ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน - บทที่ 1209 ข่าวใหญ่ เรื่องกลับตาลปัตร(2)
คุณย่าเย่ก็พอจะเดาได้ว่าเธอเรียกรถพยาบาลมาอย่างนี้นักข่าวก็ต้องรู้ข่าวแล้วด้วยเช่นกัน และนักข่าวก็ต้องตามมาด้วยแน่ๆ
นั่นไง คุณย่าเย่เห็นนักข่าวเดิมตามหลังหมอมาด้วย
“คุณย่าเย่ คุณปู่เย่เป็นลมไปได้ยังไงครับ ? ทำไมถึงเป็นลมไปได้ ? ”นักข่าวเห็นว่าหมอเดินไปตรวจอาการของคุณปู่เย่แล้ว ก็เดินห้อมล้อมกันมาที่คุณย่าเย่
อันที่จริงสาเหตุที่คุณปู่เย่เป็นลมล้มพับไป พวกเขาต่างก็พอจะเดาได้ว่าเป็นเพราะสะเทือนใจกับเรื่องที่เย่ซือเฉินประกาศตัดขาดกับตระกูลเย่ แต่จะใช่เรื่องจริงหรือไม่ ? คำพูดของคุณย่าเย่ก็ย่อมต้องมีน้ำหนักมากกว่า
“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเขาเป็นอะไรไป ? หลายวันมานี้ร่างกายของเขาก็ไม่ค่อยแข็งแรงเท่าไร ผลการตรวจร่างกายครั้งล่าสุดก็ออกมาไม่ค่อยดี เรื่องนี้เราก็ไม่ได้บอกลูกๆหลานๆ คนที่บ้านก็ไม่มีใครรู้ แต่ฉันไม่คิดว่าจู่ๆเขาจะเป็นลมล้มพับไปแบบนี้ หากเขาเป็นอะไรไป แล้วจะทำยังไง สถานการณ์ของตระกูลเย่ในตอนนี้จะทำยังไง?”คุณย่าเย่ช่างมีพรสวรรค์ด้านการแสดงจริงๆ พูดๆอยู่น้ำตาก็ไหลออกมา
คุณย่าเย่ไม่ได้พูดตรงๆว่าเป็นเพราะเย่ซือเฉิน เห็นชัดว่าคุณย่าเย่เก่งในเรื่องแบบนี้ เธอรู้ว่าบางครั้งการพูดอะไรตรงๆมันก็ไม่ได้ส่งผลดีเท่าไร
แม้ว่าคุณย่าเย่จะไม่ได้พูดชี้ชัด แต่คำพูดของเธอเมื่อครู่ ก็เหมือนจะแอบกล่าวโทษและตำหนิเย่ซือเฉินเป็นนัยๆ
สุขภาพของคุณปู่เย่ไม่ดี แต่เย่ซือเฉินกลับไม่รู้ นั้นก็แสดงให้เห็นว่าเย่ซือเฉินไม่ได้ใส่ใจพวกเขา
และคำพูดสุดท้ายของคุณย่าเย่ ก็เหมือนจะกล่าวตำหนิเรื่องที่เย่ซือเฉินทำในวันนี้
นักข่าวทุกคนล้วนเป็นคนฉลาด เมื่อได้ยินคำพูดของคุณย่าเย่ สีหน้าท่าทางของแต่ละคนก็มีอารมณ์ที่ซับซ้อนผสมปนเปกันไปหมด
“คุณย่าเย่ คุณปู่เย่สะเทือนใจเรื่องของคุณชายสามเย่จนเป็นลมไปหรือเปล่าครับ ? ” มีนักข่าวคนหนึ่งฟังความหมายแฝงของคุณย่าเย่ออก ดังนั้นคำถามของนักข่าวในครั้งนี้ก็จึงได้ถามออกไปตรงๆ
“ไม่ ไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะเย่ซือเฉิน ไม่เกี่ยวอะไรกับเย่ซือเฉิน พวกคุณอย่าพูดเหลวไหล” หลังจากที่คุณย่าเย่ได้ยินคำพูดของนักข่าวก็รีบส่ายหน้าปฏิเสธทันที ทันใดนั้นอารมณ์ก็เปลี่ยนเป็นตื่นตัวขึ้นมา
ถึงปากของคุณย่าเย่จะบอกว่าไม่เกี่ยวอะไรกับเย่ซือเฉิน แต่กิริยาท่าทางของเธอก็สวนทางกับคำพูดทั้งหมด ท่าทีที่ร้อนรนของเธอก็ขาดเพียงแค่คำพูดยืนยันเท่านั้นว่าที่คุณปู่เย่เป็นนั้นเพราะเย่ซือเฉินเป็นต้นเหตุ
ท่าทีของคุณย่าเย่นั้นแสดงออกชัดเจนมาก นักข่าวจะมองไม่ออกได้ยังไง
“ผลตรวจร่างกายครั้งล่าสุดไม่ค่อยดี เรื่องที่เกิดขึ้นนี้ไม่เกี่ยวอะไรกับเย่ซือเฉิน” คุณย่าเย่ก็รีบอธิบายเพิ่มมาอีกหนึ่งประโยค
“คุณย่าเย่ ก่อนหน้านั้นคุณปู่เย่เคยเป็นลมแบบนี้มาก่อนไหม?” นักข่าวคนหนึ่งจับประเด็นในตรงนี้ได้จึงได้ถามออกไปอีกหนึ่งคำถามอย่างรวดเร็ว
“ไม่เคย เมื่อก่อนไม่เคยเป็น”คุณย่าเย่ทำราวกับตอบกลับไปอย่างไม่ได้เตรียมการอะไร
“คุณย่าเย่ วันนี้คุณปู่เย่เห็นข่าวของคุณชายสามเย่ว่าจะตัดขาดกับตระกูลเย่แล้วจึงเป็นลมไปใช่หรือเปล่า”หน้าที่ของนักข่าวก็คือการขุดคุ้ย เป็นธรรมดาที่ข่าวยิ่งขุดก็ยิ่งจะลึก ยิ่งลึกก็ยิ่งจะมีความน่าเชื่อถือ
ครั้งนี้คุณย่าเย่ไม่ได้ตอบออกไปทันที ดวงตาของเธอไหววูบ จากนั้นก็หันหลังกลับ เพื่อหลบกล้องของนักข่าวที่จับภาพมา ราวกับจะปิดบังอะไร คุณย่าเย่เดินเข้าไปหาหมอ “หมอ เขาเป็นยังไงบ้าง ? อาการร้ายแรงอะไรไหม ? ”
“คุณย่าเย่ อย่าเพิ่งร้อนใจไป เมื่อครู่เราได้เช็กคุณปู่เย่แล้ว แต่ยังหาสาเหตุการเป็นลมของคุณปู่เย่ไม่ได้ พวกเราจะพาคุณปู่เย่ไปที่โรงพยาบาล เพื่อตรวจเช็กอย่างละเอียดอีกครั้ง ”เมื่อกี้หมอได้เช็กอาการเบื้องต้นให้แล้ว แต่เห็นชัดว่าหมอยังหาสาเหตุไม่เจอ
“แล้วตอนนี้อาการของเขาร้ายแรงไหม ? สีหน้าของเขาซีดมาก ริมฝีปากก็ม่วงคล้ำ ฉันเห็นสภาพเขาแบบนี้แล้วก็กังวลใจมาก ”คุณย่าเย่พอได้เล่นละครก็มาเป็นฉากๆเลย เดิมที‘เครื่องหน้า’ของคุณปู่เย่เธอเป็นคนลงมือแต่งแต้มเองมากับมือ ก็ไม่แปลกที่เธอจะเล่นละครได้สมจริงแบบนี้
ทันทีที่คุณย่าเย่พูดออกมา ก็เรียกความสนใจจากนักข่าวได้มาก เมื่อครู่หมอก็ห้อมล้อมคุณปู่เย่เพื่อตรวจเช็กอาการ นักข่าวจึงไม่สามารถห้อมล้อมเข้ามาดูด้วยได้ ดังนั้นจึงได้ถามอาการเบื้องต้นกับคุณย่าเย่ไปก่อน
เมื่อนักข่าวได้ยินที่คุณย่าเย่พูดว่าคุณปู่เย่สีหน้าซีดเซียว ริมฝีปากม่วงคล้ำ ต่างก็ล้อมวงกันเข้ามา เห็นสภาพของคุณปู่เย่ในตอนนี้ ต่างก็พากันตกตะลึง สภาพของคุณปู่เย่เหมือนคนอาการหนักมาก
หากคุณปู่เย่เป็นอะไรไปจริงๆ งั้นสิ่งที่เย่ซือเฉินทำมาก่อนหน้าก็ถือว่าร้ายแรงมาก
นักข่าวที่อยู่ในที่เกิดเหตุต่างก็อดเป็นห่วงแทนเย่ซือเฉินไม่ได้ แต่เป็นห่วงก็ส่วนเป็นห่วง ยังไงข่าวก็ยังต้องรายงาน และต้องขุดคุ้ย ดังนั้นนักข่าวที่อยู่ในที่เกิดเหตุต่างก็พากันบันทึกภาพใบหน้าที่‘ซีดเซียว’ของคุณปู่เย่เอาไว้ และแพร่ภาพออกสู่สาธารณชน
ภาพของคุณปู่เย่ที่กำลังป่วยอยู่ในตอนนี้ บวกกับคำพูดก่อนหน้านั้นของคุณย่าเย่ พอข่าวนี้แพร่ออกไป ก็ทำให้เกิดการถกเถียงครั้งใหญ่ขึ้นมาอีกครั้ง
บรรดาผู้คนที่เคยคิดว่าเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นความผิดของคุณปู่เย่ เย่ซือเฉินทำเพื่อความสุขของตัวเอง ละทิ้งทุกอย่างของตระกูลเย่ไม่ใช่เรื่องผิดอะไร ตอนนี้ก็แทบไม่กล้าที่จะพูดอะไรอีก
เพราะตอนนี้คุณปู่เย่ล้มป่วย และดูท่าอาการจะหนักด้วย เพราะตามหลักธรรมเนียมปฏิบัติของความกตัญญู เรื่องนี้ต่อให้เย่ซือเฉินจะไม่ผิดก็ต้องกลายเป็นคนผิดไปโดยปริยาย
ความเห็นมากมายบนอินเทอร์เน็ตต่างก็พากันพูดว่าเย่ซือเฉินไม่รู้อะไรควรไม่ควร อกตัญญู และโหดเหี้ยม และยังมีคนว่าเย่ซือเฉินเป็นพวกเนรคุณ บอกว่าคุณปู่เย่เลี้ยงดูเขามาจนโตขนาดนี้ เขายังไม่สำนึกบุญคุณ หนำซ้ำยังทำให้คุณปู่เย่ล้มป่วยจนได้
ยิ่งไปกว่านั้นคุณปู่เย่เป็นลมหมดสติ รถพยาบาลมาถึงแล้ว แต่เย่ซือเฉินกลับยังไม่ปรากฏตัว ถึงแม้ก่อนหน้านั้นเย่ซือเฉินจะประกาศตัดขาดกับตระกูลเย่ ตอนนี้คุณปู่เย่เป็นลมหมดสติไปก็เพราะเขา ป่วยหนักขนาดนี้ เย่ซือเฉินจะยังไม่สนใจมาดูดำดูดีหน่อยเหรอ ? “ฉันจำได้เมื่อครั้งที่แล้วคุณปู่เย่ก็เคยแกล้งป่วยเพื่อใส่ร้ายเวินลั่วฉิง ครั้งนี้จะแกล้งทำอีกหรือเปล่า ?” แน่นอนว่า ก็มีคนตั้งคำถามแบบนี้เช่นกัน มีคนพูดถึงเรื่องเมื่อครั้งที่แล้วที่คุณปู่เย่แกล้งป่วยเพื่อใส่ร้ายเวินลั่วฉิง
“ข้อความข้างบนคุณเป็นบ้าอะไร คุณชายสามเย่เป็นหลานแท้ๆของคุณปู่เย่ คุณเคยเห็นมีปู่ที่ไหนทำร้ายหลานตัวเองแบบนี้เหรอ? อีกอย่างคุณไม่เห็นสภาพของคุณปู่เย่เหรอ ? สีหน้าดูแย่ขนาดนั้น ริมฝีปากม่วงคล้ำ มองดูก็รู้ว่าอาการหนักมาก จะแกล้งทำได้ยังไง ? มีใครที่ไหนจะมาแกล้งป่วยแล้วเรียกรถพยาบาลกัน?!”
“ใช่ คุณปู่เย่อายุมากขนาดนี้ คุณย่าเย่เองก็พูดว่าผลการตรวจสุขภาพของคุณปู่เย่ไม่สู้ดีเท่าไร เกิดเรื่องสะเทือนใจขึ้นแบบนี้ คุณปู่เย่ไม่เป็นลมหมดสติก็แปลกแล้ว”
“สุขภาพของคุณปู่เย่ไม่ดี เย่ซือเฉินที่เป็นหลานก็ยังมาทำเรื่องแบบนี้ จนคุณปู่เย่ต้องเป็นลมหมดสติไป ช่างอกตัญญูจริงๆ”
“อย่าพูดถึงความกตัญญูเลย แค่น้ำใจก็ยังไม่มี วัยรุ่นสมัยนี้ จริงๆเลย……”
“นี่มันก็ใจดำเกินไป ทำปู่ตัวเองได้ขนาดนี้ จนป่านนี้แล้วก็ยังไม่โผล่มาอีก สามัญสำนึกคงถูกสุนัขกินไปหมดแล้ว ”
ไม่นานคำถามต่างๆก็ถูกฝังกลบ เสียงก่นด่าคุณชายสามเย่ก็เพิ่มมากขึ้นไปอีก
รถพยาบาลพาตัวคุณปู่เย่ที่‘หมดสติ’มาถึงที่โรงพยาบาล ด้านนอกของโรงพยาบาลก็มีนักข่าวห้อมล้อมอยู่เต็มไปหมด นักข่าวที่เคยอยู่ที่บริษัทตระกูลเย่กรุ๊ปต่างก็ตามมาที่นี่กันหมด และรออยู่ตรงด้านนอกของโรงพยาบาล
เมื่อเห็นรถพยาบาลขับเข้ามา นักข่าวก็พากันกรูเข้ามา
“ขอทางหน่อย หลีกทางให้ด้วย อย่าขวางทางการช่วยเหลือผู้ป่วย” หมอได้ยกร่างของคุณปู่เย่ลงมาจากรถพยาบาล เมื่อเห็นนักข่าวขวางทางเอาไว้ ก็ทำได้เพียงตะโกนบอกเสียงดัง
แม้ว่านักข่าวอยากจะได้ภาพข่าว แต่การช่วยชีวิตคนนั้นสำคัญกว่า ไม่มีใครขวางทาง หลีกทางให้อย่างโดยดี
แต่ เลนส์กล้องต่างก็พุ่งเป้าไปที่คุณปู่เย่ มีทั้งที่เก็บถ่าย และทั้งที่บันทึกวิดีโอ
ในตอนนี้เอง ใบหน้าของคุณปู่เย่ก็ยิ่งดูซีดเซียวมากขึ้นไปอีก หน้าตาดูราวกับคนที่มีอาการป่วยเข้าขั้นวิกฤต
เพราะคุณปู่เย่‘หมดสติ’นักข่าวจึงถามคำถามอะไรไม่ได้ทำได้เพียงเก็บภาพให้มากเท่าที่จะมากได้เท่านั้น
ครั้งนี้มีสื่อสำนักข่าวมากันเยอะมาก จึงมีภาพถ่ายและคลิปวิดีโอมากมายถูกเผยแพร่ผ่านทางอินเทอร์เน็ต
เพราะสภาพของคุณปู่เย่นั้นเหมือนคนที่มีอาการป่วยเข้าขั้นวิกฤต และตอนนี้ก็ยังอยู่ที่หน้าประตูโรงพยาบาล ผลลัพธ์ที่ออกมาก็จึงเป็นผลดีมาก
ตอนนี้คุณปู่เย่นอนอยู่บนเปลหาม ในใจก็อดพอใจไม่ได้ ดูแล้วผลลัพธ์ที่ออกมาจะดีมาก แน่นอนว่า ในตอนนี้คุณปู่เย่ที่กำลังแกล้งป่วยอยู่ ลืมตาขึ้นมาไม่ได้ และแสดงอาการอะไรไม่ได้ด้วยเช่นกัน
คุณปู่เย่รู้ดีแก่ใจ หากนักข่าวสังเกตเห็นความผิดปรกติ แผนการของพวกเขาก็ต้องล่ม ดังนั้นที่คุณปู่เย่นอนนิ่งในตอนนี้ก็จึงไม่ได้ขยับอะไร