ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน - บทที่ 1383 คำพลอดรักชนิดหนึ่งที่เรียกว่า คำพลอดรักของคุณชายถัง (1)
- Home
- ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน
- บทที่ 1383 คำพลอดรักชนิดหนึ่งที่เรียกว่า คำพลอดรักของคุณชายถัง (1)
หลินเป้ยได้ยินเขาพูด ร่างกายพลันแข็งทื่อ เพราะความเครียดและว้าวุ่นใจ ตะเกียบในมือจึงคลายออกเล็กน้อย ซาลาเปาเข่งเล็กที่คีบขึ้นมาจึงตก ……
ตกลงที่พื้นโดยตรง!!
ช่วงนี้เธอไม่ได้กินอะไรดีๆ แต่ไม่ใช่เพราะในวังขาดอาหารแต่อย่างใด เป็นเพราะเธอท้องต่างหาก ซึ่งให้ถังหลินรู้เรื่องนี้ไม่ได้เด็ดขาด
ดังนั้นเมื่อหลินเป้ยได้ยินถังหลินพูดเช่นนี้ก็รู้สึกตึงเครียด เธอกังวลใจว่าถังหลินจะรู้ ……
“ทำไมเหรอ?”เดิมทีถังหลินยังคาดเดาอะไรต่อมิอะไรอยู่ในใจ เมื่อเห็นการตอบสนองของเธอ เขาก็หรี่ตาขึ้น “ใครรังแกคุณ?บอกผมได้”
คำพูดของเขาก่อนหน้านี้บวกกับการตอบสนองของหลินเป้ย ทำให้ถังหลินคิดว่ามีคนรังแกเธอจริงๆ รังแกจนไม่มีกับข้าวกิน?ทำให้ต้องทนหิวจนเป็นสภาพนี้?
ให้อภัยไม่ได้เด็ดขาด!!
เรื่องเมื่อก่อนเขาไม่ยุ่ง ทว่านับจากตอนนี้ เรื่องของเธอก็คือเรื่องของเขา
“หา?” หลินเป้ยมองเขาด้วยความงวยงง ใครรังแกเธอกัน?หากว่ากันให้ถึงแก่นแท้ ผู้ร้ายตัวจริงก็คือเขา หากไม่ใช่เขา เธอก็ไม่ท้อง เมื่อเธอไม่ท้อง เธอก็จะไม่มีอาการแพ้ท้อง คงไม่ตกอยู่ในสภาพกินอะไรไม่ลง และเธอก็จะไม่หิวจนผอมซูบเพียงนี้
แน่นอน เรื่องนี้หลินเป้ยไม่มีทางพูดแน่ เธออยากปิดบังด้วยซ้ำ จะบอกเขาได้ยังไง!!
“เจ้าชายใหญ่ไม่สนใจเหรอ?หรือว่าแม้แต่เจ้าชายใหญ่ก็รังแกคุณ?” ถังหลินเห็นการตอบสนองของเธอ ดวงตาก็หรี่ขึ้นอย่างอันตราย น้ำเสียงเย็นเยียบมากขึ้นหลายส่วน
“ไม่มี ไม่มีคนรังแกฉัน เจ้าชายใหญ่ยิ่งไม่ได้รังแกฉัน” หลินเป้ยหลุดจากภวังค์ รีบอธิบายโดยเร็ว เข้าใจผิดกันไปใหญ่แล้ว ถึงเธอจะไม่เป็นที่รักใคร่ในราชวัง แต่ก็คงไม่ต้องทนหิวจนเป็นสภาพนี้หรอก
กระทั่งตอนเธอพึ่งกลับเข้าไปในราชวังก็ไม่ได้ขาดสนเรื่องการกินเลย
คนนี้คิดอะไรกันนะ?
“ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่ต้องปิดบังผม”ถังหลินโน้มกายไปด้านหน้าเล็กน้อย จึงเข้าใกล้เธอมากขึ้น เขาจ้องมองเธอด้วยแววตาจริงจังและเข้มขรึม
“ไม่มี ฉันไม่ได้ปิดบังอะไรคุณ” เมื่อสบตากับเขา หัวใจหลินเป้ยก็ลุกลน มีชั่วขณะหนึ่งที่เธอรู้สึกว่าใกล้จะปิดไม่ได้แล้ว แววตาเช่นนี้ของเขา เธอเกือบบอกความจริงออกไปแล้ว
ทว่าเมื่อนึกถึงผลลัพธ์ที่ตามมา นึกถึงคุณแม่ของเธอ จึงให้เขารู้เรื่องเธอตั้งครรภ์ไม่ได้เด็ดขาด
“ไม่มีจริงๆเหรอ?”หลอกถังหลินง่ายเสียที่ไหน ดูท่าทางเธอแล้ว เขาไม่เชื่อคำพูดเธอเลย เขารู้ว่าเธอปิดเขาทุกอย่างมาโดยตลอด “งั้นอธิบายเรื่องวันนี้หน่อย”
ตอนแรกปฏิเสธการกินข้าว จากนั้นก็กินอย่างรวดเร็วและเร่งรีบราวกับหิวมาหลายวัน ทั้งยังกินมากขนาดนี้อีก บอกว่าไม่มีอะไร?
เขาไม่เชื่อ
“ช่วงนี้ฉันแค่ไม่สบาย……”หลินเป้ยรู้สึกหัวชาเมื่อถูกเขาจับจ้อง เดิมทีเธอไม่อยากตอบ ทว่าก็ตอบกลับด้วยจิตใต้สำนึก
เมื่อลั่นวาจาออกไป หลินเป้ยก็รู้สึกเสียใจภายหลัง เธอบอกว่าไม่สบาย หากถังหลินซักไซ้ต่อ เธอจะตอบยังไง?
ถ้าเกิดถังหลินรู้ขึ้นมาจะทำยังไงดี?
“ไม่สบายเหรอ?เป็นอะไร?ไม่สบายตรงไหน?”ไหวพริบถังหลินเร็วกว่าที่เธอคิด น้ำเสียงของถังหลินเจือความเป็นห่วง แถมยังมีความร้อนรนใจหลายส่วน “ไปตรวจที่โรงพยาบาลหรือยัง?”
ถังหลินหยุดพูด เขารู้สถานการณ์ของเธอดี ถึงแม้เธอจะไม่สบายก็คงไม่ไปตรวจรักษาที่โรงพยาบาลหรอก เพราะเธอแต่งเป็นชาย หากมีคนรู้ก็จะยุ่งเอา
“เดี๋ยวผมพาคุณไปตรวจ” ถังหลินรู้ว่าตอนนี้สถานะของเธอไม่สะดวกไปโรงพยาบาล ทว่าเย่ซือเฉินเปิดโรงพยาบาลที่นี่ด้วย เขาพาเธอไปตรวจรักษาตรงนั้นได้ เขาแค่ติดต่อหาคนตรวจที่เชื่อถือได้ ไม่มีปัญหาอะไรหรอก
“ไม่เอา ฉันไม่ไปโรงพยาบาล” หลินเป้ยเกือบกระโดดขึ้นมาแล้วเชียว จะให้ไปที่โรงพยาบาลเหรอ?
ไปโรงพยาบาลก็ต้องเผยพิรุธทั้งหมดสิ ปิดบังอะไรไม่ได้อีกต่อไป เธอไม่มีทางไปที่โรงพยาบาลเด็ดขาด
หลินเป้ยรู้ตัวว่าแสดงท่าทางเกินพอดีแล้ว จึงรีบอธิบายว่า“ฉันเป็นอย่างนี้ไปโรงพยาบาลไม่ได้ กลัวคนอื่นจะรู้ว่าฉันเป็นผู้หญิง”
“คุณวางใจได้ ผมจะจัดการเอง ไม่มีอะไรแน่นอน” ถังหลินเข้าใจสิ่งที่เธอเป็นกังวล ดังนั้นจึงไม่ได้สงสัยสิ่งอื่นมากนัก
“ไม่ต้อง ไม่ต้องจริงๆ ฉันแค่เป็นหวัดนิดหน่อย ดังนั้นจึงไม่ค่อยอยากจะกินอะไร ช่วงนี้ไม่ได้กินอะไรเลย ข้าวเช้าที่คุณสั่งมาหอมมาก ฉันเลยกินไปเยอะหน่อย คุณก็เห็นฉันกินมากขนาดนี้แล้วนี่ ฉันหายดีแล้ว”หลินเป้ยไม่ไปตรวจรักษากับเขา เพราะตอนนี้เธอไม่เพียงแต่ปิดบังเรื่องที่เธอเป็นเพศหญิงเท่านั้น เธอยังปิดบังเรื่องเธอตั้งครรภ์อีกด้วย
ถังหลินมองหน้าเธอ ไม่ได้พูดอะไร
“ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ คุณดูสิ ตอนนี้ยังสบายดีมากเลย?ไม่เป็นไข้ ไม่มีน้ำมูก ยิ่งไม่รู้สึกปวดหัวเลย ตอนนี้ฉันกินข้าวเช้าแล้วรู้สึกมีแรงมาก”หลินเป้ยอยากให้เขาเชื่อ จึงลุกขึ้นมาหมุนหลายรอบ“ฉันไม่เป็นอะไรจริงๆ ไม่ต้องหาหมอหรอก”
ถังหลินเม้มปาก เขารู้ว่าเธอปลอมตัวเป็นผู้ชาย กลัวการไปหาหมอที่โรงพยาบาลที่สุด ทว่าถังหลินรู้สึกว่าที่เธอปฏิเสธตอนนี้ไม่เพียงแต่เหตุผลนี้เท่านั้น
เหมือนเธอกำลังปิดบังอย่างอื่นด้วย!!
เดิมทีจิตใจหลินเป้ยก็กระวนกระวายแล้ว เมื่อถูกเขามองอย่างนี้ก็ยิ่งรู้สึกหัวใจเต้นระรัวมากขึ้น เธอรู้ว่าถังหลินเป็นคนเก่ง เธอกลัวถังหลินจะล่วงรู้จริงๆ เธอรู้ว่าคุยเรื่องนี้ต่อไม่ได้
“ครั้งนี้คุณมาเพื่อสะสางเรื่ององค์กรโกสต์ซิตี้ไม่ใช่เหรอ?ตอนนี้พวกเขาหาเรื่องพวกคุณถึงที่แล้ว คุณยังไม่รู้สึกร้อนใจอีกเหรอ?ยังไม่รีบไปจัดการอีก”หลินเป้ยเปลี่ยนหัวข้อสนทนา อันที่จริงมันก็เป็นความสงสัยของเธอจริงๆ ถังหลินมาเพื่อแก้ไขปัญหาเรื่องที่เกี่ยวกับองค์กรโกสต์ซิตี้แท้ๆ เรื่องนี้เร่งรีบจะตาย ทำไมเขายังไม่ร้อนใจอีก?
ตอนนี้ใกล้สิบโมงแล้ว เขายังเสียเวลากับเธออยู่?
ถังหลินรู้ว่าเธอจงใจเปลี่ยนบทสนทนา ดูเหมือนเธอไม่อยากไปหาหมอจริงๆ และมองจากท่าทางของเธอในตอนนี้ก็รู้สึกไม่เป็นอะไรจริงๆ ถังหลินพึ่งบอกไปว่าไม่บังคับเธออะไรทั้งนั้น ดังนั้นถังหลินจึงไม่ได้ยืนหยัดเรื่องพาเธอไปหาหมอต่อ
ทว่าเมื่อได้ยินเธอพูด ถังหลินก็ยกคิ้วขึ้น เขาโน้มตัวเข้าหากเธออีกครั้ง พร้อมกับยกมุมปากขึ้น ใบหน้าประดับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็พูดทีละคำช้าๆ “เรื่องพวกนั้นไม่สำคัญเท่าคุณหรอก ไม่มีอะไรสำคัญเท่าคุณอยู่แล้ว!!”
การเดินทางมาครั้งนี้ เขาตั้งใจจะมาคลี่คลายปัญหาเรื่ององค์กรโกสต์ซิตี้จริงๆ ทว่าการจีบหาเมียสำคัญกว่าเรื่ององค์กรโกสต์ซิตี้หลายเท่า
เดิมทีหลินเป้ยกำลังชื่นบานกับการเปลี่ยนหัวข้อสนทนาของตน ยังชมกับไหวพริบของตนอยู่ คาดไม่ถึงว่าถังหลินจะเปล่งประโยคนี้ออกมากะทันหัน
ชั่วพริบตานั้น หลินเป้ยอึ้งไปหมด ดวงตาทั้งคู่เบิกโพลง พลางมองถังหลินอย่างตกตะลึง
ตอนนี้ใบหน้าถังหลินเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ประโยคนั้นพูดออกมาได้ลื่นไหลปานนั้น คล้ายกับกำลังหลอกลวงเล็กน้อย ทว่าหลินเป้ยก็ต้องสั่นสะเทือน เธอฟังออกว่าถังหลินไม่ได้พูดคำหวานกับผู้หญิงไปเรื่อยเปื่อย ถึงแม้จะกำลังยิ้ม ถึงแม้ท่าทางไม่ได้ขึงขังจริงจัง
ทว่าไม่รู้เพราะเหตุใด เธอรู้สึกว่าเป็นความในใจ ไม่มีคำไหนเป็นความในใจกว่าคำนี้อีกแล้ว
เวลานี้หัวใจหลินเป้ยเกิดอะไรต่างๆมากมาย เธอมีเพียงคุณแม่ตั้งแต่แบเบาะ ไม่เคยมีคุณพ่ออยู่ข้างกายเลย ตอนนั้นคุณแม่ต้องเสียใจทุกวัน ชอบแอบร้องไห้เป็นประจำ อันที่จริงตอนนั้นคุณแม่ไม่ได้จดจ่อแต่การเลี้ยงดูเธอมากนัก
ต่อมา คุณแม่ให้เธอปลอมตัวเป็นผู้ชายแล้วกลับเข้าไปในราชวัง ตอนนั้นคนในวังไม่ได้ยอมรับเธอจริงๆ พวกเขาดูถูกดูแคลนเธอ รวมทั้งคุณพ่อของเธอด้วย พวกเขาล้วนรังแกเธอ รังเกียจเดียดฉันท์เธอ
ตอนนั้นชีวิตเธอลำบากมาก ส่วนคำที่คุณแม่เธอพร่ำสอนส่วนใหญ่คือ ให้เธอระวังตัวให้ดี อย่าเปิดเผยสถานะ อย่าให้คนอื่นรู้ว่าเธอเป็นผู้หญิง
นับจากตอนนั้น เธอต้องใช้ชีวิตอยู่บนความหวาดระแวง อกสั่นขวัญแขวนทุกๆวัน เธอหวาดกลัวมาก ทว่าเธอไม่กล้าพูด เธอไม่มีที่ระบายความในใจด้วย กระทั่งกับคุณแม่เธอก็พูดไม่ได้
ไม่นานคุณแม่ก็ค่อยๆได้ใช้ชีวิตอย่างที่ต้องการ และห่วงใยเอาใจใส่เธอน้อยลง
เธอเหมือนจอกแหนที่ไร้ราก ไม่รู้ควรไปที่ใด ได้แต่ล่องลอยไปวันๆ ไม่มีใครเป็นห่วงเป็นใยเธอจริงๆ ยิ่งไม่มีคนเห็นความสำคัญของเธอมาก่อน
กระทั่งเจ้าชายใหญ่ที่สนิทกับเธอ ก็เพราะเห็นเธอมีประโยชน์ ไม่งั้นเจ้าชายใหญ่ก็จะไม่เห็นความสำคัญของเฉกเช่นคนอื่น
เธออายุยี่สิบกว่าปีแล้ว แต่ก็ยังไม่เคยมีคนบอกว่าเธอสำคัญมาก ไม่เคยมีคนบอกว่าขาดเธอไม่ได้เลย!!