ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน - ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน - บทที่ 412 เขาจะพาเธอกลับบ้าน (1)
- Home
- ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน
- ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน - บทที่ 412 เขาจะพาเธอกลับบ้าน (1)
บทที่ 412 เขาจะพาเธอกลับบ้าน (1)
ฉะนั้น เขารู้แต่แรกว่าเธอต้องผ่านเส้นทางนี้ และรู้แต่แรกว่าเธอต้องลงจากรถมาที่นี่?เพราะอะไร?ทำไมเขาถึงรู้ว่าเธอจะลงจากรถมาที่นี่?
เวินลั่วฉิงเงยหน้าขึ้นมองไปยังเขา ด้านบนศีรษะของเขามีป้ายที่โดดเด่นเขียนไว้อย่างแจ่มชัดว่า สถานที่ท่องเที่ยวหมู่บ้านซิงหูยินดีต้อนรับท่าน
ตอนนี้เขายืนอยู่ใต้ป้ายอันนั้น
บังเอิญ?หรือจงใจ?
เธอรู้สึกว่าด้วยนิสัยของคนคนนี้ เขาทำอะไรก็มักจะจงใจวางแผนไว้ล่วงหน้าก่อนแล้ว ฉะนั้นมีความเป็นไปได้น้อยมากที่จะเป็นเรื่องบังเอิญ
แต่ทว่า ทำไมเขาถึงจงใจมายืนอยู่ตรงนี้ล่ะ?
อันที่จริงเขาปรากฏตัวอยู่ที่นี่ก็ผิดปรกติอยู่แล้ว
“คุณกลับไปก่อนเลย ฉันเจอเพื่อนแล้ว เดี๋ยวฉันให้เพื่อนฉันไปส่งเอง”เวินลั่วฉิงดูออกว่าถังหลินมารอคอยเธอโดยเฉพาะ ฉะนั้นเธอจึงให้คนที่มาส่งเธอกลับไป
เมื่อสักครู่ตอนที่เวินลั่วฉิงลงจากรถเขาลงตามมาด้วย เพราะลูกพี่สั่งให้เขาไปส่งคุณถังให้ถึงที่หมายอย่างปลอดภัย
บัดนี้มาทิ้งคนไว้กลางทางก็คงจะไม่เหมาะสมนัก
แต่ทว่าคนด้านหน้ามองดูแล้วเป็นคนดีไม่เหมือนคนเลวกับอะไร และท่าทางยังเหมือนกับเป็นทหารอีกด้วย ฉะนั้นคนขับรถลังเลไปชั่วครู่ก็พยักหน้าตอบรับ จากนั้นก็กลับขึ้นรถไป
เวินลั่วฉิงเดินไปอยู่ตรงหน้าของถังหลิน ก่อนจะมองเขา เพื่อรอให้เขาเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดก่อน
“คุณแน่ใจจังเลยนะว่าผมรอคุณอยู่ที่นี่”ถังหลินมองหน้าเธอ อดไม่ได้ที่จะต้องยิ้มออกมา เด็กคนนี้ช่างฉลาดนัก ไม่สิ ฉลาดโครตๆเลยต่างหาก!!
เดิมทีเขาคิดจะใช้คดีนี้ให้เธอกลับมา ซึ่งจะสามารถให้เธออยู่ที่นี่ได้อย่างน้อยสามวัน
แต่ทว่าเขาคิดยังไงก็คาดไม่ถึงว่า เพิ่งจะผ่านไปได้ครึ่งวัน ทุกอย่างก็จัดการเสร็จเรียบร้อยเสียแล้ว อีกทั้งยังได้ผลที่เกินคาดอีกด้วย
เด็กคนนี้ไขคดีได้อย่างยอดเยี่ยมไปเลย
ถังหลินจึงพลอยคิดไปถึงคดีของคุณพ่อในตอนนี้ ได้ยินมาว่าช่วงนี้คุณพ่อเคร่งเครียดจนผมขาวไปบ้างแล้ว แต่กลับไม่ได้ความคืบหน้าแต่อย่างใด
หากให้เธอไป ไม่รู้ว่าจำเป็นต้องใช้เวลานานเท่าไหร่ถึงจะสามารถปิดคดีได้?
แน่นอน ถังหลินรู้ว่าคดีที่คุณพ่อรับสืบนั้นยากกว่าคดีค้ามนุษย์ของครั้งนี้เป็นไหนๆ และที่สำคัญมันเต็มไปด้วยภัยอันตรายมากๆ
แต่แน่นอน เขาจะไม่ยอมให้เธอได้รับอันตรายในถิ่นของเขาเด็ดขาด
แต่ทว่า ตอนนี้เธอยังไม่ได้นับญาติ เพราะยังไม่รู้ชาติกำเนิดของตัวเอง ฉะนั้นเขาจึงไม่สะดวกที่จะเอ่ยปากพูดเรื่องนี้ออกมา
“ไม่เช่นนั้น คนงานยุ่งอย่างคุณจะมายืนอยู่ที่นี่ได้อย่างไร?อาบแดดเหรอ?”เวินลั่วฉิงมองเขาแวบหนึ่ง และพูดตลกอย่างหาดูได้ยาก
เวินลั่วฉิงรู้ว่า ในเมื่อถังหลินมายืนรอเธออยู่ตรงนี้ คงต้องรู้สถานะของเธอแล้ว และอีกอย่างตอนแรกเย่ซือเฉินก็รู้สถานะของเธออันนี้แล้ว จึงไม่มีเหตุผลที่ถังหลินจะไม่รับรู้
เธอกลับรู้สึกว่าเรื่องครั้งนี้เป็นฝีมือเตรียมการของถังหลินเป็นแน่
“ขึ้นรถ?”มุมปากของถึงหลินยกขึ้นมายิ้มอย่างไม่หยุดหย่อน คำว่า ขึ้นรถไม่ใช่ประโยคคำสั่ง แต่เป็นการซักถามว่าเธอจะขึ้นรถไหม?
เวินลั่วฉิงไม่ได้คิดอะไรมาก ก้าวขึ้นรถโดยตรง
“ไม่กลัวว่าผมจะขายคุณทิ้งเหรอ”ถังหลินเห็นเธอขึ้นรถอย่างไม่ลังเล ในใจจึงเกิดความรู้สึกดีอกดีใจ เพราะแสดงว่าเธอเชื่อมั่นในตัวของเขานั่นเอง
“คุณคือถังหลินใช่เปล่า?”เวินลั่วฉิงทำตาขาวใส่เขา แน่ใจนะว่านี่คือถังหลิน?ไม่ค่อยเหมือนสักเท่าไหร่เลยแฮะ
อย่าบอกนะว่าเป็นถังหลินตัวปลอมหนะ
แน่นอน เหตุที่เวินลั่วฉิงขึ้นรถโดยที่ไม่ได้ลังเลอะไรเลย เพราะว่าเธออยากรู้ว่าถังหลินคิดจะทำอะไรกันแน่?
หากเรื่องครั้งนี้เป็นฝีมือเตรียมการของถังหลิน ถ้าเช่นนั้นถังหลินก็จงใจจะให้เธอกลับมา ให้เธอกลับมาโดยเฉพาะ และรอเธออยู่ที่นี่โดยเฉพาะอีกด้วย เรื่องนี้ชักจะลี้ลับขึ้นมาแล้วสิ
ถังหลินหยุดชะงัก พลางหัวเราะเสียงเบาๆ จากนั้นก็ตอบอย่างตั้งใจหนึ่งประโยคว่า“หากเป็นของปลอมยินดีรับเปลี่ยนคืน”
เวินลั่วฉิงมองเขาแวบหนึ่งอีกครั้ง แต่ไม่ได้พูดอะไรทั้งสิ้น
ถังหลินขึ้นรถ จากนั้นก็ขับรถไปด้านหน้า ซึ่งเวินลั่วฉิงดูออกมาเป็นทิศทางที่เดินทางไปยังหมู่บ้านซิงหู
ฉะนั้น ถังหลินคิดจะพาเธอไปที่หมู่บ้านซิงหูเหรอ?
ดวงตาของเวินลั่วฉิงเป็นประกายแวบหนึ่ง ทำไมถังหลินต้องพาเธอไปที่หมู่บ้านซิงหูด้วย?!
ถังหลินรู้อะไรบางอย่างหรือเปล่า?
แต่ทว่าเวินลั่วฉิงไม่ได้พูดอะไรสักอย่าง เพราะเธอรู้ว่าถังหลินจะเป็นฝ่ายบอกเธอเอง
ถังหลินเห็นเธอไม่ได้ปริปากพูดสักคำเลย คิ้วก็ขมวดขึ้นเล็กน้อย ยัยเด็กคนนี้ช่างอดกลั้นความอยากรู้อยากเห็นได้จริงๆเชียว
เนื่องจากหมู่บ้านซิงหูพัฒนาไปเป็นสถานที่ท่องเที่ยวแล้ว ฉะนั้นเส้นทางถนนที่ดีเป็นพิเศษ ถังหลินขับรถเร็วมาก จึงทำให้เดินทางไปถึงภายในครึ่งชั่วโมง
ถังหลินจอดรถไว้นอกลานบ้าน ซึ่งตรงนี้ตั้งอยู่ในที่ลับคน มองดูแล้วให้ความรู้สึกว่าตัวอาคารนั้นพุพังและทรุดโทรมเป็นอย่างมาก
ดูท่าแล้วน่าจะไม่มีผู้อาศัยอยู่ในที่แห่งนี้เป็นเวลานานแล้ว
ถังหลินก้าวเท้าลงจากรถ จากนั้นก็ช่วยเวินลั่วฉิงเปิดประตูรถ เวินลั่วฉิงมองเขาแวบหนึ่ง แล้วลงจากรถ
“เข้าไปดูกัน”ถังหลินชี้ไปยังบ้านที่อยู่ตรงหน้า“เจ้าของบ้าแซ่หลี่ แต่ตอนนี้ไม่มีคนอยู่ เพราะตายกันหมดแล้ว”
ในใจของเวินลั่วฉิงเหมือนจะรับรู้อะไรบางอย่างได้กะทันหัน แต่ไม่กล้าเชื่อ ทำไมถังหลินถึงรู้เรื่องพวกนี้?แล้วทำไมต้องพาเธอมาที่นี่ด้วย?
เมื่อก่อนคุณแม่เคยพูดถึงเรื่องหมู่บ้านซิงหูกับเธอเพียงคนเดียว ซึ่งตอนนั้นเพื่อความปลอดภัยของเธอและเพื่อให้เธอยอมปลอมตัวน่าเกลียดๆ จึงได้เล่าเรื่องราวให้เธอฟัง
ซึ่งต่อแม่คุณแม่ก็ไม่เคยเอ่ยถึงเรื่องนี้อีกเลย เธอรู้ว่าสำหรับคุณแม่แล้ว มันคือความเจ็บปวดและเจ็บใจเป็นอย่างมาก
คุณแม่ก็ไม่เคยพาเธอกลับมาเลย ฉะนั้นวันนี้เธอเพิ่งจะมาที่นี่เป็นครั้งแรก
ทันใดนั้นเวินลั่วฉิงรู้สึกขาชามาก จนก้าวเท้าได้อย่างยากลำบาก แต่เธอก็ยังก้าวเดินต่อไป พลางเปิดประตูที่ผุพังเข้าไปดู
ด้านในบ้านยุ่งเหยิง ทั่วทุกมุมห้องเต็มไปด้วยฝุ่นละออง เห็นได้ชัดว่าไม่อยู่คนอยู่เป็นเวลานานหลายปีแล้ว
“สามีภรรยาคู่นี้เสียชีวิตไปเมื่อสิบกว่าปีที่แล้ว ซึ่งผมให้คนอื่นเก็บบ้านหลังนี้ไว้เอง”ถังหลินมองเธอ จากนั้นก็ค่อยๆเอ่ยปากพูด
เวินลั่วฉิงละสายตาไปจ้องมองเขา เด็กแววตาของเขามีความสลับซับซ้อนแฝงอยู่ ซึ่งเธอเข้าใจสิ่งนั้นดี แต่บัดนี้เธอกลับทำตัวไม่ถูก
ถังหลินเห็นสีหน้าของเธอก็แอบถอนหายใจเฮือกหนึ่ง จากนั้นก็เอารูปถ่ายไปให้เวินลั่วฉิงดู
เวินลั่วฉิงหยุดชะงัก จากนั้นก็ค่อยๆรับมาดู เมื่อเธอดูรูปถ่ายได้อย่างชัดเจนแล้ว ดวงตาทั้งคู่ก็เบิกกว้างขึ้นมาด้วยสัญชาตญาณ“ทำไมคุณถึงมีรูปถ่ายของแม่ฉัน?”
เมื่อเห็นรูปถ่ายนี่เป็นปฏิกิริยาการตอบสนองแรกของเวินลั่วฉิง แต่เวินลั่วฉิงคล้ายกับรู้สึกว่ามันแปลกๆ ในรูปถ่ายเป็นแม่จริง แต่เธอจำไม่ได้ว่าคุณแม่เคยถ่ายรูปเช่นนี้มาก่อน ซึ่งทั้งสีภาพและทิวทัศน์ต่างก็รู้สึกแปลกๆ
“อันนี้เป็นรูปถ่ายของคุณย่าผม”ถังหลินมองดูเธอ ดวงตากะพริบเล็กน้อย พลางพูดด้วยเสียงอ่อนโยน
เวินลั่วฉิงตกตะลึง ค่อยๆเงยหน้าขึ้นมองเขา คำตอบบางอย่างมันชัดเจนเสียขนาดนั้น และเธอก็เป็นคนฉลาดสามารถคาดเดาได้แล้ว
แต่ทว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นกะทันหัน จึงทำให้เธออึ้งทึ่งทำอะไรไม่ถูกเลย
บัดนี้เธอทั้งเอ๋อทั้งโง่เขลา สมองตาไม่ทัน
“หมายความว่าอะไร?”จากนั้นเวินลั่วฉิงก็ได้ยินตัวเองถามเช่นนี้ออกมาหนึ่งประโยค