ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน - บทที่ 1391 ความสามารถของเขา (1)
และในขณะนี้ ถังหลินพาเหยียนหยู และผู้ชายที่เย่ซือเฉินส่งมา ขึ้นไปยังบนรถ แล้วออกจากโรงแรม
ผู้ชายที่เย่ซือเฉินส่งมาเงียบอยู่ตลอดเวลา นอกจากก่อนหน้านี้ที่คุยกับถังหลินก็ไม่เคยพูดแม้แต่คำเดียว
เหยียนหยูนั้นเป็นคนที่เชื่อฟังคำสั่งของคุณชายถังมาโดยตลอด ดังนั้นเหยียนหยูในขณะนี้ก็รักษาความสงบเช่นกัน
ขณะนี้ไม่มีเมิ่งหลินแล้ว บนรถก็เงียบเป็นพิเศษ
เวลาและสถานที่ เมิ่งหลินได้ส่งให้ถังหลินก่อนแล้ว ทางคนขับรถ เมิ่งหลินน่าจะยังไม่ได้บอกคนขับรถ ดังนั้นคนขับรถไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น
“คุณชายถัง พวกเราไปไหนครับ?” คนขับรถยังเป็นคนที่มารับถังหลินเมื่อคืน รู้จักถังหลิน ทว่าเขามีความแปลกใจเล็กน้อยว่าทำไมประธานเมิ่งไม่ได้อยู่กับคุณชายถัง ทว่าคุณชายถังขึ้นรถมาแล้วบอกให้ออกรถ เขาก็ไม่กล้าที่จะไม่ออกรถ
ถังหลินบอกสถานที่ที่เมิ่งหลินส่งให้เขากับคนขับรถ
คนขับรถตะลึงงัน มองถังหลินผ่านกระจกหลัง ลังเลไปสักพัก ก็อดไม่ได้พูดขึ้นว่า “คุณชายครับ ที่คือที่ตั้งขององค์กรโกสต์ซิตี้ครับ”
นี่คือคนขับรถของเมิ่งหลิน ดังนั้นจึงพอรู้ในบางเรื่องราว
ประเทศRวุ่นวายอยู่แล้ว คนขององค์กรโกสต์ซิตี้ยิ่งบ้าคลั่งไปใหญ่ พวกเขาล้วนแต่ทำธุรกิจที่ปกติถูกต้อง ทว่าคนขององค์กรโกสต์ซิตี้นั้นไม่ใช่ พวกเขาแย่งสถานที่มากมายในประเทศR ไม่อนุญาตให้คนนอกเข้าไป ในบางครั้งถึงขั้นคนของพระราชาก็ไม่สามารถเข้าไปได้
“อื้ม ฉันรู้” แน่นอนว่าถังหลินเห็นความกังวลของคนขับรถแล้ว สมแล้วที่เป็นคนของเมิ่งหลิน เหมือนกับเมิ่งหลินเลย
คนขับรถอยากจะพูดอะไรบางอย่างต่อ แต่ว่าเห็นสีหน้าที่เย็นชาของถังหลินในตอนนี้ กับผู้ชายข้างกายของถังหลินที่ดูน่ากลัว สุดท้ายคนขับรถก็กลืนคำพูดที่มาถึงปากลงไป
ไม่ว่ายังไงแล้วเขาก็ไม่ใช่ประธานเมิ่ง เขาก็แค่คนขับรถ เรื่องนี้เขาไม่มีสิทธิ์พูดอยู่แล้ว
แต่ว่าไม่เห็นประธานเมิ่ง ในใจของคนขับรถมีความแปลกใจเล็กน้อย ไม่ค่อยเข้าใจว่าตอนนี้เกิดอะไรขึ้นกันแน่
อาจจะเป็นเพราะว่ามีความในใจ ความเร็วในการขับของคนขับรถจึงมีความช้าเล็กน้อย
“ฉันต้องไปถึงก่อน 11 โมง” ถังหลินพูดเตือนออกเสียง ตอนนี้สิบโมงกว่าแล้ว เหลือเวลาไม่ถึงหนึ่งชั่วโมง ความเร็วของคนขับรถในตอนนี้เกรงว่าจะไปไม่ถึง
“ครับ ผมรู้แล้วครับคุณชายถัง” คนขับรถดึงสติกลับมา รีบเพิ่มความเร็ว เขาไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทว่าประธานเมิ่งนั้นให้ความเคารพกับคุณชายถังเป็นอย่างมาก เกรงใจมากๆ คนขับรถไม่กล้าขัดคำสั่งของคุณชายถัง
จริงๆ แล้วหลังจากที่เมิ่งหลินออกจากโรงแรมก็ได้ส่งคนให้รีบตามมา อยู่ข้างหลังพวกเขา นี่คือประเทศ R เมิ่งหลินรู้ว่าห้ามให้คุณชายถังเกิดอะไรขึ้นในที่นี่เด็ดขาด!!
ภายในโรงแรม หลินเป้ยไม่ได้รีบจากไป ทว่ากลับโทรหาเจ้าชายใหญ่
“หลินเป้ย มีอะไรเหรอ?” เจ้าชายใหญ่ได้รับโทรศัพท์ของหลินเป้ยแล้วมีความแปลกใจเล็กน้อย ไม่ว่ายังไงแล้วเมื่อวานหลินเป้ยก็บอกว่าจะพักผ่อนสักช่วงหนึ่ง
“เจ้าชายใหญ่ ราชวงศ์มีท่าทียังไงกับเรื่องของถังหลิน?” ก่อนหน้านี้หลินเป้ยบอกว่าจะไม่ช่วยถังหลิน เธอเองก็รู้ว่าตัวเองไม่ได้มีอิทธิพลอะไรในราชวงศ์ ทว่าตอนนี้เธอกลับอยากทำอะไรบางอย่าง
หากเธออยากทำจริงๆ ไปทำด้วยความพยายามจริงๆ ที่จริงแล้วก็มีอิทธิพลอยู่บ้าง
“หืม? ทำไมจู่ๆ ถึงถามเรื่องนี้? อ้อ เมื่อคืนนายเป็นคนช่วยถังหลินจัดการ ถังหลินเป็นคนถามเหรอ?” เจ้าชายใหญ่ไม่ได้ตอบคำถามของถังหลินตรงๆ ไม่ใช่ว่าเขาไม่เชื่อใจหลินเป้ย ทว่าปกติแล้วน้อยมากที่หลินเป้ยจะทำอะไรแบบนี้กับคนข้างกายของเขา
ดังนั้น เขาคิดว่าถังหลินน่าจะเป็นคนถาม!!
“เปล่า ถังหลินจะถามคำถามแบบนี้ได้ยังไง ฉันมองออกว่าถังหลินไม่อยากร่วมงานกับราชวงศ์แท้ๆ” หลินเป้ยไม่ได้มีการหยุดชะงักใดๆ คำพูดนี้ดูเป็นธรรมชาติมากๆ จริงๆ แล้วหลินเป้ยก็ไม่ได้พูดโกหก เธอมองออก ถังหลินไม่ได้มีความหมายที่จะพึ่งพาราชวงศ์จริงๆ อย่างน้อยถังหลินก็ไม่มีทางฝากโอกาสในการชนะไว้บนตัวของราชวงศ์ทั้งหมด
“ถังหลินไม่อยากร่วมมือกับพวกเรา?” เจ้าชายใหญ่ได้ยินคำพูดของหลินเป้ยแล้วมีการตอบสนองที่รุนแรงมาก “ตอนนี้เขาต้านกับคารูเข้าแล้ว เขาไม่ร่วมมือกับพวกเราก็ไม่มีทางเอาชนะคารูได้แน่นอน”
คำพูดของเจ้าชายใหญ่ค่อยๆ หยุดไป “ถังหลินคิดอะไรอยู่?”
“ใครจะไปรู้ล่ะ แต่ว่าถังหลินเป็นคนที่เย่อหยิ่ง ไม่อยากร่วมมือกับพวกเราถือเป็นเรื่องธรรมดา อีกอย่าเห็นได้อย่างชัดเจนเลยว่าถังหลินไม่ได้เชื่อใจฉันมาก” คำพูดของหลินเป้ยจริงครึ่งเท็จครึ่ง และเป็นเพราะว่าเช่นนี้ จึงฟังความผิดปกติอะไรไม่ออก
“นายบอกว่าถังหลินไม่เชื่อใจพวกเรา ถังหลินพูดอะไรกับนายใช่ไหม?” อีกทางหนึ่งของโทรศัพท์ เจ้าชายใหญ่เงียบไปสักพัก จากนั้นในน้ำเสียงก็มีความสุขุมเล็กน้อย
“เขาไม่ได้พูดอะไร คนคนนั้นเจ้าเล่ห์ขนาดนี้ จะพูดกับฉันได้ยังไง” ในตอนที่หลินเป้ยพูดประโยคนี้ได้นึกถึงคำพูดก่อนหน้านี้ที่ถังหลินพูดกับเธอ ในใจมีความกลัวเล็กน้อย ทว่ามีโทรศัพท์กั้นอยู่ คุณชายใหญ่มองไม่เห็นแน่นอน
“จริงๆ อย่าว่าแต่ถังหลินที่ไม่เชื่อใจราชวงศ์เลย ฉันเองก็ไม่เชื่อว่าท่าทีของราชวงศ์ในการร่วมงานกันครั้งนี้ พระราชาจะยืนอยู่ฝั่งถังหลินทั้งหมด จะช่วยเหลือถังหลินทั้งหมดเลยเหรอ?” คำพูดนี้ของหลินเป้ยยังคงลื่นไหลเป็นธรรมชาติ แต่กลับมีการลองใจแฝงอยู่
ก่อนหน้านี้เป็นเพราะว่าหลินเป้ยแพ้ท้องหนักมากจึงไม่ได้พูดออกมา ไม่ได้สนใจเรื่องของราชวงศ์ ดังนั้นก่อนหน้านี้เธอจึงไม่รู้เรื่องที่ถังหลินจะมา เธอก็ไม่รู้ด้วยว่าทางราชวงศ์เห็นด้วยกับเรื่องนี้ของถังหลินยังไงบ้าง
หลินเป้ยรู้ว่าเธอถามตอนนี้จะดูกะทันหันเกินไป ดังนั้นจึงห้ามถามตรงเกินไป
เจ้าชายใหญ่ได้ยินคำพูดของหลินเป้ยแล้ว เงียบทันที
หลินเป้ยไม่ได้เร่งเขา รอด้วยความอดทน
“จริงๆแล้วเรื่องนี้ฉันเป็นคนเสนอกับพระราชาเอง ฉันรู้ดีเกี่ยวกับอำนาจและความสามารถของเย่ซือเฉินกับถังหลิน ฉันเชื่อว่าพวกเขาไม่มีทางแพ้ให้กับคนขององค์กรโกสต์ซิตี้แน่นอน อีกอย่างยัยคารูนั่นก็เกินไปจริงๆ พวกเราก็ควรจะให้การสั่งสอนกับเขาหน่อยแล้ว” เจ้าชายใหญ่ไม่ได้มีการปิดบังคับหลินเป้ย เขาเชื่อใจหลินเป้ยจริงๆ
“ดังนั้น จริงๆ แล้วพระราชาไม่ได้ตอบตกลง หรือจริงๆ แล้วพระราชาให้นายมาออกหน้า เขาจะสำรวจดูก่อนค่อยตัดสินใจว่าจะยืนฝั่งใคร?” หลินเป้ยเข้าใจความหมายของเจ้าชายใหญ่ทันที ริมฝีปากของเธอมีรอยยิ้มที่เย็นชาเผยออกมา นี่เป็นนิสัยการทำงานของพระราชาจริงๆ
ดูเหมือนว่า เธอจะมองพระราชาสูงเกินไปแล้ว ตอนแรกเธอคิดว่าในเมื่อต้อนรับถังหลินแล้ว แสดงว่าพระราชาทำการตัดสินใจแล้ว ตัดสินใจแล้วว่าจะอยู่ฝั่งถังหลิน
“ถือว่าประมาณนี้แหละ” เจ้าชายใหญ่ไม่ได้ปิดยังหลินเป้ย “แต่ฉันเชื่อว่า ฉันกับถังหลินจะสามารถคุยเจรจาเรื่องนี้ได้ พอถึงเวลาฉันไปคุยกับพระราชาอีกครั้ง พระราชาต้องเห็นด้วย……”
“เห็นด้วยอะไร? เห็นด้วยที่จะยืนอยู่ฝั่งถังหลิน?” หลินเป้ยพูดแทรกคำพูดของเขาทันที “ถึงแม้ว่าตอนนี้เขาจะเห็นด้วยแล้ว นายสามารถรองรับได้ว่าหลังจากนี้เขาจะไม่เปลี่ยนแปลงเหรอ เขาจะไม่เปลี่ยนใจหันมาช่วยคารูต่อต้านพวกถังหลินเหรอ?”
“ดังนั้นเรื่องนี้ต้องคุยกับถังหลิน ขอแค่เงื่อนไขเจรจากันเรียบร้อยแล้ว น่าจะไม่มีปัญหาอะไร” แน่นอนว่าเจ้าชายใหญ่ฟังออกถึงความหมายของหลินเป้ย น้ำเสียงของเจ้าชายใหญ่ในตอนนี้กลับต่ำลงเล็กน้อย
“เงื่อนไข? เงื่อนไขอะไร?” หลินเป้ยหัวเราะเอย่างเย็นชา “พูดตรงๆ ก็คืออยากจะให้ถังหลินตอบตกลงเงื่อนไขข้อบังคับบางอย่าง ให้ถังหลินยอมตอบตกลงว่าจะให้ประโยชน์แก่ราชวงศ์”
ในที่สุดตอนนี้หลินเป้ยก็เข้าใจความหมายของพระราชาแล้ว พระราชาไม่ได้รับประโยชน์อะไรจากทางคารู ดังนั้นจึงอยากลงมือจากบนตัวของถังหลิน โดยผ่านเรื่องในครั้งนี้!!
เจ้าชายใหญ่เงียบลงอีกครั้ง ครั้งนี้เจ้าชายใหญ่ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรจริงๆ
“พี่ใหญ่ พี่คิดว่าถังหลินโง่ หรือคิดว่าเย่ซือเฉินโง่?” หลินเป้ยหัวเราะอย่างเย็นชาแฝงความประชด คนในราชวงศ์คิดแต่จะเอาเปรียบ ทว่าคนอย่างถังหลินและเย่ซือเฉินสามารถเอาเปรียบได้ง่ายๆ เหรอ
ถึงว่าล่ะถังหลินไปหาคารูก่อนงานเลี้ยงในวันนี้
ตอนนี้หลินเป้ยนับถือในแผนการของถังหลินมากจริงๆ!!
“ฉันรู้ว่าพวกเขาเก่งอยู่แล้ว ดังนั้น ฉันจะไม่พูดถึงเงื่อนไขที่เกินไป แต่ว่า ฉันต้องการให้พวกเขาให้ความร่วมมือ โจมตีคารูอย่างหนักสักครั้ง” เจ้าชายใหญ่ไม่ใช่คนโง่ อีกอย่างไม่ใช่ครั้งแรกแล้วที่เจ้าชายใหญ่ได้ติดต่อกับเย่ซือเฉิน เขารู้ถึงความเก่งของเย่ซือเฉินมากเกินไปแล้ว ถึงแม้ว่าครั้งนี้เย่ซือเฉินไม่ได้มา ทว่าถังหลินก็ไม่น้อยหน้าเช่นกัน!!
หลินเป้ยได้ยินประโยคนี้แล้ว สีหน้ากลับค่อยๆ ดีขึ้น ดูเหมือนว่าเจ้าชายใหญ่ค่อนข้างที่จะรู้ความเหมาะสมอยู่
“แต่ว่า เมื่อกี้นายบอกว่าถังหลินไม่ได้เชื่อใจพวกเราอยู่แล้ว งั้นการร่วมงานต่อจากนี้จะคุยยากหรือเปล่า?!” จริงๆ แล้วเจ้าชายใหญ่ก็ไม่ได้มีความมั่นใจในเรื่องนี้มากสักเท่าไหร่ อีกอย่างเจ้าชายใหญ่ก็ไม่ได้อยากจะใช้เรื่องในครั้งนี้ มาใช้ถังหลินเป็นเครื่องมือในการจัดการคารู
“ความเป็นไปได้ในการร่วมงานด้วยไม่ได้สูง” หลินเป้ยพูดความจริง ตอนนี้ถังหลินไปพบคารูแล้ว หากถังหลินไปจัดการเรื่องให้จบเลย ใครจะยังต้องการความช่วยเหลือจากราชวงศ์อีก!