ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน - บทที่ 1181 เจ้าหญิงโมโหแล้ว ผลที่ตามมาร้ายแรงมาก
“ก่อนหน้านี้คุณปู่เย่กับคุณย่าเย่ที่พูดคำพูดพวกนั้นกับฉิงฉิง ฉันแค่นึกถึงก็โมโหแล้ว ฉิงฉิงของพวกเราเป็นเด็กดีขนาดนั้น มีสิทธิอะไรที่พวกเขาจะมาพูดถึงแบบนั้น” ท่านย่าถังเอาทั้งบัญชีเก่าและบัญชีใหม่มารวมกัน ก็ยิ่งรู้สึกโมโห
“เพื่อเด็กๆสองคน เรื่องพวกนั้นเราก็ทนกันไว้แล้ว ไม่ได้ไปคิดเล็กคิดน้อยกับพวกเขา แต่ตอนนี้ตระกูลเย่มาเล่นงานกันแบบนี้ แล้วยังประกาศเรื่องการหมั้นของเย่ซือเฉินกับเจ้าหญิงแห่งองค์โกสต์ซิตี้อีก เรื่องนี้ฉันจะทนไม่ได้อีกเด็ดขาด” เนื่องจากว่าท่านย่าถังโมโหมากเกินไป น้ำเสียงจึงสูงขึ้นมาอย่างเห็นได้ชัด
เวลานี้ถังจื่อซีและถังจื่อโม่ที่กำลังเดินลงบันไดมาก็ได้ยินคำพูดของท่านย่าถังเข้าพอดี
“พี่คะ เกิดอะไรขึ้น? คุณพ่อจะหมั้นหรือคะ? คุณพ่อจะหมั้นกับคนอื่นอย่างนั้นหรือ?” ถังจื่อซีมองไปยังพี่ชายตัวเอง ด้วยสีหน้าท่าทางน่ารักเป็นอย่างมาก
“ลงไปดูกันเถอะ” ถังจื่อโม่เองก็เพิ่งมาเช่นกัน ได้ยินเพียงแค่ประโยคนี้ของท่านย่าถัง ดังนั้นสถานการณ์ที่เป็นรูปธรรมนั้นเขาจึงไม่ชัดเจนนัก เขาเดินจูงถังจื่อซีลงมาด้านล่าง
“จื่อซี จื่อโม่ ลงมากันแล้วหรือ” เฟิ่งเหมียวเหมียวเห็นเด็กๆสองคนลงมาก่อน จึงรีบส่งเสียงเรียกพวกเขาขึ้น เฟิ่งเหมียวเหมียวทักทายเด็กๆสองคน และแน่นอนว่าเป็นการเอ่ยเตือนท่านย่าถังด้วยเช่นกัน เด็กๆลงมาแล้ว บางคำพูดก็ไม่ควรที่จะเอ่ยพูดต่อหน้าเด็กๆ
เดิมทีแล้วท่านย่าถังยังอยากจะพูดอะไรอีก ได้ยินคำพูดของเฟิ่งเหมียวเหมียวแล้ว จึงเงยหน้าขึ้นมามองเด็กๆ ท่านย่าถังกลืนคำพูดของตัวเองลงไป ถึงแม้เธอจะโมโห แต่ก็ไม่สามารถที่จะเอ่ยพูดออกมาต่อหน้าเด็กๆได้
เวลานี้ทีวียังคงเปิดเอาไว้อยู่ การถ่ายทอดนั้นมาถึงตอนท้าย นักข่าวกำลังพูดถึงคำอวยพร ท่านย่าถังจึงรีบเอารีโมทมาปิดทีวีอย่างรวดเร็ว
“คุณย่าทวดไม่ต้องปิดหรอกครับ พวกเราได้ยินหมดแล้ว งานหมั้นของคุณพ่อใช่ไหมครับ?” ถังจื่อโม่เห็นการเคลื่อนไหวของท่านย่าถังแล้ว จึงส่งเสียงออกมาห้ามเอาไว้
ท่านย่าถังเองก็คิดว่าเมื่อครู่นี้เสียงของเธอดังมาก เด็กๆจะต้องได้ยินอย่างแน่นอน ในใจของท่านย่าถังนั้นแอบรู้สึกเสียใจเป็นอย่างมาก เมื่อครู่นี้เธอโมโหมากเกินไป คิดไม่ถึงเลยว่าเด็กสองคนจะมาได้ยินเข้า
ถังจื่อโม่พาถังจื่อซีมายังด้านล่าง เด็กๆทั้งสองคนเดินมายังห้องโถงกลาง พากันมองไปยังทีวี เห็นว่าในทีวีนั้นกำลังถ่ายทอดอยู่
“ขอบคุณทุกคนครับ ถึงตอนนั้นขอต้อนรับทุกท่านมาร่วมงานแต่งงานของซือเฉินกับเจ้าหญิงแห่งองค์กรโกสต์ซิตี้ของพวกเรา” คุณปู่เย่เวลานี้นั้นรู้สึกอิ่มเอมใจเป็นอย่างมากจริงๆ และดีใจมากด้วยเช่นกัน
“คุณปู่เย่นี่รีบร้อนจริงๆเลยนะ ตอนนี้ก็เริ่มจะเชิญชวนคนอื่นให้มาร่วมงานแต่งงานแล้ว” ท่านย่าถังเดิมทีที่เห็นเด็กสองคนลงมาแล้วนั้น ก็ได้ข่มความโมโหของตัวเองเอาไว้ แต่เมื่อได้ยินคำพูดของคุณปู่เย่ในเวลานี้ ความโมโหของท่านย่าถังก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอีกครั้ง
“แม่ อย่าโมโหเลยนะคะ นี่คุณปู่เย่เป็นคนพูด ไม่ใช่ความหมายของซือเฉินเสียหน่อย ซือเฉินไม่แต่งงานกับเจ้าหญิงอะไรนั่นหรอกค่ะ”
เฟิ่งเหมียวเหมียวเห็นเด็กๆสองคนมองดูทีวีอยู่ตลอดนั้นในใจก็รู้สึกสงสารขึ้นมา คำพูดนี้ของเธอพูดกับท่านย่าถัง แล้วก็เอ่ยพูดให้เด็กๆทั้งสองคนได้ยินด้วยเช่นกัน
“ใช่ค่ะ คุณพ่อไม่แต่งงานกับเจ้าหญิงคนนั้นหรอก คุณพ่อจะแต่งงานกับคุณแม่ คุณพ่อไม่มีทางไม่ต้องการคุณแม่ คุณพ่อไม่มีทางไม่ต้องการพวกเรา เขาโกหก เขาโกหก” ดวงตาคู่นั้นของถังจื่อซีมองไปยังคุณปู่เย่ที่อยู่ในทีวี น้ำเสียงที่สูงขึ้นนั้นเต็มไปด้วยความโมโหอย่างเห็นได้ชัด
“ใช่ ใช่ คุณพ่อของพวกหนูจะต้องไม่แต่งงานกับเจ้าหญิงคนนั้นอย่างแน่นอน” เฟิ่งเหมียวเหมียวเห็นถังจื่อซีที่พยักหน้าลง
“แต่ว่าการแต่งงานกำหนดเอาไว้แล้ว เขาแถลงข่าวออกมาแบบนี้แล้ว จะไม่รักษาคำพูดหรอกหรือครับ?” ถังจื่อโม่ไม่ใช่ถังจื่อซี เขาไม่ใช่พวกที่หลอกง่ายขนาดนั้น อีกทั้งคำถามที่เขาคิดอยู่นั้นก็เป็นคำถามที่จะเป็นจริงขึ้นมาได้อีกด้วย
ได้ยินคำพูดของถังจื่อโม่แล้ว สองสามคนนั้นก็พากันนิ่งอึ้งไป คำถามนี้ของถังจื่อโม่ ก็เป็นปัญหาที่พวกเขารู้สึกกังวลอยู่เช่นกัน
“เย่ซือเฉินล่ะ? เขาอยู่ที่ไหน ครอบครัวของเขากำหนดการหมั้นให้เขาแล้ว เขาจะไม่สนใจเลยอย่างนั้นหรือ?” ถังจื่อโม่นึกไปถึงเมื่อวานนี้เขาได้เจอหน้ากันกับเย่ซือเฉินแล้ว ถึงแม้ว่าทั้งสองคนจะไม่ได้พูดคุยกัน แต่เย่ซือเฉินก็รู้ถึงการมีตัวตนของเขาแล้ว แต่ตอนนี้เย่ซือเฉินกลับจะหมั้นกับเจ้าหญิงแห่งองค์โกสต์ซิตี้อย่างนั้นหรือ?
“จื่อโม่ นี่คงจะไม่ใช่ความต้องการของพ่อของหนูอย่างแน่นอน กลัวว่าเขาจะไม่รู้เรื่องด้วย” ท่านปู่ถังเห็นใบหน้าที่ดื้อรั้นของถังจื่อโม่แล้วก็รู้สึกสงสารไม่ไหวแล้วเช่นกัน
“ใช่ ใช่ พ่อของเราจะต้องไม่รู้เรื่องด้วยอย่างแน่นอน นี่จะต้องไม่ได้เป็นความต้องการของพ่อเราแน่” เฟิ่งเหมียวเหมียวเองก็รีบตอบรับกับคำพูดของท่านปู่ถัง เฟิ่งเหมียวเหมียวเองก็รู้ว่าคำพูดแบบนี้ของตัวเองนั้นดูว่างเปล่าเกินไป ไม่มีแรงโน้มน้าวใจอะไรได้ แล้วจู่ๆเธอก็นึกถึงเรื่องที่เห็นมาจากบนอินเตอร์เน็ตขึ้นมา
ดวงตาของเฟิ่งเหมียวเหมียวเป็นประกาย แล้วรีบหยิบโทรศัพท์มือถือออกมา แล้วเปิดหน้าที่เคยดูก่อนหน้านี้ แล้วยื่นส่งไปตรงหน้าถังจื่อโม่ : “จื่อโม่ เราดูนี่นะ วันนี้ตอนเช้าพ่อของเราให้คนเอาตัวเจ้าหญิงโยนออกมาจากบริษัทตระกูลเย่กรุ้ปเลยนะ พ่อเราจับคนโยนออกมาแบบนี้แล้วจะเป็นไปได้อย่างไรที่จะแต่งงานกับเธอ”
“มีเรื่องนี้ด้วยหรือ?” ท่านย่าถังไม่รู้เรื่องนี้ ตอนนี้ได้ยินเฟิ่งเหมียวเหมียวเอ่ยพูดขึ้นมาแล้ว ก็รู้สึกประหลาดใจอย่างเห็นได้ชัด : “ถ้าหากเป็นแบบนี้จริงๆ ถ้าอย่างนั้นเรื่องนี้ก็คงจะไม่ใช่ความต้องการของเย่ซือเฉินอย่างแน่นอน”
เดิมทีแล้วท่านย่าถังไม่ได้โมโหเย่ซือเฉินจริงๆอยู่แล้ว เพียงแต่เรื่องที่คุณปู่เย่และคุณย่าเย่ทำนั้นเกินไปจริงๆ ท่านย่าถังไม่อยากให้ฉิงฉิงต้องมาได้รับกับความทุกข์นี้
ตอนนี้ได้ยินเรื่องตอนที่เย่ซือเฉินเอาตัวเจ้าหญิงแห่งองค์กรโกสต์ซิตี้โยนออกมาจากบริษัทตระกูลเย่กรุ้ปแล้ว สีหน้าของท่านย่าถังก็ผ่อนคลายลงมาไม่น้อย : “ดูแล้ว เรื่องนี้คงจะโทษเย่ซือเฉินไม่ได้”
“ถูกต้อง เรื่องนี้จะต้องเป็นคุณปู่เย่กับคุณย่าเย่ปิดบังเย่ซือเฉินเอาแล้วแล้วกำหนดขึ้นมาแน่ๆ” เฟิ่งเหมียวเหมียวเอ่ยพูดเสริมขึ้นมาติดๆ คำพูดของเธอนั้นเอ่ยพูดไปยังถังจื่อโม่ เห็นได้ชัดว่าพูดให้ถังจื่อโม่ได้ยิน
ดวงตาของถังจื่อโม่ไหวติงเบาๆ ความโมโหบนใบหน้านั้นหายไปอย่างชัดเจน ถ้าหากเป็นแบบนี้จริงๆ ก็คงจะโทษเย่ซือเฉินไม่ได้
“คนแก่สองคนนี้ ไม่สร้างเรื่องวันนึงนี่คงจะรู้สึกไม่สบายสินะ” ท่านย่าถังถอนหายใจออกมา มีญาติแบบนี้ น่าสงสารเย่ซือเฉินมากเหมือนกัน
“เรื่องของเด็ก พวกเขากลับไม่แม้แต่จะถามเด็กๆ ก็ตัดสินใจเองแบบนี้ พวกเขาไม่กลัวว่าจะเป็นการทำร้ายจิตใจของเด็กมันรึยังไง?” ท่านย่าถังไม่เข้าใจจริงๆว่าท่านปู่เย่และท่านย่าเย่นั้นคิดอย่างไรกัน
มีชีวิตอยู่กันจนถึงอายุปูนนี้อย่างพวกเขาแล้ว สิ่งที่อยากเห็นที่สุดไม่ใช่เห็นลูกๆสงบสุข และมีความสุขกันไม่ใช่หรอกหรือ?
แต่คุณปู่เย่และคุณย่าเย่ทำเรื่องเหล่านั้น ไม่ได้มีซักเรื่องนึงเลยที่เป็นการคิดเพื่อเด็กจริงๆ
ท่านปู่ถังไม่ได้เอ่ยพูดออกมา สถานการณ์เช่นนี้ อยู่ต่อหน้าเด็กทั้งสองคน ท่านปู่เย่จะไม่สามารถวิพากษ์วิจารณ์คนอื่นได้อยู่แล้ว ยิ่งกว่านั้นสองคนนั้นยังเป็นญาติของเด็กสองคนนี้อีกด้วย
“พวกคุณว่า ถ้าหากให้พวกเขารู้เรื่องเด็กเร็วกว่านี้ พวกเขาก็จะไม่ทำเรื่องแบบนี้ใช่หรือเปล่า” ท่านย่าถังถอนหายใจออกมาอีกครั้ง ท่านย่าถังรู้ว่าตอนแรกคุณปู่เย่และคุณย่าเย่ไม่ยอมให้ฉิงฉิงกับเย่ซือเฉินคบกัน เป็นเพราะรู้ว่าฉิงฉิงไม่สามารถมีลูกได้ แต่ฉิงฉิงก็คลอดลูกออกมาได้สองคนเพื่อเย่ซือเฉิน
ถ้าหากให้คุณปู่เย่และคุณย่าเย่รู้เรื่องเด็กตั้งแต่แรก ไม่แน่ว่าจะไม่จัดเรื่องการหมั้นกับเจ้าหญิงแห่งองค์กรโกสต์ซิตี้โดยพลการก็ได้
“แต่ว่า พวกเขารู้จักหนูนะคะ” ถังจื่อซีกะพริบตา แล้วเอ่ยพูดประโยคนี้ขึ้นมา
ได้ยินคำพูดของถังจื่อซีแล้ว ทุกคนก็มองไปยังถังจื่อซีพร้อมกัน ใบหน้าปรากฏความตกใจออกมา
“จื่อซี หนูว่าอะไรนะ? พวกเขารู้เรื่องหนู? พวกเขาจะรู้ได้ยังไง? หนูเข้าใจผิดแล้วหรือเปล่า?” ท่านย่าถังรู้สึกไม่เชื่ออยู่บ้าง เธอรู้สึกว่าจื่อซีอาจจะเข้าใจผิด เพราะถึงอย่างไรจื่อซีก็เป็นเด็กอายุเพียงห้าขวบเท่านั้น
“หนูไม่ได้เข้าใจผิดนะคะ ครั้งที่ตอนที่หนูไปหาคุณพ่อที่บริษัท เคยพบกันกับพวกเขาแล้วค่ะ” ถังจื่อซีมีสีหน้าท่าทางที่ดูจริงจัง เอ่ยพูดออกมาอย่างชัดเจน
“เคยเจอกันแล้วด้วยหรือ? ถ้าอย่างนั้นพวกเขารู้ไหมว่าหนูเป็นใคร? พวกเขาอาจจะไม่รู้สถานะของหนูรึเปล่า?” ท่านย่าถังอดที่จะเอ่ยถามออกมาอีกครั้งไม่ได้
“พวกเขารู้สถานะของหนูค่ะ ตอนนั้นหนูบอกพวกเขาไปแล้วว่าคุณแม่ของหนูก็คือเวินลั่วฉิง คุณพ่อของหนูคือเย่ซือเฉิน อีกทั้งตอนนั้นหนูยังโทรหาคุณพ่อตอนอยู่ต่อหน้าพวกเขาด้วย และตอนนั้นพวกเขาก็ยังเอาเส้นผมของหนูไปด้วย จะต้องเอาไปตรวจดีเอ็นเอแน่ๆเลยค่ะ”
ถึงแม้ว่าถังจื่อซีจะอายุยังน้อย แต่เธอก็ฉลาดมากจริงๆ พูดออกมาได้อย่างฉะฉานและชัดเจนมาก
“พูดมาแบบนี้ พวกเขาก็รู้แล้วจริงๆสิ ตรวจดีเอ็นเอแล้ว ก็จะต้องรู้อะไรหมดแล้วอย่างแน่นอน แต่พวกเขารู้ถึงสถานะของจื่อซีแล้ว ทำไมไม่มีการเคลื่อนไหวอะไรเลย?” เฟิ่งเหมียวเหมียวขมวดคิ้วขึ้นเล็กน้อย รู้สึกคิดไม่ตกอยู่บ้าง
“จื่อซี เราไปเจอพวกเขาที่บริษัทมาตั้งแต่เมื่อไหร่?” ท่านย่าถังได้ยินคำพูดของเฟิ่งเหมียวเหมียวแล้ว จึงรีบเอ่ยถามขึ้นมา