์แบบ แต่เพราะว่าความสมบูรณ์แบบเช่นนั้นทำให้เขาระมัดระวังจนเกินไป และสูญเสียโอกาส
แต่ทว่า จากวิญญูชนสวรรค์ทั้งหลายที่ข้าได้พบมา พวกเขาล้วนแต่เป็นผู้คนที่มีความสามารถเลิศล้ำเหนือธรรมดา ไม่อาจประเมินใครต่ำได้เลย
ฉินมู่คิดในใจ ยุคสมัยนี้ไม่ยิ่งใหญ่และไพศาลเกินไปหน่อยหรือ ถึงกับให้กำเนิดยอดอัจฉริยะมากมายขนาดนี้ขึ้นมาได้
วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวสายตาตกลงไปที่ใบหน้าของฉินมู่ ฉินมู่พยักหน้าเป็นการทักทาย แต่สายตาของวิญญูชนสวรรค์ฮ่าวก็เลื่อนไปยังจักรพรรดิก่อตั้งและวัวแก่ในทันที “ฉายานามวิญญูชนสวรรค์นั้น ศิษย์พี่ทั้งสองย่อมคู่ควร ข้าได้เห็นศิษย์พี่ทั้งสองต่อสู้กันแล้ว และมันก็มหัศจรรย์เป็นอย่างยิ่ง ข้าเต็มไปด้วยความชื่นชม แต่ยากที่จะกล่าวได้ว่าจักรพรรดิฟ้าจะเห็นชอบต่อฎีกาของวิญญูชนสวรรค์อวี้หรือไม่ ข้ามีธุระอื่นต้องทำ” หลังจากเขากล่าวเช่นนั้น เขาก็หันกายจากไป
วิญญูชนสวรรค์อวี้ใช้สายตาส่งเขาไป และเขาก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวก็เป็นเช่นนั้น อย่าเก็บมาคิดใส่ใจ”
โอรสหยินสวรรค์กล่าว “อันที่จริงแล้ววิญญูชนสวรรค์ฮ่าวเป็นครึ่งเทพ…”
วิญญูชนสวรรค์อวี้ปรายตามองเขา และโอรสหยินสวรรค์ก็หุบปากลงทันที
จักรพรรดิก่อตั้งถามด้วยความสงสัยใคร่รู้ “ทำไมวิญญูชนสวรรค์ฮ่าวถึงเป็นครึ่งเทพ ทำไมเขาถึงสามารถเปิดสมบัติเทวะห้าธาตุและกลายเป็นวิญญูชนสวรรค์ได้”
ฉินมู่ถาม “ทำไมเจ้าถึงขี้สงสัยนัก”
จักรพรรดิก่อตั้งจ้องเขา “เจ้าไม่สงสัยหรืออย่างไร”
ฉินมู่แค่นเสียงและหันไปถามด้วยสีหน้าอยากรู้อยากเห็น “ใช่แล้ว วิญญูชนสวรรค์อวี้ ทำไมวิญญูชนสวรรค์ฮ่าวถึงสามารถเปิดสมบัติเทวะห้าธาตุได้แม้ว่าเขาจะเป็นครึ่งเทพ”
จักรพรรดิก่อตั้งข่มใจไว้ไม่ให้ชักกระบี่มาฟันเขาสักฉัวะ เขาก็มองไปยังวิญญูชนสวรรค์อวี้ด้วยเช่นกัน
วิญญูชนสวรรค์อวี้ลังเล และเขาก็อธิบาย “มันมีเหตุผลอยู่ การที่วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวเปิดสมบัติเทวะห้าธาตุนั้นเป็นการทดลองของเทพบรรพกาล เขาเป็นบุตรระหว่างเทพบรรพกาลกับมนุษย์”
ทั้งสองคนอึ้งไปเล็กน้อย
วิญญูชนสวรรค์อวี้นำพวกเขาเข้าไปข้างในวังข้างจักรพรรดินีฟ้า และสถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยผู้คน เขาเดินหลบคนอื่นๆ ไปและกล่าว “วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวเป็นครึ่งมนุษย์และครึ่งเทพ เขามีกายเนื้อของมนุษย์และมีสายเลือดของเทพเจ้า สาเหตุที่มันเป็นการทดลองก็เพราะว่าหลังจากที่ข้าเปิดสมบัติเทวะทารกวิญญาณ ก็ได้กระตุ้นให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งฟ้าและดิน ดังนั้นทุกคนจึงสามารถฝึกปรือได้ เมื่อครั้งกระโน้น ข้าค้นพบว่ายังมีสมบัติเทวะชิ้นอื่นๆ เทพบรรพกาลบางตนรู้สึกว่าในเมื่อครึ่งเทพไม่สามารถฝึกวรยุทธได้ ครึ่งเทพก็จะถูกพวกเราผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลายบดบังไปหมดในอนาคต นั่นจึงทำให้พวกเขาหาหนทางแก้ไขให้ครึ่งเทพสามารถฝึกวรยุทธได้เช่นกัน ดังนั้นวิญญูชนสวรรค์ฮ่าวจึงถือกำเนิดขึ้นมา”
ฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้งตามเขาไป และพวกเขาก็แตกตื่นเมื่อได้ยิน
การปรากฏตัวของวิญญูชนสวรรค์ฮ่าว นั่นคงจะเป็นการขับเคี่ยวชิงดีกันระหว่างครึ่งเทพและสรรพชีวิตหลังฟ้าดิน
ฉินมู่ถาม “หากว่าครึ่งเทพแปลงร่างเป็นมนุษย์ ก็ไม่ใช่ว่าพวกเขาสามารถฝึกวรยุทธได้เช่นกันหรอกหรือ”
“พี่มู่ก็รู้เรื่องนี้ด้วยหรือ”
วิญญูชนสวรรค์อวี้สะท้านใจอย่างรุนแรง และเขาเผยสีหน้าตื่นตระหนก ผ่านไปสักพักหนึ่งเขาจึงกล่าวต่อ “เมื่อครึ่งเทพแปลงร่างเป็นมนุษย์ พวกเขาก็จะสามารถมีสมบัติเทวะได้อย่างมนุษย์ แน่นอนว่าพวกเขาก็จะสามารถฝึกวรยุทธได้ แต่ทว่า ครึ่งเทพนั้นเป็นเผ่าพันธุ์สูงส่ง และพวกเขามองว่าการแปลงร่างเป็นมนุษย์นั้นเป็นเรื่องน่าดูแคลน อีกอย่าง เมื่อกาลก่อนนั้น ยังไม่มีวิชาฝึกปรือที่ทำให้ครึ่งเทพกลายเป็นมนุษย์ได้ มีก็แต่เมื่อเร็วๆ นี้ที่วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวได้แก้ไขปัญหาดังกล่าว เขาได้คิดค้นวิชาฝึกปรือที่ทำให้ครึ่งเทพฝึกปรือจนกลายเป็นมนุษย์ได้ เขายังไม่ทันได้ประกาศมันออกไป แต่พี่มู่ถึงกับล่วงรู้เรื่องนี้ เจ้านั้นไม่ธรรมดาจริงๆ!”
ฉินมู่สะดุ้ง และเขาพึมพำในใจว่าเผยไต๋ไปอีกแล้ว
ในยุคสมัยอนาคต วิชาฝึกปรือที่ทำให้เผ่าพันธุ์อื่นๆ แปลงร่างเป็นมนุษย์ได้นั้นดาษดื่นทั่วไป ดังนั้นจึงทำให้เขาฉงนฉงาย เขาลืมไปว่ายุคสมัยนี้ยังไม่มีวิชาฝึกปรือที่ว่าเลยสักนิด
วิญญูชนสวรรค์ไม่ถามหยั่งต่อ และเขาก็กล่าว “เทพบรรพกาลมองการณ์ไกลในอนาคต ครึ่งเทพนั้นอาศัยการเติบโต และเมื่อพวกเขาเติบโตเต็มวัย กำลังฝีมือของพวกเขาก็แทบจะไม่ด้อยไปกว่าเทพบรรพกาล แต่ชีวิตของพวกเขาไม่ยืนยาว พวกเขาไม่สามารถกระโดดออกจากวัฏจักรเกิดแก่เจ็บตายไปได้ ข้ามิได้ทุ่มเทความคิดลงไปในการเปิดสมบัติเทวะอื่นๆ และข้าก็กำลังไตร่ตรองว่าจะทำให้ผู้ฝึกวิชาเทวะคนอื่นกลายเป็นอมตะเหมือนเทพบรรพกาลได้อย่างไร การที่ตัวข้าเองไม่มีวันตายจากความอมตะที่ภูติบดีมอบให้นั้นไม่ใช่หนทางออก ข้ารู้สึกว่าข้าจะต้องเสาะหาหนทางอมตะให้แก่ทุกผู้คน หลังจากนั้นเวลาผ่านหลายสิบปี จนกระทั่งเมื่อวิญญูชนสวรรค์ฮ่าวเปิดสมบัติเทวะห้าธาตุ ข้าถึงได้สติ แต่ทว่า ไม่ทันที่ข้าจะได้ศึกษาค้นคว้าสมบัติเทวะห้าธาตุ วิญญูชนสวรรค์หลิงก็ได้เปิดสมบัติเทวะหกทิศแล้ว”
เขามองไปยังวิญญูชนสวรรค์หลิงและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “วิญญูชนสวรรค์หลิงได้ตรึกตรองทำความเข้าใจสมบัติเทวะห้าธาตุร่วมกับข้าพร้อมๆ กัน แต่กระนั้นนางก็เปิดสมบัติเทวะหกทิศได้ก่อนข้า ดังนั้นวิญญูชนสวรรค์หลิงจึงเฉลียวฉลาดกว่าข้ามากนัก”
วิญญูชนสวรรค์หลิงเร่งเขา “รีบๆ ไปหาที่ตั้งหลักของพวกเราเร็วๆ เข้า ข้ายังอยากไปตรึกตรองทำความเข้าใจทักษะเทวะกับพี่มู่และพี่ฉินนะ!”
วิญญูชนสวรรค์อวี้พาพวกเขาผ่านทะลุราชวังข้าง และเมื่อพวกเขาไปถึงสนามด้านหลัง พวกเขาก็เดินตรงไปยังตึกหลังหนึ่ง “หลังจากนั้น สมบัติเทวะก็ค่อยๆ เปิดกันมาทีละชิ้น เมื่อวิญญูชนสวรรค์อวิ๋นเปิดสมบัติเทวะสะพานเทวะ ข้าก็พลันเกิดความรู้แจ้งขึ้นมา และในที่สุดข้าก็เสาะพบหนทางที่จะทำให้ทุกคนสำเร็จความอมตะ เพื่อให้พวกเขาทัดเทียมกับเทพเจ้า”
เขาเผยความมั่นใจอันแข็งแกร่งออกมาและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ศิษย์พี่ทั้งหลาย โปรดอยู่ที่เรือนรุ่งโรจน์นี้ก่อน ข้ายังคงต้องไปต้อนรับแขกเหรื่อ แต่ทว่า ในคราวนี้ วิญญูชนสวรรค์ฮ่าวจะประกาศวิชาฝึกปรือที่ทำให้ครึ่งเทพสามารถฝึกวรยุทธได้ และข้าเองก็จะประกาศวิธีการที่มนุษย์สามารถบรรลุเป็นเทพเจ้าได้!”
เขามีสายตาอันเร่าร้อน และกล่าวด้วยเสียงอันดัง “ในคราวนี้ข้าจะต้องทำให้สรรพชีวิตหลังฟ้าดินในอนาคตยืนเคียงบ่าเคียงไหล่กับเทพเจ้าได้ ทัดเทียมกับเทพบรรพกาล! นี่คือยุคทอง และการมาถึงของศิษย์พี่ทั้งสองก็จะผลักดันทักษะเทวะให้ก้าวต่อไปข้างหน้าอีก พวกเจ้าได้แสดงให้ข้าเห็นยุคสมัยอันไพศาลแห่งความมั่งคั่งรุ่งเรือง! พี่หยิน พวกเราไปกันเถอะ!”
เขาลุกขึ้นและจากไป ฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้งส่งเขาออก ฉินมู่พลันแย้มยิ้มและกล่าว “วิญญูชนสวรรค์อวี้ เจ้ายังไม่ได้ลงนามในสมุดของข้าเลย”
วิญญูชนสวรรค์อวี้หัวเราะร่า และยกพู่กันเพื่อเขียนลงไปสามคำบนสมุดของฉินมู่ เขาคืนพู่กันแล้วกล่าว “ข้าหวังว่าศิษย์พี่ทั้งสองจะไม่หวงวิชา และนำเอามรรคา วิชา และทักษะเทวะมาเกื้อหนุนให้ยุคทองของพวกเรามาถึงโดยเร็วยิ่งขึ้น!” หลังจากที่เขากล่าวเช่นนั้น เขาก็จากไปพร้อมกับโอรสหยินสวรรค์
ฉินมู่ยืนอยู่ตรงหน้าประตูเรือนรุ่งโรจน์ และมองไปยังชื่อบนสมุดน้อย แม้ว่าจะเป็นอักษรโบราณ แต่เขาก็ยังอ่านออก
หลันอวี้เถียน
นั่นน่าจะเป็นชื่อจริงของวิญญูชนสวรรค์อวี้
เขามองไปยังพวกเขาที่เดินห่างออกไปและโพล่งขึ้นมา “ฉินไค เจ้าคิดอย่างไรกับวิญญูชนสวรรค์อวี้”
จักรพรรดิก่อตั้งมีสีหน้าเคร่งขรึมและกล่าวด้วยน้ำเสียงอันหนักหน่วง “หากว่าพวกเราเกิดในยุคสมัยเดียวกัน ข้าคงไม่กล้าประชันการครอบครองโลกหล้ากับเขา ข้าจะสวามิภักดิ์ต่อเขา”
ฉินมู่ตะลึงไปและกล่าว “เจ้าขาดความมั่นใจในตนเองขนาดนี้เลยหรือ”
จักรพรรดิก่อตั้งกล่าวอย่างเคร่งขรึม “ปณิธาน ความเฉียบขาด ความสามารถ การวางตัว และการจัดการเรื่องราว วิญญูชนสวรรค์อวี้เหนือล้ำไปกว่าข้า ข้าคงจะยินยอมพร้อมใจที่จะเป็นผู้ใต้บัญชาเขา”
ฉินมู่ครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง และไม่สามารถที่จะปฏิเสธได้ว่าวิญญูชนสวรรค์นั้นเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์ นับว่าหาได้ยากไม่ว่าจะเป็นในอดีตหรือปัจจุบัน
ท่ามกลางผู้คนที่เขาเคยพบพาน หลายคนนั้นมีพรสวรรค์อันสะท้านขวัญ หลายคนมีปณิธานอันไพศาล หลายคนเฉียบขาดห้าวหาญเป็นอย่างยิ่ง และหลายคนก็วางตัวและจัดการเรื่องราวได้ดีมาก แต่ทว่า ไม่มีใครเลยที่สมบูรณ์แบบเท่ากับวิญญูชนสวรรค์อวี้
“ถ้าอย่างนั้น แล้ววิญญูชนสวรรค์ฮ่าวล่ะ?” ฉินมู่ถามต่อ
จักรพรรดิก่อตั้งเต็มไปด้วยความห้าวหาญและกล่าวด้วยรอยยิ้ม “ข้าได้พบกับวิญญูชนสวรรค์ฮ่าวเพียงครู่เดียว และข้าเห็นได้ว่าคนผู้นี้หัวแข็งและมีความคิดเป็นของตนเองสูง หากว่าข้าได้พบกับวิญญูชนสวรรค์ฮ่าว ข้าจะต่อสู้กับเขาเพื่อให้ทัดเทียมกัน และข้าก็จะช่วงชิงอำนาจของโลกหล้า เพื่อรวบรวมหัวใจของผู้คน ไม่มีทางรู้ได้ว่าใครจะแพ้หรือชนะ”
ฉินมู่พลันแย้มยิ้มออกมา “แล้วหากว่าเจ้าเจอข้าล่ะ?”
จักรพรรดิก่อตั้งจ้องไปที่เขาและไม่พูดจาเป็นเวลานาน
ฉินมู่เผยสีหน้ากระตือรือร้นและจ้องไปที่เขายังไม่ลดละ
จักรพรรดิก่อตั้งกระแอมไอและกล่าว “เจ้า…นิสัยใจคอของเจ้ามีจุดอ่อนมากเกินไป เจ้าเหมือนกับมีจุดอ่อนไปทั่วทั้งตัว ลมรั่วออกมาทุกหนทุกแห่ง…”
ฉินมู่ใบหน้ามืดดำราวกับถ่าน และเขาก็มีสีหน้าทะมึน
จักรพรรดิก่อตั้งกล่าวด้วยรอยยิ้ม “อย่าโกรธไป หากว่าพวกเรามาจากยุคสมัยเดียวกัน ข้าไม่คิดว่าจะได้เป็นศัตรู แต่คงจะเป็นสหายกันแทน เจ้าอาจจะมีนิสัยใจคอประหลาด และคอยเอาแต่กัดข้า แต่ข้าไม่รู้สึกถึงเจตนาร้าายจากเจ้า ในทางกลับกัน มันเหมือนกัน เหมือนกับ…”
เขามีสีหน้าประหลาดพิลึก “เหมือนกับความโมโหที่อีกฝ่ายพยายามไม่เพียงพอ”
ฉินมู่พูดไม่ออก
จักรพรรดิก่อตั้งกล่าวต่อ “พรสวรรค์และปฏิภาณของเจ้าไม่ด้อยไปกว่าข้า แต่เจ้ายังไม่เข้าที่เข้าทาง เจ้ายังไม่ได้ควบคุมตัวเองให้เหมาะเจาะจึงยังไม่ได้ครอบครองปัญญาญาณอันแท้จริง นี่คือจุดที่เจ้าด้อยกว่าข้า บางทีเจ้าอาจจะทำได้ดีกว่าข้าในอนาคต แต่ตอนนี้เจ้ายังไม่ได้ทำเช่นนั้น”
ฉินมู่พยักหน้าน้อยๆ และมองไปที่เขาด้วยอารมณ์อันผสมปนเป เขาคิดในใจ จริงๆ แล้วเจ้าเป็นคนที่ข้าเรียนรู้เพื่อเอาเยี่ยงอย่าง ข้าอยากที่จะเป็นเหมือนเจ้า แต่ก็ไม่เหมือนเจ้าโดยสิ้นเชิง
“พวกเราไปที่เรือนตึกกันเถอะ” จักรพรรดิก่อตั้งกล่าว “วิญญูชนสวรรค์หลิงกำลังรอพวกเราอยู่”
ฉินมู่สะสางความรู้สึกของเขา และเดินเข้าไปในเรือนพร้อมกับเขา
วิญญูชนสวรรค์หลิงตื่นเต้นจนเก็บอาการไม่อยู่ และนางก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม “ในที่สุดพวกเราก็หลุดจากเรื่องวุ่นวายพวกนั้น ตอนนี้พวกเราสามารถเพ่งสมาธิกับการศึกษาค้นคว้าได้แล้ว ข้าเกลียดการสร้างเครือข่ายมากที่สุด หากว่าไม่ใช่เพราะวิญญูชนสวรรค์อวี้เชิญข้ามา ข้าก็คงคร้านเกินกว่าที่จะเข้าร่วม! พวกเรารีบเริ่มกันเถอะ!”
ฉินมู่กล่าวด้วยรอยยิ้ม “พี่หลิง เจ้าเป็นหัวเรือ ส่วนพวกเราจะคอยช่วยสนับสนุน ไม่ว่าเจ้าจะไม่เข้าใจหรือคิดคำนวณอะไรไม่ออกตรงไหน พวกเราจะช่วยแก้ไขปัญหาให้ ข้าไม่อาจพูดได้ถึงศาสตร์ทั้งหมด แต่ในด้านทักษะเทวะเสกสรรและการเรียนรู้อื่นๆ แล้ว พวกข้าทั้งสองล้วนแต่แข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง อย่างน้อยๆ พวกข้าก็แข็งแกร่งยิ่งกว่าใครๆ ในโลกหล้า!”
จักรพรรดิก่อตั้งลังเลและในที่สุดก็ตกลงใจได้ “แม้ว่ามู่ชิงจะค่อนข้างยโสโอหังไปหน่อย แต่มันก็เป็นดังที่เขากล่าว ในจักรวาลแห่งนี้ไม่ว่าจะสิบหมื่นปีก่อนหน้าหรืออีกสิบหมื่นปีให้หลัง ก็ไม่มีใครชาญฉลาดยิ่งไปกว่าพวกข้าทั้งสองได้ วิญญูชนสวรรค์หลิง โปรดจัดระบบความคิดของเจ้า แล้วพวกเราจะช่วยขัดเกลาให้สมบูรณ์แบบ”
วิญญูชนสวรรค์หลิงปีติยินดี
ทั้งสามคนเริ่มที่จะง่วนกับการศึกษาค้นคว้า วิญญูชนสวรรค์หลิงพยายามที่จะคิดค้นทักษะเทวะสำหรับสสารอันแข็งค้างไปชั่วนิรันดร์ นางได้ค้นพบทิศทางแล้วและเริ่มก้าวออกไปย่างก้าวแรก แต่ความรู้ที่เกี่ยวข้องนั้นมากมายและยุ่งเหยิงจนเกินไป ทักษะเทวะเสกสรรนั้นเป็นเพียงแค่แขนงหนึ่งในบรรดาเหล่านั้น
โชคดีว่า ฉินมู่และจักรพรรดิก่อตั้งเรียนรู้สิ่งต่างๆ ทุกหนทุกแห่ง และความสำเร็จของพวกเขาในเชิงพีชคณิตก็หาได้ยากในโลกหล้า ปัญหาต่างๆ ของวิญญูชนสวรรค์หลิงถูกพวกเขาไขกระจ่างไปทีละเปลาะๆ
หลังจากที่พวกเขาเริ่มการค้นคว้า เวลาครึ่งเดือนก็ผ่านไปโดยไม่รู้ตัว และพวกเขาก็หลงลืมวันคืน วัวแก่มีนิสัยใจคออันสงบเย็น และเขาก็นั่งจิบชาและสูบกล้องยาสูบน้ำอยู่ไม่ไกล บางครั้งเขาก็รู้สึกเบื่อหน่ายและคิดในใจ วังข้างของจักรพรรดินีฟ้านี่ไม่ได้เรื่องเอาเสียเลย ทำไมไม่มีที่นาสักหลายๆ ทุ่งกันนะ หลังจากไม่ได้ทำไร่ไถนามาหลายวัน กระดูกกระเดี้ยวข้าก็เริ่มจะเกียจคร้าน…
ผู้ฝึกวิชาเทวะมาเข้าร่วมการชุมนุมมากขึ้นทุกที และในช่วงเวลาเหล่านี้ ก็มีผู้ฝึกวิชาเทวะมากมายที่มานั่งอยู่ในบริเวณเรือนรุ่งโรจน์ เมื่อพวกเขาเหน็ดเหนื่อย ก็จะมานอนพักผ่อนใต้ต้นไม้
วัวแก่พ่นควันยาสูบออกไปเป็นวง และมองด้วยสายตาเอื่อยเฉื่อยไปยังผู้ฝึกวิชาเทวะทั้งหลายที่กำลังปรึกษาหารือกันเรื่องมรรคา วิชา และทักษะเทวะ ครึ่งเทพมากมายก็มายังสระหยกด้วย และพวกเขาบางคนก็ถึงกับโบยบินอยู่บนท้องฟ้า พวกเขาไม่ร่อนลงมากับพื้น
ในตอนนั้นเอง ความอึกทึกก็ดังมาเมื่อผู้คนนับไม่ถ้วนส่งข่าวต่อๆ กันไป “เจ็ดวิญญูชนสวรรค์กำลังจะสอนบรรยายแล้ว!”
“ข้าได้ยินว่าวิญญูชนสวรรค์อวี้กำลังจะบอกกล่าวพวกเราถึงวิธีการบรรลุเป็นเทพเจ้า ให้พวกเราไปยังโถงตำหนักหลักแห่งราชวังข้าง!”
“รีบไปแต่เนิ่นๆ จะได้จับจองที่นั่งดีๆ! หากว่าเจ้าชักช้าก็จะได้อยู่แต่ข้างนอก ทั้งหนาวและหิวโหย!”
เสียงร้องโหวกเหวกดังมาในบริเวณโดยรอบ เมื่อทุกๆ คนกรูเข้าไปยังโถงตำหนักหลัก วัวแก่รีบลุกขึ้นมาและเขาคิดอยู่ในใจ ข้าจะต้องไปบอกจักรพรรดิก่อตั้งและฉินมู่เกี่ยวกับการชุมนุมนี้ พวกเขาได้สนทนาเรื่องนี้มาก็นานโขแล้ว…
ขณะที่เขาคิดอยู่นั่นเอง เขาพลันได้ยินเสียงหวีดร้องออกมาเมื่อผู้คนมากมายร้องโหยหวนด้วยความประหวั่นพรั่นพรึง
เสียงนั้นอึงคะนึงจนไม่ได้ศัพท์ และวัวแก่ก็ไม่รู้ว่าพวกเขาตะโกนอะไรกัน
คนพวกนี้โหวกเหวกเกินไปไหม ผู้คนแห่งยุคโบราณล้วนแต่มีพวกตื่นไฟ
วัวแก่ส่ายหัวไปมา และเดินต่อเข้าไปยังเรือน ในขณะที่เสียงตะโกนนั้นชัดเจนมากขึ้นทุกที
มีบางคนตะโกนอยู่ข้างนอกด้วยเสียงอันดัง
“วิญญูชนสวรรค์อวี้ตายแล้ว!”