ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน - บทที่ 1352 โดนจับตัว (2)
“ผมยังไม่ได้คิดเลย ถ้าตัดสินใจได้เมื่อไหร่แล้วผมจะบอก ตอนนี้ไม่ได้รีบร้อนอะไร” แน่นอนว่าหลินเป้ยไม่มีทางบอกแผนการของตัวเองกับเจ้าชาย ไม่ใช่ว่าเธอไม่เชื่อใจเขา แต่เป็นเพราะนี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ผลลัพธ์ที่ตามมาอาจจะรุนแรงกว่าที่คิดได้
“ได้ ถ้ารู้แล้วก็บอกพี่ด้วยแล้วกัน พี่จะได้ช่วยจัดการ จำเอาไว้นะ ห้ามบุ่มบ่ามออกนอกประเทศไปคนเดียวเด็ดขาด” เห็นได้ชัดว่าเจ้าชายยังคงไม่วางใจนัก จึงกำชับอีกครั้ง
“ครับ ผมเข้าใจแล้ว นับวันพี่ใหญ่ก็ยิ่งขี้บ่นขึ้นเรื่อยๆ ขี้บ่นแซงแม่ของผมไปแล้วด้วยซ้ำ” เมื่อหลินเป้ยเห็นเจ้าชายใหญ่กำชับซ้ำแล้วซ้ำเล่า เธอก็รู้สึกอุ่นใจขึ้นมา แต่เรื่องนี้เธอตัดสินใจแล้วว่าจะไม่บอกเจ้าชายใหญ่อย่างเด็ดขาด
“เดี๋ยวนี้ถึงขั้นกล้าว่าว่าพี่ขี้บ่นแล้วหรือ” เมื่อได้ยินน้ำเสียงของหลินเป้ยผ่อนคลายลง เจ้าชายใหญ่ก็รู้สึกวางใจลงตามไปด้วย “เอาล่ะ พี่ไม่กวนเราแล้ว ทางนี้พี่ยังมีเรื่องต้องจัดการอีก แค่นี้ก่อนนะ”
“อืม บ๊ายบายครับ” หลินเป้ยตอบกลับเบาๆ พลางอมยิ้มเบาๆ
หลังจากวางสายจากเจ้าชายใหญ่แล้ว หลินเป้ยก็ปิดกระเป๋าเดินทางที่ตัวเองเตรียมเอาไว้แล้วทันที แล้วลงมือหาเที่ยวบิน
เธอต้องรีบไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด เธอไม่สามารถรอให้เจ้าชายใหญ่เตรียมการก่อนได้ และไม่สามารถรอจนถังหลินมาถึง
ก่อนหน้านี้เจ้าชายใหญ่บอกว่าถังหลินจะมาถึงวันพรุ่งนี้ ดังนั้นคืนวันนี้เธอต้องไป
แม้ว่าตอนนี้จะถือว่าช้ามากแล้ว แต่ขอแค่มีเที่ยวบินก็พอ ไปที่ไหนก็ได้ ขอให้ออกเดินทางได้ก่อนแล้วค่อยว่ากัน
ตอนนี้ถือว่าช้าเกินไปแล้วจริงๆ ดังนั้นจึงมีสายการบินเหลือไม่มากนัก หลินเป้ยหาเที่ยวบินไปเยอรมันได้ในเวลาตีสาม
ตอนนี้เป็นเวลาเกือบห้าทุ่มแล้ว ไปสนามบินตอนนี้ยังทัน อีกอย่างเธอยังพอใจที่ได้ไปเยอรมันอีกด้วย
ประเทศของพวกเขาไม่มีความสัมพันธ์ใดๆ กับเยอรมัน ดังนั้นการได้ไปที่เยอรมันมีโอกาสน้อยมากที่จะเจอคนรู้จัก และไม่ง่ายนักที่จะมีคนตามตัวเจอ
สิ่งที่สำคัญที่สุดคือต้องออกจากญี่ปุ่นก่อนที่ถังหลินจะมาถึง
หลินเป้ยไม่อยากพบหน้าถังหลินตอนนี้อย่างยิ่ง เพราะเธอรู้ว่าถังหลินเป็นคนฉลาดและช่างสังเกต ถ้าหากเธอได้เจอถังหลิน มีความเป็นไปได้สูงมากที่ถังหลินจะรู้เรื่องที่เธอท้อง ถึงเวลานั้นเธอไม่อยากจะนึกถึงเหตุการณ์ที่ตามมา
หลินเป้ยจองตั๋วเครื่องบินอย่างไม่ลังเล จากนั้นจึงจัดของอีกนิดหน่อยก่อนจะลากกระเป๋าออกจากห้องไป
หลินเป้ยไม่ได้ขับรถไปเอง แต่เลือกที่จะเรียกแท็กซี่ ช่วงเวลานี้เธอกินอะไรลงไปก็อาเจียนออกมาหมด สภาพจิตใจของเธอจึงไม่ค่อยดีนัก แถมสนามบินยังอยู่ไกลจากที่นี่ ดังนั้นเธอจึงไม่กล้าขับรถไปเอง
การขับรถไปเองย่อมสะดวกกว่าการนั่งรถแท็กซี่ไป ตำแหน่งที่เธออยู่ค่อนข้างห่างไกลจึงเสียเวลารอรถไปค่อนข้างมาก กว่าจะไปถึงสนามบินก็เป็นเวลาตีหนึ่งแล้ว
ตอนนี้ยังทัน หลินเป้ยจึงไม่ได้รีบร้อนอะไรมากนัก วันนี้เธอแทบไม่ได้กินอะไรทั้งวัน ตอนนี้จึงเริ่มรู้สึกหิวขึ้นมาบ้างแล้ว
แม้ว่าเธอกินอะไรลงไปก็อาเจียนออกมาหมด แต่ถ้าเธอปล่อยให้ตัวเองหิวแบบนี้ต่อไปมีแต่จะยิ่งทรมาน หลินเป้ยจึงเตรียมจะไปหาอะไรรองท้องก่อน
หลินเป้ยเดินลากกระเป๋าเข้าไปด้านในสนามบิน แม้ว่าจะดึกแล้วแต่เธอก็ยังกังวลว่าจะถูกคนสะกดรอยตาม ดังนั้นจึงคอยมองสอดส่ายรอบตัวอยู่ตลอด
เมื่อเห็นว่ารอบตัวไม่มีบุคคลต้องสงสัย เธอจึงแอบถอนใจ จากนั้นลากกระเป๋าเดินต่อเข้าไปด้านใน แต่ขณะที่เธอเพิ่งก้าวเข้าไปด้านใน เธอก็เหลือบไปเห็นคนที่คุ้นเคยมากคนหนึ่ง
ช่วงเวลานั้นหลินเป้ยตะลึงงัน ไม่ใช่มั้ง?
คงไม่โชคร้ายขนาดนั้นหรอก?!
และคนคนนั้นคือถังหลิน?!!!
พี่ใหญ่บอกว่าเขาจะมาถึงพรุ่งนี้ไม่ใช่หรอ
หลินเป้ยเหลือบมองนาฬิกา ตอนนี้เป็นเวลาตีหนึ่ง ก็ถือว่าเป็นอีกวันหนึ่งแล้ว
แต่ถังหลินมาถึงเร็วเกินไปหน่อยรึเปล่า
เธออุตส่าห์รีบขนาดนี้ก็เพราะไม่อยากเจอถังหลิน แต่ก็มาซวยเจอที่สนามบินเข้าอย่างจังอีก เธอรู้สึกว่าตัวเองพ่ายแพ้ไม่เป็นท่า
แน่นอนว่าความคิดพวกนั้นแล่นเข้ามาเพียงครู่เดียว เพราะหลินเป้ยพบว่าถังหลินไม่ได้มองมาที่ตน เห็นได้ชัดว่าถังหลินไม่เห็นเธอ ดังนั้นเธอสามารถหลบได้ทันแน่
รอให้ถังหลินห่างออกไป เธอถึงจะเดินเข้าไป
การเคลื่อนไหวของหลินเป้ยเร็วกว่าความคิด นาทีถัดมาเธอก็ถอยหลังหลบไปอย่างรวดเร็ว จากนั้นจึงหมุนตัวเดินไปด้านซ้ายมืออย่างรวดเร็วเพื่อมุ่งหน้าไปยังซุ้มเล็กๆ เธอสามารถแอบอยู่ด้านหลังซุ้มได้ เพียงแค่นี้ถังหลินก็จะมองไม่เห็นเธอ
อีกอย่างเมื่อถังหลินเดินออกจากสนามบินแล้วจะต้องเลี้ยวไปทางขวา ไม่มีทางเดินมาทางนี้แน่
ตอนนี้หลินเป้ยไม่กล้าหันกลับไป เธอก้มหน้าสาวเท้าไปข้างหน้าเร็วจี๋ ตอนนี้เธอไม่กล้าวิ่งเพราะการวิ่งทำให้เป็นจุดสังเกตและอาจจะทำให้เขาเห็นเธอง่ายขึ้น
แม้ว่าร่างกายของหลินเป้ยจะอ่อนแอไปบ้าง แต่ความเร็วของเธอไม่ได้ลดลง ไม่นานนักเธอก็เดินไปถึงซุ้มที่เธอเล็งเอาไว้ จากนั้นจึงแอบอยู่ด้านหลังซุ้มหลังนั้น
ในสนามบิน เมื่อถังหลินเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นเงาร่างของคนคนหนึ่งตรงประตูทางเข้าถอยหลังหนีไปอย่างรวดเร็ว เงาคนผู้นั้นคุ้นตามากเสียจนเขานึกออกตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น
ถังหลินค่อนข้างแน่ใจว่าตัวเองไม่ได้จำคนผิด คนคนนั้นคือหลินเป้ย
เมื่อกี้เป็นประตูทางเข้า แถมเขายังเห็นหลินเป้ยลากกระเป๋าเดินทางอยู่ หลินเป้ยคงกำลังจะเข้ามาด้านใน แต่กลับถอยหลังหนีออกไปกะทันหัน แถมถังหลินยังรู้ด้วยว่าหลินเป้ยค่อนข้างลนลาน
แสดงว่าหลินเป้ยมองเห็นเขาแล้ว แต่เดินกลับออกไปเพื่อต้องการจะหลบหน้าเขา?
ฮึ ถังหลินโมโหจนกัดฟันยิ้ม นี่เธอกำลังหลบเขางั้นหรือ?
ตอนนั้นที่เกิดเรื่องนั้นขึ้น เธอพูดเอาไว้เองว่าหากเจอหน้ากันอีกให้ทำเหมือนไม่รู้จักกัน เขาจำประโยคนั้นได้ชัดเจนมาจนถึงทุกวันนี้
ถ้าหลินเป้ยยังมองเขาเป็นคนไม่รู้จักแล้วเดินผ่านด้านหลังของเขาไป เขาจะยังรู้สึกว่าเป็นเรื่องปกติ
แต่นี่เธอกำลังหลบเขา?
มีเรื่องอะไรที่เธอต้องหลบหน้าเขา
การหลบหน้าเช่นนี้แสดงว่าต้องมีเรื่องลำบากใจ แล้วเรื่องอะไรกันที่ทำให้เธอลำบากใจ?
เรื่องราวที่เกิดขึ้นตอนนั้น เขากับเธอได้ตกลงกันชัดเจนแล้ว ต่างฝ่ายต่างเข้าใจ ท่าทางของเธอตอนนั้นเด็ดขาดและไร้ความรู้สึก ตอนนั้นเขาไม่เห็นว่าเธอมีเรื่องอะไรลำบากใจซ่อนอยู่
ตอนนี้เรื่องราวก็ผ่านมานานมากแล้ว เธอกลับมาลำบากใจเอาตอนนี้?
ถังหลินก้าวออกไปนอกสนามบินได้เพียงสองสามก้าว สายตาของเขาก็เหลือบไปมองยังตำแหน่งที่หลินเป้ยหายตัวไปอย่างรวดเร็ว แต่กลับมองไม่เห็นเธอ
ดวงตาของถังหลินหรี่เล็กลง แม้ว่าจะเป็นช่วงเวลาสั้นๆ แต่เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้เขายิ่งแน่ใจว่าเธอกำลังหลบเขาอยู่
หากเธอมองเขาเป็นคนแปลกหน้าอย่างที่เธอว่าหรือเดินผ่านเขาไปก็ว่าไปอย่าง แต่นี่เธอกลับตั้งใจหลบหน้าเขา แสดงว่า……
ถังหลินคำนวณได้อย่างรวดเร็วว่าช่วงเวลาสั้นๆ แบบนี้ หลินเป้ยคงไปไหนได้ไม่ไกลนัก จะต้องยังอยู่แถวนี้แน่ๆ
ถังหลินมองไปยังซุ้มที่ตั้งอยู่ไม่ไกลนัก ริมฝีปากของเขาพลันหยักยิ้มขึ้นมา จากนั้นจึงเดินเลี้ยวไปทางซ้ายมือทันที
“คุณชายถัง ทางขวาครับ ต้องไปทางขวาครับ” เหยียนหยู ที่เดินตามมาด้านหลังรีบตะโกนบอกถังหลิน เขาเดินไปผิดทาง คนฉลาดอย่างถังหลินทำไมถึงเดินผิดทางไปได้
แต่ถังหลินก็ไม่ได้สนใจเขา ยังคงเดินมุ่งหน้าไปทิศทางเดิม
เหยียนหยูชะงักไป เกิดเรื่องอะไรขึ้น คุณชายกำลังจะทำอะไร
ทว่าถังหลินเดินไปได้ไม่กี่ก้าวก็หยุดเดิน ริมฝีปากของเริ่มหยักยิ้มขึ้นเรื่อยๆ จากนั้นเขาจึงเดินอ้อมเพื่อเดินไปยังซุ้มนั้นจากทิศทางอื่น
เหยียนหยูเห็นถังหลินหยุดเดิน ตอนแรกคิดว่าถังหลินรู้ตัวแล้วว่าตัวเองเดินผิดและจะเดินกลับไปด้านขวา ทว่ากลับคิดไม่ถึงว่า ถังหลินจะเดินอ้อมรอบหนึ่งและมุ่งหน้าไปทางซ้าย จึงมั่นใจได้ว่าถังหลินกำลังจะเดินไปยังซุ้มหลังน้อยนั้น
หรือว่าคุณชายถังอยากจะไปซื้อของ
“คุณชายถัง อยากซื้ออะไรหรอครับ เดี๋ยวผมช่วยไปซื้อให้ก็ได้” เหยียนหยูติดตามถังหลินมาหลายปีแล้ว จึงพอถือได้ว่าเป็นผู้ช่วยของถังหลิน เหยียนหยูกับถังหลินถือเป็นผู้จัดการธุระทั่วไปของแปดสุดยอดวงศ์ตระกูลทั้งหมด
ถังหลินกลอกตาแล้วหันไปค้อนใส่เขา คำพูดที่เหยียนหยูเตรียมจะพูดออกมาจึงติดอยู่ในลำคอไม่ส่งเสียงใดๆ ออกมาอีก
ถังหลินยังคงเดินหน้าไปยังซุ้มเล็กแห่งนั้น เหยียนหยูเองก็เดาไม่ถูกว่าเขาคิดจะทำอะไร แต่อย่างไรตอนนี้ก็อยู่ที่ญี่ปุ่นไม่ใช่บ้านเมืองของตัวเอง ดังนั้นเขาจึงต้องตามไปอย่างใกล้ชิด
ในตอนนั้น หลินเป้ยกำลังแอบอยู่ด้านหลังซุ้ม ใจของเธอเต้นระส่ำ แม้ว่าเมื่อกี้เธอจะเคลื่อนตัวและมาแอบได้อย่างรวดเร็ว แต่เธอก็ยังคงกังวลอยู่ดี
ว่ากันตามจริงแล้ว จากครั้งที่แล้วที่เธอได้มีโอกาสรู้จักกับเขา เธอจึงมั่นใจในความร้ายกาจของถังหลิน ดังนั้นเธอจึงอดไม่ได้ที่จะรู้สึกกังวลเป็นอย่างมาก
เวลาผ่านไปอย่างเชื่องช้า หลินเป้ยรู้สึกว่าเวลาขณะนั้นเป็นเวลาที่ยาวนานเสียเหลือเกิน
ตอนนี้เธอไม่รู้ว่าถังหลินออกมาแล้วหรือยัง และไม่รู้ว่าถังหลินไปจากที่นี่แล้วหรือยัง
เธอคิดจะหันไปดู แต่ก็กลัวว่าถังหลินจะเห็นเธอเข้า ดังนั้นเธอจึงพยายามสั่งตัวเองให้รอก่อน รออีกหน่อย
รออีกไม่นาน ถังหลินก็คงจะออกจากสนามบินไปแล้ว ถึงตอนนั้นเธอก็ออกจากตรงนี้และออกจากสนามบินไปได้เสียที
ขณะนั้นถังหลินเดินอ้อมไปยังด้านหลังของซุ้ม เขาเห็นหลินเป้ยยืนแอบอยู่หลังซุ้ม แต่ตอนนี้เธอหันหลังให้เขาอยู่จึงไม่เห็นเขา ถังหลินจึงยืนมองเธออยู่ด้านหลัง