ตำนานเทพกู้จักรวาล Tales of Herding Gods - ตอนที่ 772 สี่หมื่นปีประดุจบทเพลง
“ภูติบดี ท่านยังรู้จักคำว่ามนุษยธรรมอีกด้วยหรือ!”
ฉินมู่แค้นใจ แต่เขาก็ไม่กล้าพูดออกไป
การศึกที่แดนใต้พิภพนั้นเป็นการวางแผนของภูติบดีชัดๆ ที่ยืมมือเขากวาดล้างอิทธิพลอำนาจแห่งสภาสวรรค์ในแดนใต้พิภพ เพราะว่าบิดามารดาของเขาล้วนแต่อยู่ในแดนใต้พิภพ และภูติบดีก็ดูแลทั้งสองเป็นอย่างดี เขาจึงต้องตอบแทนน้ำใจของภูติบดี
กระนั้นจากสิ่งที่เห็นในตอนนี้ นอกจากการแบกรับการกล่าวโทษจากสภาสวรรค์แล้ว เขายังต้องแบกรับการกล่าวโทษจากพระแม่ธรณีอีกด้วย
ในการศึกแห่งด่านกุญแจหยกแดนใต้พิภพ บุตรของพระแม่ธรณีที่ตายในมือของเขาน่าจะเป็นเอี๋ยนจิ่วซี ในการต่อสู้นั้น เอี๋ยนจิ่วซีดูเหมือนว่าจะกล่าวถึงการที่เขามีสายเลือดของพระแม่ธรณี และว่าเขาคือบุตรแห่งพระแม่ธรณี
ยิ่งไปกว่านั้น ทักษะเทวะที่เอี๋ยนจิ่วซีเชี่ยวชาญ ยังเป็นทักษะเทวะสนามแม่เหล็กอีก
แม้ว่าทักษะเทวะสนามแม่เหล็กของเขาจะไม่เพริศแพร้วพิสดารเท่ากับของท่านยายซี แต่ก็ยังคงเลิศล้ำเหนือธรรมดา เขาทำให้ฉินมู่ไม่มีทางเลือกอื่น นอกเสียจากจะต้องใช้เต๋าอันยิ่งใหญ่แห่งไฟสวรรค์เพื่อหักล้าง
จุดจบของเอี๋ยนจิ่วซี คือถูกฉินเฟิงชิงจับกิน
แต่ทว่า ในเมื่อพระแม่ธรณีตายไปแล้ว ก็ไม่มีความจำเป็นที่เขาจะต้องกังวล
“จิตวิญญาณดั้งเดิมที่พี่ชายกินเข้าไปนั้นมีจำนวนนับไม่ถ้วน มีแต่สวรรค์เท่านั้นที่รู้ว่ายังคงมีคำกล่าวโทษอีกสักเท่าไรรอข้าอยู่ข้างหน้า”
ฉินมู่คิดในใจ ท่านยายซีขับเคลื่อนมหาทักษะเทวะสนามแม่เหล็ก อันเป็นผลให้แดนพิภพผุดโผล่ขึ้นมายังพื้นผิวอีกครั้ง งั้นพระแม่ธรณีตายไปแล้วจริงๆ น่ะหรือ ทำไมทักษะเทวะสนามแม่เหล็กถึงกระตุ้นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นอยู่ ณ ขณะนี้ได้ล่ะ
แดนโบราณวินาศเหมือนกับพัดจีบ และบัดนี้พัดที่จีบพับเอาไว้กำลังถูกคลี่กางออกมา
พัดถูกที่จีบเก็บไว้เหมือนกับแดนโบราณวินาศ และพัดที่ถูกกางออกมาแล้วก็คือแดนก่อกำเนิดพระแม่ธรณี
แล้วทำไมแดนก่อกำเนิดพระแม่ธรณีถึงถูกพับเอาไว้เป็นแดนโบราณวินาศล่ะ แล้วทำไมมันถึงเพิ่งจะมาเปิดเอาในตอนนี้
ใครคือผู้ที่พับเก็บโลกอันกว้างใหญ่ไพศาลอย่างแดนก่อกำเนิดพระแม่ธรณีเข้าไปเป็นแดนโบราณวินาศได้
ทำไมทักษะเทวะสนามแม่เหล็กถึงสาบสูญไปหลังจากความตายของพระแม่ธรณี
หรือว่าจะมีใครบางคนที่สังหารผู้ฝึกวิชาเทวะอันฝึกปรือทักษะเทวะสนามแม่เหล็กไปเสียทั้งหมด
ทักษะเทวะสนามแม่เหล็กที่ยังหลงเหลืออยู่ในโลกนี้ก็มีแต่อยู่ในคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิต ยิ่งไปกว่านั้น จำนวนของมันก็มีอยู่น้อยนิดจนไม่ก่อขึ้นมาเป็นระบบ นี่คือเหตุผลที่ทำให้ข้าเกิดความคิดที่จะสร้างสรรค์อักษรรูนสนามแม่เหล็กขึ้นมา
ฉินมู่คิดในใจ งั้นใครกันที่เป็นผู้ลบล้างทักษะเทวะสนามแม่เหล็ก หรือว่าผู้ที่ลบล้างทักษะเทวะสนามแม่เหล็ก จะเป็นคนกลุ่มเดียวกันกับที่สังหารพระแม่ธรณี ท่านยายซีเพิ่งจะใช้ทักษะเทวะสนามแม่เหล็กไป และแดนพิภพก็คลี่คลายออกมา หรือว่านี่จะเป็นวิธีการที่พระแม่ธรณีหลงเหลือเอาไว้เพื่อรับประกันการอยู่รอดของนาง
เขาดึงรั้งสำนึกรู้ของตนออกมาและมองไปรอบๆ แดนพิภพกลายเป็นกว้างใหญ่ไพศาลมากขึ้นๆ และสันตินิรันดร์ซึ่งอยู่ห่างไกลออกไป ก็ไม่สามารถมองเห็นได้แล้ว แม้แต่ทะเลใต้เขาก็มองไม่เห็น
การขยายตัวของแดนโบราณวินาศค่อยๆ ชะลอตัวลง และในที่ไกลๆ นั้น ก็มีชั้นเมฆห้อมล้อมยอดเขาอันยิ่งใหญ่ตระการ
“หากว่าเกิดการเปลี่ยนแปลงอันน่าตื่นตระหนกขึ้นในแดนโบราณวินาศ แล้วสันตินิรันดร์จะเกิดการเปลี่ยนแปลงไปด้วยหรือไม่”ยายเฒ่าซีเอ่ยถาม
ทุกคนรู้สึกประหวั่นพรั่นพรึง หากว่าสันตินิรันดร์ก็กลายเป็นกว้างใหญ่ไพศาลเช่นนี้ ทุกๆ เมืองก็คงจะอยู่ห่างไกลกันอย่างลิบลับ และในชั่วพริบตา อำนาจปกครองของสภาราชสำนักสันตินิรันดร์ก็จะตกต่ำลงถึงขีดสุด
เมื่ออำนาจการปกครองของดินแดนต่างๆ ลดลง นี่ก็เป็นสัญญาณการล่มสลายของจักรวรรดิ
เดิมทีจักรวรรดิสันตินิรันดร์มีอำนาจปกครองเหนือทุ่งหญ้าแห่งทิศตะวันตก และที่ราบน้ำแข็งแห่งทิศเหนือ แต่ในบัดนี้ ก็คงยากที่จะกล่าวแล้ว
ทุกคนหัวใจหนักอึ้ง
“ประเด็นสำคัญที่สุดก็ยังคงเป็นสวัดิภาพของผู้คน”
ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “การเปลี่ยนครั้งยิ่งใหญ่ในแดนโบราณวินาศได้แปรเปลี่ยนเป็นแดนพิภพ และสถานที่มากมายอันกำลังพวยพุ่งไปด้วยแสงตะวันหลากสีนี้ก็คือเศษซากที่หลงเหลือจากทักษะเทวะ หากว่าผู้คนเข้าไปในสถานที่เหล่านั้นโดยบังเอิญ ก็จะเกิดการบาดเจ็บล้มตายอย่างมหาศาล แดนโบราณวินาศในขณะนี้เต็มไปด้วยภยันตราย ดังนั้นพวกเราจะต้องออกไปบอกเตือนผู้คนแห่งแดนโบราณวินาศ!”
ทุกคนผงกศีรษะ บัดนี้ไม่ใช่เวลาที่จะห่วงกังวลสันตินิรันดร์ ความปลอดภัยของผู้คนในแดนโบราณวินาศสำคัญกว่า
“เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ ข้าจะรบกวนท่านสักหน่อยให้ช่วยส่งผู้ฝึกวิชาเทวะและเทพเจ้าแห่งสวรรค์ไท่หวงไปยังดินแดนทุกหนทุกแห่งเพื่อบอกเตือนผู้คนอันอาศัยอยู่ที่นั่น”
ฉินมู่กล่าว “คนอื่นก็สามารถมุ่งหน้าไปยังทุกหนทุกแห่งเพื่อให้แน่ใจว่าทุกๆ เมืองและหมู่บ้านจะได้รับข้อมูลข่าวสารเหล่านี้”
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้กล่าว “ไม่ต้องกังวล ข้าจะไปเดี๋ยวนี้ละ!”
เขานั้นกำลังจะมุ่งหน้าไปยังเมืองเทพยดาแห่งสวรรค์ไท่หวง แต่ทันใดนั้น เสียงคำรามอันทุ้มต่ำและน่าสะพรึงกลัวก็ดังมาจากป่าไพรแห่งแดนพิภพ เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ชะงักเท้าและมองไปยังที่มา
ท่ามกลางเทือกเขาอันลดหลั่นไม่สิ้นสุด สัตว์ยักษ์มหึมาสามารถมองเห็นได้ระหว่างภูเขา เผยหลังสีเขียวอันใหญ่โตโอฬารของมัน
ทุกคนตื่นตระหนก และเทพซังเย่ก็พึมพำ “นั่นมันคืออะไร ร่างกายใหญ่โตขนาดนั้น…”
ฉินมู่สะท้านใจ และระบายลมหายใจขาดเป็นห้วง “ครึ่งเทพ”
ทุกคนไม่รู้ความหมายของเขา และก็ตามจ้องมายังเขา “อะไรคือครึ่งเทพ เทพปลอมอย่างนั้นหรือ”
ฉินมู่กล่าวอย่างเคร่งขรึม “ครึ่งเทพเหล่านี้อันตรายเป็นอย่างยิ่ง พวกมันคือบุตรหลานของเทพบรรพกาล และครอบครองสายเลือดดึกดำบรรพ์ พวกเราจะต้องระมัดระวัง! พวกเจ้าก็ต้องระวังด้วยเช่นกัน หลังจากเวทปิดผนึกของแดนโบราณวินาศถูกคลี่คลายและมันได้กลายไปเป็นแดนพิภพ ข้าเกรงว่าคงมีครึ่งเทพที่รอดชีวิตมามากมายนัก”
ซังเย่ฉงนฉงาย “เทพบรรพกาลคืออะไร”
ฉินมู่อธิบาย “เทพบรรพกาลนั้นคือเทพเจ้าที่ก่อกำเนิดขึ้นมาตามธรรมชาติ อย่างเช่นเทพสรรพชีวิต ภูติบดี และพระแม่ธรณี ครึ่งเทพนั้นเป็นลูกหลานของพวกเขา และพวกมันก็เหมือนกับกิเลนมังกรที่นับได้ว่าเป็นครึ่งเทพด้วยเช่นกัน พวกมันจะแข็งแกร่งขึ้นเมื่อมีอายุมากขึ้น ครึ่งเทพเหล่านี้อาศัยพลังอำนาจของสายเลือด แต่พวกมันก็สามารถฝึกวรยุทธแบบที่พวกเราฝึกได้ด้วยเช่นกัน ยิ่งไปกว่านั้น หลังจากที่พวกมันฝึกวรยุทธ ก็จะยิ่งแข็งแกร่งกว่าเดิม ดังนั้นพวกเจ้าต้องระวังให้มากๆ!”
เทพเที่ยงแท้ผางอวี้ตะโกนไปด้วยเสียงอันดัง “ทหารแห่งสวรรค์ไท่หวง ตามข้ามา!”
เขานำทุกๆ คนจากไป และซวีเซิงฮวาก็กล่าว “ข้าจะต้องเดินทางกลับไปที่แผ่นดินตะวันตกและดูว่าที่นั่นปลอดภัยหรือไม่”
ฉินมู่ผงกศีรษะและกล่าว “เจ้าอาจจะต้องใช้เวลาสองปีหรือนานกว่านั้นถึงจะเดินทางไปถึงแผ่นดินตะวันตก เจ้าจะต้องระมัดระวังในการเดินทาง”
“ไม่ต้องกังวล หากว่าข้าไม่ตายในน้ำมือเจ้า ข้าก็คงไม่ตายด้วยน้ำมือครึ่งเทพหรอก” ซวีเซิงฮวาเร่งรุดจากไป
ยายเฒ่าซีนำพาบัณฑิตแห่งสถาบันนักบุญสวรรค์มากมายเพื่อกลับไปจัดเก็บสัมภาระ “มู่เอ๋อ ข้าจะไปพร้อมกับบัณฑิตเหล่านี้เพื่อแจ้งข่าวให้แก่พวกชาวบ้านในแดนโบราณวินาศฝั่งตะวันตก เจ้าจะต้องดูแลตัวเองให้ดีๆ นะ”
ฉินมู่กล่าว “ท่านยายไม่ต้องกังวล ท่านไปฝั่งตะวันตก ข้าจะมุ่งหน้าไปฝั่งตะวันออก อีกอย่าง อย่าฉายส่องจิตวิญญาณดั้งเดิมออกไปเพื่อติดต่อกับทางสันตินิรันดร์ ในแดนพิภพแห่งนี้มีสมรภูมิรบมากมายเกินไป และอันตรายก็มีอยู่ทั่วทุกหย่อมหญ้า พวกครึ่งเทพเองก็เผยโฉมออกมา ดังนั้นต้องระหว่างอย่าให้จิตวิญญาณดั้งเดิมของท่านได้รับบาดเจ็บ”
“เด็กดื้อ เดี๋ยวนี้หันมาสั่งสอนข้าแล้วหรือ”
ยายเฒ่าซีพาทุกๆ คนจากไป และนางก็กล่าวทิ้งท้ายด้วยรอยยิ้ม “อย่างไรข้าก็เป็นคนสอนเจ้ามา แผนอุบายและลูกไม้ทั้งหลาย ไม่ใช่ท่านยายของเจ้าที่สอนหรือ”
ฉินมู่ใช้สายตาส่งพวกเขา และเขาครุ่นคิดกับตนเอง ข้าน่าจะไปที่โลกสู้วัวและตามหาครูบาสวรรค์วิชาบู๊ ข้าจำเป็นต้องเชื้อเชิญผู้ฝึกวิชาบู๊แห่งโลกสู้วัวออกมาช่วยเหลือ และมีก็แต่แบบนั้นข้าถึงจะสามารถแจ้งข่าวเตือนแก่ผู้คนในแดนโบราณวินาศได้รวดเร็วยิ่งขึ้น
เขาหักเหเปลี่ยนทิศ และเขาก็พาวิญญูชนสวรรค์อวี้เพื่อเดินลงไปจากสวรรค์ไท่หวง แล้วจึงวิ่งตะบึงตรงไปยังหมู่บ้านภูเขาเล็กๆ แห่งนั้น ข้าสงสัยว่าโลกสู้วัวจะเกิดการเปลี่ยนแปลงพลิกฟ้าไปด้วยหรือเปล่านะ…
เมื่อแดนโบราณวินาศผ่านการเปลี่ยนแปลงครั้งยิ่งใหญ่โลกมิติมากมายก็โบยบินออกมาจากหน้าผาขาด และโลกมิติเหล่านั้นก็ถูกโยนขึ้นไปบนท้องฟ้าด้วยเทวานุภาพสนามแม่เหล็กในตอนที่แดนพิภพทลายฝ่าเวทปิดผนึกออกมา
โลกสู้วัวนั้นก็เป็นโลกมิติที่ถูกหลอมสร้างขึ้นมาจากวังสวรรค์สู้วัว ครูบาสวรรค์วิชาบู๊ได้ซ่อนโลกมิตินี้เอาไว้ในแดนโบราณวินาศ และมันก็อาจจะถูกเหวี่ยงให้ลอยขึ้นไปบนท้องฟ้า
“พี่ใหญ่มู่ ช้าๆ หน่อย” วิญญูชนสวรรค์อวี้หอบหายใจขณะที่ตามไปข้างหลังเขา
ปราณชีวิตของฉินมู่เคลื่อนโคจร และเขาก็ใช้พลังวัตรจำนวนหนึ่งเพื่อยกร่างของวิญญูชนสวรรค์อวี้ไปด้วย ก่อนที่จะเร่งความเร็ว
พลังวัตรของเขาเข้มข้นมากในตอนนี้ ดังนั้นจึงไม่หนักหนาสาหัสที่จะแบกวิญญูชนสวรรค์อวี้ไปด้วย
ฉินมู่วิ่งตะบึงไปตลอดทาง และราวกับว่าเขาได้หลุดเข้าไปในป่าดึกดำบรรพ์อันไม่มีอะไรคุ้นตาเขาเลยสักนิด มันมีภูเขาสูงตระหง่านลิบฟ้ารอบๆ ตัวเขา และแม้แต่ต้นไม้ทั้งหลายก็ใหญ่โตมโหฬารอย่างเหลือเชื่อ พวกมันทั้งสูงและใหญ่โตยิ่งกว่าต้นไม้ในแดนโบราณวินาศ
ในแดนพิภพนี้มีปริศนาอันยังไม่ถูกไขให้แจ้งเป็นจำนวนมาก และมันก็เหมือนกับโลกอันแปลกหน้าสำหรับเขา แต่ทว่า ถึงแม้จะมีอันตรายซุ่มซ่อนอยู่ทุกที่ เขาก็ยังต้องบุกฝ่าเข้าไป
แดนโบราณวินาศคือสถานที่อันเขาเติบโตขึ้นมา และผู้คนแห่งแดนโบราณวินาศก็คือครอบครัวของเขา
ฉินมู่ไม่รู้ว่าเขาวิ่งไปไกลสักเท่าไร ก่อนที่เขาจะชะลอความเร็วลงและมองไปยังภูเขาเบื้องหน้า ก้อนแสงตะวันหลากสีหลายก้อนค่อยๆ ลอยขึ้นจากภูเขา และเมื่อมองไปที่พวกมันด้วยเนตรเทวะสวรรค์หยกเขาก็พบว่าก้อนแสงตะวันหลากสีเหล่านั้นคือทักษะเทวะอันแสนอันตรายร้ายกาจ
ต้องอ้อมไป!
ฉินมู่ตัดสินใจทันที และเดินอ้อมตีนเขาลูกนั้น เมื่อเขามาถึงเงาภูเขา ก็พลันตกตะลึง เขาเห็นก็แต่สนามรบโบราณและสมรภูมิอันกว้างใหญ่อยู่ตรงหน้า รังสีแสงตะวันหลากสีจำนวนนับไม่ถ้วนเหมือนกับพวยควันอันคละคลุ้งจากไฟสงคราม พวกมันแผ่ขยายไปทั่วสนามรบ มีทั้งที่ซ่อนอยู่ระหว่างผนังแตกหักและกำแพงพังภินท์ ดูงดงาม สะดุดตา และน่าหลงใหลอย่างสุดแสน
ฉินมู่ตั้งสติตนเองและเหาะขึ้นไปบนท้องฟ้า หลังจากเหาะไปได้สิบกว่าลี้ เขาก็มองลงไปและพบว่าสนามรบแห่งนี้ยาวเหยียดอย่างยิ่ง แต่ทว่ามันไม่ได้กว้างขวางอย่างที่เขาคาดคิด มีระยะยาวเพียงแค่หนึ่งพันลี้
เหาะผ่านมันไปจากทางอากาศไหม
ฉินมู่เพ่งพิศดูท้องฟ้าเหนือสนามรบ และท้องฟ้าก็ดูว่างโล่ง ขณะที่เขากำลังจะเหาะขึ้นไปนั้นเอง ปักษาขนทองตัวหนึ่งก็บินผ่านศีรษะของเขา และกระพือปีกตรงไปข้างหน้า
ปักษาขนทองนั้นเหาะไปได้สักสิบลี้ แต่ทันใดนั้นมันก็ปริแยกเป็นชิ้น มันกลายเป็นชิ้นเนื้อที่ร่วงลงมาจากท้องฟ้า
ถัดไปนั้น ชิ้นเนื้อเหล่านี้ก็ถูกหั่นออกจากกันอีกระหว่างที่ร่วงหล่นลงมา พวกมันกลายเป็นเนื้อหั่นเต๋า
เมื่อลูกเต๋าเนื้อร่วงลง มันก็ยิ่งเล็กลงและเล็กลง จนเมื่อมันลงมาถึงพื้น มันก็เล็กจนตาเปล่ามองแทบไม่เห็น
ฉินมู่ตื่นตระหนก และดวงตาที่สามบนหว่างคิ้วของเขาก็เปิดออกมา เนตรเทวะทั้งสามของเขามองไปยังท้องฟ้า ถึงตอนนั้นเขาจึงเพิ่งจะเห็นเส้นสีดำๆ ที่อยู่เหนือสมรภูมิ เส้นเหล่านั้นยืดยาวไปทั่วทุกทิศทาง และดูเหมือนกับใยแมงมุมที่ยากจะจับสังเกต พวกมันถักทอขึ้นมาเป็นตาข่ายอันสะเปะสะปะกลางฟากฟ้า
รอยแยกในมิติอวกาศ!
ขนหัวฉินมู่ลุกจนหนังหัวชาดิก เมื่อบินไปบนท้องฟ้าก็ยากที่จะสังเกตเห็นรอยแยกมิติอวกาศเหล่านั้นอันไม่มีความหนาเลยแม้แต่น้อย หากว่าเขาได้เหาะไป เขาก็คงจะมีจุดจบเหมือนกับปักษาขนทอง
ระยะทางหนึ่งพันลี้ เดินทางไปใช้เวลาไม่นาน แต่หากว่าข้าต้องเดินอ้อมไป นั่นก็คงจะเสียเวลาไปมาก
เขาร่อนลงมาเหยียบพื้นและกล่าวกับวิญญูชนสวรรค์อวี้ “ตามข้ามา อย่าเดินออกนอกทาง”
วิญญูชนสวรรค์อวี้เองก็เล็งเห็นอันตราย และผงกศีรษะซ้ำๆ
ทั้งสองคนเดินลึกเข้าไปในสมรภูมิโบราณ และก็เห็นไฟผีโขมดลอยขึ้นมาจากโครงกระดูกขาววนเวียนไปมารอบๆ ฉินมู่หลบหลีกแสงตะวันหลากสีและไฟผีโขมด เขาใช้ปราณชีวิตของตนเพื่อขับเคลื่อนไจกระบี่ให้กลิ้งไปข้างหน้าพวกเขา ทดสอบดูว่ามีอันตรายรออยู่หรือไม่
เส้นทางนี้ปลอดภัยเป็นอย่างยิ่ง และหลังจากที่เดินไปหนึ่งร้อยลี้ เมืองอันเก่าพังก็ปรากฏตรงหน้าพวกเขา
พวกเขามายังหน้าเมืองนั้น และพวกเขาก็ได้ยินเสียงขิมอันแผ่วเบาแว่วมาจากในเมือง เสียงของขิมนี้ดูเหมือนจะกระซิบกระซาบราวกับเด็กสาวที่กำลังคร่ำครวญถึงอดีตอันแสนเศร้าของตน
หนังหัวฉินมู่ชาดิก สมรภูมิโบราณนี้เกลื่อนกลาดไปด้วยโครงกระดูก แล้วทำไมถึงมีเสียงขิมขึ้นมาได้
มีแท่นจารึกหินมากมายที่ได้ถล่มลงมาตรงหน้าประตูเมือง รอยแยกของแท่นจารึกหินเหล่านั้นยังสดใหม่ และฉินมู่ก็ส่งเสียงชู่แก่วิญญูชนสวรรค์อวี้ให้เงียบๆ เอาไว้ เขาค่อยๆ เอาเศษหินระเกะระกะบนแท่นศิลาจารึกออก และบนนั้นก็บันทึกเอาไว้ถึงสงครามหนึ่ง
“เจ็ดสิบสองท้องพระโรงแห่งจักรพรรดิสูงส่ง ท้องพระโรงหงส์เพลิง หัวหน้าท้องพระโรงฉีเสียอวี๋ได้สังหารจักรพรรดิแดงเอี๋ยนเชียนจ้งแห่งสภาสวรรค์นอกโลก ณ ที่แห่งนี้!”
ข้างๆ แท่นจารึกหินคือแท่นจารึกหินแตกหักอีกอันหนึ่ง และมันก็บันทึกสงครามอีกแห่ง ฉินมู่อ่าน และบนนั้นก็บันทึกว่ารัชทายาทได้คร่ากุมตัวฉีเสียอวี๋ในสถานที่นี้ และฉีเสียอวี๋ก็ยอมศิโรราบ รัชทายาทได้แต่งตั้งนางให้เป็นจักรพรรดิแดงสวรรค์ทักษิณคนใหม่ และตั้งแท่นจารึกหินนี้เพื่อเป็นอนุสรณ์แห่งคุณงามความดี
ขิมนี้…
ฉินมู่ตะลึงไปเล็กน้อย และเขาก็ร้องออกมา “หรือว่ามันจะเป็นขิมของจักรพรรดิแดงฉีเสียอวี๋ มิน่าล่ะ มันถึงฟังคุ้นหูอยู่! ไม่ใช่ว่านางไปไล่ตามพุทธเจ้าท้าวสักกะอยู่หรอกหรือ หรือว่าพุทธเจ้าท้าวสักกะก็มายังแดนโบราณวินาศด้วย”
ขณะที่เขาคิดจนถึงตอนนี้ ก็มีเสียงของสตรีนางหนึ่งดังมา “หัวหน้าท้องพระโรงหงส์เพลิงฉีเสียอวี๋!”
ฉินมู่ตกตะลึง เสียงนี้ก็คุ้นหูไม่น้อย…
ขณะที่เขาคิดอยู่นั่นเอง เสียงดีดขิมก็หยุดชะงัก และแสงตะวันหลากสีก็ลอยขึ้นมา รังสีแสงตะวันหลากสีนับไม่ถ้วนห่อหุ้มรอบเรือหงส์เพลิงขณะที่มันยกตัวลอยขึ้น ปีกหงส์เพลิงทั้งสองที่ด้านข้างกระพือและสร้างลมพายุอันร้ายแรง
“หัวหน้าท้องพระโรงฉีเสียอวี๋ อย่าเพิ่งไป! ป๋ายฉวีเอ๋อแห่งเมืองร้อยมั่งคั่งขอเข้าพบ!” อีกเสียงหนึ่งในเมืองดังออกมา
ฉินมู่จิตคิดกระเจิดกระเจิง และเขาจ้องไปด้วยสายตาอันว่างเปล่า เมื่อเขาเห็นเรือหงส์เพลิงทะลวงฝ่าอากาศ ข้างหลังเรือหงส์เพลิง เด็กสาวคนหนึ่งเหาะผ่านท้องฟ้าด้วยกระบี่เทวะในมือของนาง นางทะลวงผ่านรอยแยกในมิติอวกาศ และร่างของนางก็สั่นเทิ้มเมื่อแปลงร่างเป็นมังกรขาวที่ไล่ล่าตามเรือหงส์เพลิง!
“ป๋ายฉวีเอ๋อแห่งเมืองร้อยมั่งคั่ง…”
ฉินมู่มองไปยังมังกรขาวที่เหินทะยานจากไป และเขาก็พึมพำ “นางยังคงมีชีวิตอยู่ นางยังมีชีวิตอยู่ และนางก็มาที่แดนโบราณวินาศด้วย!”
เขาอดไม่ได้ที่จะหวนระลึกถึงค่ำคืนเมื่อสี่หมื่นปีก่อน เมื่อเขา กิเลนมังกร หีบ และผานกงสั่วได้คุ้มกันผู้คนแห่งเมืองร้อยมั่งคั่งไปยังทิศตะวันออก
ป๋ายฉวีเอ๋อค่อนข้างจะอ่อนแอ แต่นางก็ไม่เคยท้อถอย นางพาผู้คนกลุ่มสุดท้ายแห่งยุคสมัยจักรพรรดิสูงส่ง เพื่อบากบั่นฝ่าอุปสรรคแสวงหาเส้นทางเอาชีวิตรอด
เมื่อดวงตะวันขึ้นมา ฉินมู่และคนอื่นๆ ก็กลายไปเป็นทรายดำและจางหายไปพร้อมกับความมืด ทิ้งเอาไว้ก็เพียงแต่เด็กสาวอายุเยาว์ที่ต้องปกป้องคนธรรมดาทั้งหลาย
นางมีชีวิตรอดผ่านเวลาสี่หมื่นปีนั้นได้อย่างไร
“หนี้รักยากจะประสบพบ ไฉนจึงมาเป็นหลวงจีน”
เสียงเบาหวิวเสียงหนึ่งดังมาจากเมืองนั้นราวกับว่ากำลังทอดถอนใจตนเอง “กาลเวลาประดุจบทเพลง เส้นทางนั้นยืดยาวไม่รู้จบ และความรักก็ดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์”