ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน - ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน - บทที่ 967 จุดเปลี่ยน อกสั่นขวัญหาย(3)
- Home
- ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน
- ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน - บทที่ 967 จุดเปลี่ยน อกสั่นขวัญหาย(3)
เพราะมีองค์กรที่น่าเกรงขามมาผดุงความยุติธรรมให้ เรื่องจริงเท็จยังไง ก็สามารถพูดมันออกมาตรงๆได้ ทุกอย่างกองวางลงตรงหน้าให้ผู้คนได้เห็น และจัดการมันอย่างใสสะอาด
การเปลี่ยนแปลงความคิดของผู้คนแบบนี้ ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่
“คุณหลี่ คุณไม่จำเป็นต้องสงสัยเรา นอกจากอนุญาตให้หน่วยงานฝ่ายกฎหมายมาควบคุมดูแลแล้ว คุณต้องการจ้างทนายแบบไหน คุณหลี่ก็สามารถพูดตรงๆได้ และเราจะเชิญคนที่มีความสามารถและมีความยุติธรรม รักในความถูกต้องว่าความต่อสู้คดีนี้ให้ และเรื่องนี้เราก็ยินดีให้ทุกคนเข้ามาดูแลตรวจสอบ” เจ้าหน้าที่ของมูลนิธิพิทักษ์ประชาชาติได้กล่าวคำพูดยืนยันนี้อีกครั้ง และได้อธิบายอย่างชัดเจน
หากเรื่องฝ่ายกฎหมายก็อาจจะซับซ้อนไปหน่อย แต่เรื่องทนายความนั้นก็น่าจะง่ายกว่า เพราะทนายความเหล่านี้เคยว่าความคดีอะไร และเรื่องราวเป็นมายังไง ? ลักษณะท่าทางเป็นแบบไหน ? เรื่องพวกนี้ตรวจสอบได้อยู่แล้ว
เพราะจากจุดนี้ จึงเป็นจุดที่ทุกคนพอจะยอมรับมันได้ง่ายขึ้น
“คุณหลี่ เจ้าหน้าที่โจวเท่อพูดชัดเจนขนาดนี้แล้ว คุณยังจะกังวลอะไรอีก ? ”นักข่าวคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้น เห็นได้ชัดว่าเขาไม่เข้าใจท่าทีของหลี่หมิง
“ยังไงผมก็ไม่เชื่อพวกเขา”หลี่หมิงยังคงยืนกรานความคิดของตัวเอง ย้ำคำเดียว ไม่เชื่อพวกเขา
“ถ้าอย่างนั้น เราขอถามคุณหลี่ว่า คุณเชื่อใคร ? ” นักข่าวคนนั้นนิ่งอึ้งไป จากนั้นก็ถามออกไปตรงๆ
หลี่หมิงเอาแต่พูดว่าไม่เชื่อคนของมูลนิธิ แล้วเขาเชื่อใคร ?
ก่อนหน้านั้นนอกจากเขาจะให้นักข่าวสัมภาษณ์เด็กหญิงแล้ว หนึ่งคือเขาไม่ได้แจ้งความกับตำรวจ และสองเขาไม่ได้ขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานหรือองค์กรใดๆ และพูดย้ำอยู่ตลอดว่าจะเรียกร้องความยุติธรรมให้กับเด็กหญิง
สิ่งที่เขากำลังเรียกร้องความยุติธรรมให้ลูกสาวคือการให้สื่อรายงานข่าวเรื่องนี้ และให้สื่อเผยแพร่ความเจ็บปวดของลูกสาวซ้ำๆอยู่อย่างนั้นเหรอ ?
และก็ไม่ได้ทำอะไรอีกนอกจากนั้น ?
แบบนี้ก็สามารถจับคนร้ายมาลงโทษได้ ?
นี่มันไม่ใช่เรื่องไร้สาระหรอกเหรอ ?
“คุณหลี่ เราเป็นสื่อทำได้แค่เพียงสัมภาษณ์ สิ่งที่เราทำได้ก็คือการตีแผ่เรื่องราวออกไป ให้ทุกคนได้เห็น แต่เราไม่สามารถช่วยคุณแก้ปัญหาเบื้องลึกนั้นได้ หากเราสามารถช่วยอะไรคุณได้ นั่นก็คือการที่เราตีแผ่ข่าวออกไป แล้วให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ และดึงดูดความสนใจ ให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาช่วยเหลือคุณแก้ปัญหานี้ แต่ตอนนี้คุณกลับปฏิเสธความช่วยเหลือจากหน่วยงานต่างๆ แม้แต่ความช่วยเหลือจากมูลนิธิพิทักษ์สตรีและเด็กคุณก็ปฏิเสธ การกระทำของคุณแบบนี้เราไม่เข้าใจจริงๆ ”ครั้งนี้คำพูดของนักข่าวซัดไปตรงๆ และชัดเจนมากขึ้นกว่าเดิม
“คุณหลี่ คุณต้องรู้ ว่ามูลนิธิพิทักษ์สตรีและเด็กประชาชาตินี้ มีขึ้นมาเพื่อช่วยเหลือผู้ที่ถูกทารุณกรรม กลุ่มเปราะบางที่ถูกรังแก สิ่งนี่เป็นสิ่งที่ทุกคนต่างก็รู้กันดี คุณบอกได้ไหมว่าทำไมคุณถึงตั้งแง่กับพวกเขาแบบนี้?” มีนักข่าวคนหนึ่งเอ่ยถามขึ้นมา
“ฉันแค่ไม่เชื่อพวกเขา”ในตอนที่หลี่หมิงพูดประโยคนี้ ตัวเขาเองก็เอาแต่หลบตาไปมาด้วย
“คุณหลี่ฉันคิดว่าคุณควรจะลองเชื่อใจพวกเขา เพราะพวกเขาสามารถช่วยคุณได้ และช่วยลูกสาวคุณได้จริงๆ ” นักข่าวต่างมึนงง จากนั้นก็เกลี้ยกล่อมหลี่หมิงและนักข่าวที่ต้องเผชิญหน้ากับหลี่หมิงต่างก็ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรในตอนนี้
“คุณหลี่ คุณเชื่อใจพวกเราได้ เพราะคุณหลิวมาขอร้องพวกเรา พวกเราได้ยินเรื่องที่ลูกสาวคุณประสบพบเจอมาเรารู้สึกเห็นใจมากจริงๆ เพราะฉะนั้นทางองค์กรจึงได้ให้เรามาช่วยคุณ”เจ้าหน้าที่โจวเท่อแสดงเจตนารมณ์ของตัวเองอีกครั้ง
“หลี่หมิง ฉันติดต่อไปหาพวกเขาจริงๆ ฉันเห็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับลูก อยากจะช่วยลูก คุณอย่าเอาแต่ระแวงสงสัยอีกเลย” คุณหลิวแม่ของเด็กหญิงอดไม่ได้ที่จะพูดมันออกไปอีกครั้ง
“หลี่หมิง ในช่วงหลายวันที่ลูกสาวเกิดเรื่องขึ้น นอกจากคุณจะให้นักข่าวเผยแพร่ภาพเรื่องราวของลูกแล้วคุณยังทำอะไรอีก ? ที่คุณทำแบบนี้ไม่ได้ช่วยแก้ปัญหาอะไรได้เลย มีแต่จะเพิ่มความเจ็บปวดให้ลูกมากขึ้นไปอีกก็เท่านั้น ”
“เรื่องของเราเธอไม่ต้องมายุ่ง เธอทิ้งลูกไปไม่มาดูดำดูดี ตอนนี้จะกลับมาทำไม ? ลูกสาวฉันไม่ต้องการให้เธอมาดูแล ” หลี่หมิงยังพอเกรงใจนักข่าวอยู่บ้าง แต่กลับคุณหลิวนั้นมีเพียงอารมณ์ฉุนเฉียวใส่เธอ
“มันเป็นเพราะฉันถูกคุณทำร้ายจนกลัว ถูกคุณบีบบังคับจนหมดหนทาง เธอเป็นลูกสาวของฉัน ฉันจะไม่สนใจได้ยังไง ใบหน้าของคุณหลิวมีความเสียใจให้เห็นชัดเจน และอารมณ์ก็แปรปรวนไปด้วย
“หลี่หมิง เมื่อก่อนคุณทุบตีทำร้ายฉัน และลูก เพราะฉันไม่มีทางเลือกถึงได้หนีไป ตอนที่ฉันหนีไปฉันก็อยากจะพาลูกไปด้วย แต่คุณไม่ยอม แถมยังข่มขู่ฉัน……”คุณหลิวหวนคิดถึงเรื่องที่เคยเกิดขึ้น อารมณ์ก็ยิ่งหวั่นไหว และร้องไห้ออกมา
“เธออย่ามาพูดเหลวไหลที่นี่ ”สีหน้าของหลี่หมิงค่อยๆเปลี่ยนไป แล้วก็พูดขัดคุณหลิวขึ้นมาทันที
“ฉันพูดจาเหลวไหลงั้นเหรอ ? งั้นคุณให้ลูกเป็นคนพูด ดูสิว่าลูกจะว่ายังไง ?” คุณหลิวนึกถึงลูกสาว สายตามองไปที่ลูกสาว สีหน้าแสดงออกถึงความทุกข์ใจอย่างเห็นได้ชัด
เด็กหญิงมองสบตาแม่ของตัวเองเธอตะลึง เม้มริมฝีปากแน่น ไม่ได้พูดอะไร และไม่ได้แสดงปฏิกิริยาใดๆออกมา
ปฏิกิริยาของเด็กหญิงทำให้ผู้คนรู้สึกแปลกใจขึ้นมา
“ไม่จำเป็นต้องถามลูก เธอทิ้งลูกไปไม่สนใจ ลูกต้องเกลียดเธอแน่นอน ”หลี่หมิงเห็นท่าทีของลูกสาว ดวงตาฉายแววความพึงพอใจ
“เป็นไปไม่ได้ เสี่ยวยวี่ไม่มีทางเกลียดฉันแน่นอน เสี่ยวยวี่รู้ เสี่ยวยวี่เข้าใจฉัน” คุณหลิวส่ายหัวไปมา ยอมรับไม่ได้กับการที่ลูกสาวเกลียดตัวเอง
“สรุปแล้วเรื่องของลูกเธอไม่ต้องมายุ่ง ลูกเองก็คงไม่อยากให้เธอเข้ามายุ่งวุ่นวายด้วยเช่นกัน หากไม่เชื่อ เธอก็ถามกับลูกเอาเองก็แล้วกัน”
ดูเหมือนหลี่หมิงจะนึกอะไรขึ้นมาได้ คงเพราะถูกกดดันจากทุกคน จนต้องโยนปัญหาไปให้ลูกสาวตัวเอง
ทันทีที่หลี่หมิงพูดออกมา สายตาของทุกคนก็หันไปมองเสี่ยวยวี่ที่นั่งอยู่บนเตียง ต่างก็อยากรู้ว่าเด็กหญิงจะมีปฏิกิริยากับเรื่องนี้ยังไง
แม้ว่าเธอจะยังเด็ก และการบีบบังคับกับเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆแบบนี้มันดูจะโหดร้ายเกินไป แต่เพราะเธอคือคนที่อยู่ในเหตุการณ์ และความคิดเห็นของเธอก็มีความสำคัญมาก
อีกทั้งตอนนี้ความเห็นของพ่อแม่เธอก็แตกต่างกัน ก็ยิ่งจำเป็นต้องการความคิดเห็นจากเธอ
คุณหลิวจ้องมองไปที่ดวงตาของลูกสาว อารมณ์บนใบหน้าของเธอสับสนวุ่นวาย เธอหยั่งเชิงถามอย่างระวังไปว่า :“เสี่ยวยวี่ ให้แม่ช่วยหนูดีไหม ? ให้แม่ช่วยหนูทวงความยุติธรรม ให้แม่ช่วยหนูลงโทษคนชั่ว ดีไหม ?”
ก่อนหน้านั้นในการรายงานข่าวของนักข่าว เด็กหญิงก็มักจะพูดว่าเธอต้องการให้คนชั่วถูกลงโทษ
ทุกคนต่างจ้องมองไปที่เด็กหญิง เพื่อรอคำตอบจากเด็กหญิง