ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน - บทที่ 1140 ปมในใจสองพ่อลูก (1)
การมองถังจื่อโม่ของคุณชายสามเย่แวบนั้นไม่ธรรมดา ทว่าถังจื่อโม่กลับไม่อินังขังขอบ
เขามีที่พึ่ง ที่พึ่งของเขาก็คือคุณแม่ มีคุณแม่สักอย่าง เขาต้องกลัวอะไร?
“ฮัลโหล”เมื่อกี้เย่ซือเฉินยังหน้าบูดหน้าเบี้ยว แลดูน่ากลัวเหลือหลาย ทว่าหลังจากที่เขารับมือถือมา ระหว่างที่เอ่ยปากพูด ความเย็นเยียบทางใบหน้าลดลงกว่าครึ่ง น้ำเสียงเย็นชาก็อ่อนโยนหลายส่วน
“เย่ซือเฉิน คุณถึงกับลักพาตัวลูกชายฉันเลยเหรอ”ทว่าเวินลั่วฉิงไม่เห็นท่าทางที่เปลี่ยนไปกับเวินลั่วฉิง แน่นอน ถึงแม้จะเห็น สถานการณ์เช่นนี้ เธอกต้องทำความเข้าใจเรื่องถังจื่อโม่โดนลักพาตัวไปก่อนเป็นอันดับแรก
“เขาก็เป็นลูกชายของผมด้วย”คุณชายสามเย่หน้าเปลี่ยนสี พลางถอนหายใจเบาๆ ครั้งนี้เสียงเบาลงหลายส่วน ทั้งยังเจือความน้อยใจในความไม่เป็นธรรมไว้หลายส่วนอีกด้วย
“คุณก็รู้ว่าเขาเป็นลูกชายคุณด้วยเหรอ คุณรู้แล้วยังลักพาตัวเขาอีกเหรอ?”เวินลั่วฉิงได้ยินก็ยิ่งตะคอกเสียงใส่ เสียงดังขึ้นอย่างชัดเจน
ระดับเสียงสูงมาก ทว่าเวินลั่วฉิงที่อยู่ในสายรู้สึกผิดเล็กน้อย เวินลั่วฉิงเป็นคนชาญฉลาด รู้ว่าคำพูดของเย่เฉินเป็นการถามเธอ เธอยังฟังอารมณ์ที่น้อยใจด้วยความไม่เป็นธรรมของเย่ซือเฉินได้ด้วย
ถึงแม้ถังจื่อโม่ไม่ได้เธอบอกเย่ซือเฉิน ทว่าเวินลั่วฉิงได้ยินการซักถามด้วยน้ำเสียงตำหนิของเย่ซือเฉินแล้วก็รู้สึกผิดในใจเล็กน้อย
คงเป็นเพราะรู้สึกผิดในใจ เวินลั่วฉิงจึงพูดเสียงดังเป็นพิเศษ
เวินลั่วฉิงพูดเสียงดังกะทันหันเช่นนี้ได้ผลลัพธ์ไม่เลวเลยทีเดียว
กู้หวูที่เมื่อกี้จับโต๊ะพยุงตัวเองลุกขึ้นมา เมื่อได้ยินเสียงตะคอกของเวินลั่วฉิง ร่างกายพลันสั่นเทิ้มอีกครั้ง ครั้งไม่เพียงแต่สองขาของกู้หวูอ่อนแรงเท่านั้น ทั่วทั้งร่างกายก็อ่อนแรงไปหมด
ถังจื่อโม่ได้ยินคุณแม่ตัวเองตะคอกก็ขดตัวด้วยจิตใต้สำนึก เหมือนจะเป็นครั้งแรกที่เขาเห็นคุณแม่โกรธเป็นฟืนเป็นไฟมากเช่นนี้
“ก่อนหน้านี้ผมไม่รู้”คุณชายสามเย่ชะงัก ตอบหนึ่งประโยคด้วยจิตใต้สำนึก คุณชายสามเย่โดนปรักปรำหนักมาก แต่ต่อหน้าภรรยาตัวเอง ถึงจะโดนภรรยาปรักปรำก็ต้องทน
บัดนี้น้ำเสียงคุณชายสามเย่เบากว่าเดิม
“ดังนั้นล่ะ?”อีกฝั่งหนึ่งของสาย เวินลั่วฉิงชะงัก จากนั้นก็ไล่ถามหนึ่งประโยค
“ก่อนหน้านี้คุณไม่รู้ว่าเป็นลูกชายของคุณ คุณจึงลักพาตัวได้เหรอ?”เวินลั่วฉิงหยุดชั่วครู่ จากนั้นก็เอ่ยปากพูดต่อ ไม่ได้พูดเสียงดังเหมือนก่อนหน้านี้แล้ว เพียงแต่น้ำเสียงระคนความโกรธอย่างชัดเจน
“คุณไม่รู้สถานะของเขา คุณก็ไม่ไปสืบ ถึงกับลักพาตัวเลยเหรอ?คุณลักพาตัวเด็กอายุห้าขวบ ถ้าเจ็บตัวขึ้นมาจะทำยังไง?ถ้าคุณทำให้ลูกตกใจจะทำยังไง?ถ้าคุณทำให้เขามีเงามืด(ปม)ในใจจะทำยังไง?”เวินลั่วฉิงนึกความเป็นไปได้นั้นก็อดกังวลใจไม่ได้ นี่คือการลักพาตัวนะ ไม่ใช่เรื่องเล็กๆเลย
การลักพาตัวเป็นเรื่องรุนแรงมาก เผลอๆอาจทำให้เกิดผลกระทบร้ายแรงได้
เย่ซือเฉินยังไม่รู้สถานะของถังจื่อโม่ก็สั่งให้ลูกน้องลักพาตัวถังจื่อโม่เลยเหรอ แค่เพียงจุดนี้ก็ทำให้เวินลั่วฉิงกราดเกรี้ยวมากแล้ว
ถ้อยคำที่ถังจื่อโม่กล่าวก่อนหน้านี้ เป็นเพราะตอนนั้นเธอใจร้อนเกินไป กังวลเกินไป จึงไม่ได้คิดอย่างละเอียด แต่ตอนนี้ใคร่ครวญดูแล้ว คำพูดของถังจื่อโม่น่าจะเกินความเป็นจริงมาก
ทว่าถึงแม้ถังจื่อโม่จะไม่บาดเจ็บ แต่ไม่แสดงว่าเย่ซือเฉินทำอย่างนี้แล้วจะไม่ผิด
เย่ซือเฉินได้ยินเวินลั่วฉิงพูดก็เงียบกริบ เรื่องนี้เขาเป็นคนผิดเอง เขาไม่ควรให้กู้หวูลักพาตัวมาโดยที่ยังไม่รู้สถานะของถังจื่อโม่
ทว่าก่อนหน้านี้คุณชายสามเย่คาดไม่ถึงว่าถังจื่อโม่จะเป็นลูกชายของเขา
เดินทีกู้หวูได้ยินเวินลั่วฉิงพูดก็รู้สึกไม่ยอม คุณชายน้อยจะโดนทำให้ตกใจได้เหรอ?จะทำให้คุณชายน้อยมีปมในใจเหรอ?
พวกเขาไม่เกิดปมในใจก็ไม่เลวแล้ว
ทว่ากู้หวูฟังมาถึงตอนท้ายก็รู้สึกละอายใจหลายส่วน เขาสะเพร่าเรื่องนี้จริงๆ
คุณนายในฐานะหัวอกคนเป็นแม่ ลูกชายตัวเองถูกลักพาตัว ไม่ว่าคนทำจะเป็นใคร ไม่ว่าจะบาดเจ็บหรือไม่ คุณนายในฐานะแม่ก็ต้องเกิดปฏิกิริยาอย่างนี้เป็นเรื่องธรรมดาอยู่แล้ว
ถึงคุณชายน้อยจะเก่งกาจเพียงใด แต่ก็ยังคงเป็นเด็กอายุห้าขวบอยู่ดี ในสายตาคุณนาย คุณชายน้อยเป็นหัวแก้วหัวแหวนที่ต้องปกป้อง ให้ความรักและทะนุถนอม
หัวแก้วหัวแหวนโดนลักพาตัว คุณนายไม่กังวลถึงจะแปลก
“เย่ซือเฉิน ตอนที่คุณให้สัมภาษณ์กับนักข่าว จื่อโม่ก็ได้ยิน เขาได้ยินว่าคุณไม่ชอบเด็ก ได้ยินว่าคุณเกลียดเด็ก จื่อโม่เป็นคนความรู้สึกไวมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว เพราะคำพูดของคุณ จื่อโม่จึงกังวลว่าคุณจะไม่ชอบเขา ดังนั้นเขาถึงอยากแสดงความสามารถต่อหน้าคุณ เขาอยากให้คุณยอมรับเขา ถึงแม้คุณจะไม่ชอบเด็ก แต่เขาก็อยากให้คุณยอมรับความสามารถของเขา ดังนั้นเขาถึงอยากทดสอบคุณ สิ่งที่เขาเรียกว่าทดสอบคุณ อันที่จริงก็เพื่อดึงดูดความสนใจจากคุณเท่านั้นเอง”เวินลั่วฉิงเข้าใจปัญหาระหว่างพ่อแม่ของพวกเขา เวินลั่วฉิงรู้ความรู้สึกของถังจื่อโม่ดี
เดิมทีถังจื่อโม่ก็กังวลว่าเย่ซือเฉินจะไม่ชอบเขา ไม่ยอมรับเขา ตอนนี้เย่ซือเฉินยังลักพาตัวถังจื่อโม่อีก เวินลั่วฉิงเป็นห่วงความสัมพันธ์ระหว่างสองพ่อลูกคู่นี้ว่าจะยิ่งไม่ลงรอยกันมากขึ้น
ดังนั้นตอนนี้เวินลั่วฉิงพูดเช่นนี้ก็เพื่ออยากให้เย่ซือเฉินเข้าใจจุดนี้ ไม่ให้เย่ซือเฉินโทษถังจื่อโม่ เธอยิ่งหวังอยากให้เย่ซือเฉินคิดหาหนทางสร้างความสัมพันธ์ของเขากับถังจื่อโม่ไปในทางที่ดี
ทว่าสิ่งที่เวินลั่วฉิงไม่รู้ก็คือมือถือที่อยู่กับเย่ซือเฉินนั้นเปิดลำโพงอยู่ คุณชายสามเย่ได้ยินคำพูดของเธอเมื่อสักครู่ ถังจื่อโม่ก็ได้ยินเช่นกัน
“คุณแม่พูดมั่ว ผมไม่ใช่สักหน่อย”ถังจื่อโม่แบะปาก ถกเถียงโดยตรง เขาไม่อยากแสดงความอ่อนแอต่อหน้าเย่ซือเฉิน
เขาไม่อยากให้เย่ซือเฉินรู้ความในใจของเขา
เย่ซือเฉินไม่ชอบเขา ไม่อยากยอมรับเขา เมื่อกี้เย่ซือเฉินยังบอกว่าเขายอมรับหรือไม่ก็ไม่สำคัญ ดังนั้น เขาไม่อยากยอมรับเย่ซือเฉินเป็นพ่อ
เวินลั่วฉิงที่อยู่อีกฝั่งหนึ่งของสายชะงักหลังได้ยินคำพูดของถังจื่อโม่“เย่ซือเฉิน คุณเปิดลำโพงเหรอ?!”
ทันใดนั้นเวินลั่วฉิงไม่รู้ว่าควรพูดอย่างไรดี เดิมทีเธออยากให้เย่ซือเฉินรู้ความคิดของถังจื่อโม่ แต่เธอคาดไม่ถึงว่าถังจื่อโม่จะได้ยินคำพูดของเธอด้วย!!
ถังจื่อโม่มีความทะนงมาตั้งแต่เด็ก เป็นคนดื้อรั้นเป็นพิเศษ ความรู้สึกไวมาก เวินลั่วฉิงกลัวว่าถังจื่อโม่จะคิดมาก
“คุณวางใจเถอะ เรื่องนี้ผมจะจัดการเอง”เย่ซือเฉินเข้าใจเจตนารมณ์ของเวินลั่วฉิง ไม่ทำให้เธอต้องเป็นห่วงหรือกังวลใจแน่นอน
“อืม”เวินลั่วฉิงตอบหนึ่งคำ เธอเชื่อว่าขอเพียงเย่ซือเฉินยินดีต้องจัดการเรียบร้อยแน่ ทว่านึกถึงเรื่องที่เย่ซือเฉินลักพาตัวถังจื่อโม่จะปล่อยให้ผ่านไปอย่างนี้ไม่ได้มั้ง?!
ตอนนี้มือถือที่อยู่กับเย่ซือเฉินเปิดลำโพงอยู่ หากปล่อยเรื่องลักพาตัวผ่านไปอย่างนี้ ลูกชายคงไม่พอใจและไม่ยินยอมแน่ๆ ดังนั้นเวินลั่วฉิงเสริมอีกหนึ่งประโยคว่า “เรื่องลักพาตัวลูกชายของฉัน ฉันยังไม่ได้คิดบัญชีเลย รอให้เจอหน้ากันก่อน ฉันจะคิดกับคุณแน่นอน”
“เรื่องนี้เป็นความผิดของผมเอง เป็นความผิดของผมทั้งหมด”เย่ซือเฉินเข้าใจเวินลั่วฉิง ดังนั้นจึงรู้เจตนาของเธอ เดิมทีก็เป็นความผิดของเขาจริงๆอยู่แล้ว ถึงแม้เธอไม่คิดบัญชีกับเขา เขาก็ต้องไปขอรับโทษกับเธออยู่ดี
“ขอโทษ”เย่ซือเฉินครุ่นคิดดูแล้ว จากนั้นก็พูดหนึ่งประโยคด้วยเสียงหนักอึ้ง คุณชายสามเย่โตขนาดนี้แล้ว ไม่ค่อยขอโทษคนอื่นมากนัก ถ้อยคำขอโทษของคุณชายสามเย่เจืออารมณ์ไว้มากมาย
“ไม่ต้องขอโทษกับฉัน คุณควรขอโทษกับลูกชาย”เวินลั่วฉิงได้ยินคำขอโทษจากคุณชายสามเย่ก็อึ้ง ทว่าเธอรู้สึกว่าเย่ซือเฉินไม่ได้ผิดต่อเธออะไรสักอย่าง หากเย่ซือเฉินจะขอโทษก็ควรจะเป็นลูกชายมากกว่า
ตอนนี้เย่ซือเฉินขอโทษลูกชายโดยตรง ไม่แน่ลูกชายอาจยกโทษให้เย่ซือเฉินก็ได้
ถังจื่อโม่คือลูกชายของเธอ เธอย่อมรู้จักดีอยู่แล้วว่าถังจื่อโม่เป็นคนปากแข็งใจอ่อน
“ขอบคุณคุณมาก”เพียงแต่เย่ซือเฉินพูดต่ออีกหนึ่งประโยคทันที ระหว่างที่คุณชายสามเย่พูดประโยคนี้ น้ำเสียงแห้งพร่าเล็กน้อย มันเป็นเสียงที่เจืออารมณ์ไว้มากมาย
เวินลั่วฉิง“……”
อีกฝั่งหนึ่งของสาย เวินลั่วฉิงไม่พูดจาเป็นเวลานาน พูดตามตรง เธอรู้จักเย่ซือเฉินมาตั้งนาน เป็นครั้งแรกที่เห็นเย่ซือเฉินเป็นแบบนี้ รู้สึกไม่ค่อยชินสักเท่าไหร่
“ลำบากคุณแล้ว”ทว่า คุณชายสามเย่ไม่คิดจะจบ เสียงทุ้มต่ำของคุณชายสามเย่ส่งมาอีกครั้ง!!