ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน - บทที่ 1460 กระบวนการยอมรับ(2)
“ไม่ทราบครับ ไม่รู้ว่าผู้ป่วยมาร้องเรียนอะไรหรือเปล่า?” ผู้ช่วยก็ไม่รู้สถานการณ์ที่เกิดขึ้นเช่นกัน“ประธานถัง ผมจะลงไปดูให้ครับ”
ในตอนนี้เอง รถก็ได้แล่นมาถึงที่หน้าทางเข้าของโรงพยาบาลแล้ว แม้ว่าด้านนอกจะมีคนรายล้อมกันอยู่มากมาย แต่ทางที่ติดกับฝั่งถนนคนก็ไม่ได้มีมากเท่าไร ท่ามกลางฝูงชนที่กระจัดกระจาย ตรงกลางของวงล้อม ถังหยุนเฉิงเห็นหญิงสาวอายุราวๆยี่สิบกว่าปีกำลังอุ้มเด็กน้อยและนั่งร้องห่มร้องไห้อยู่บนพื้น
เสียงร้องไห้ที่เศร้าโศกนั้นเป็นเสียงของผู้หญิงคนนี้
เมื่อถังหยุนเฉิงเห็นภาพตรงหน้า ดวงตาก็ไหววูบ “เดี๋ยวฉันจะลงไปดู”
ถังหยุนเฉิงเป็นคนใจอ่อน
คนขับหยุดจอด และเมื่อได้ยินคำพูดของถังหยุนเฉิง ก็รีบลงไปเปิดประตูให้ถังหยุนเฉิง
ถังหยุนเฉิงลงจากรถ แล้วเดินเข้าไปหา ผู้ช่วยเดินตามหลังถังหยุนเฉิงมาติดๆ แต่ถังหยุนเฉิงไม่ได้เดินเข้าไปถามเอง ยืนอยู่ท่ามกลางผู้คน เหมือนกำลังจะลองมองสำรวจดูก่อน
ผู้หญิงคนนั้นร้องไห้เสียใจหนักมาก ดูแล้วเหมือนกับจะเป็นลมล้มพับไปให้ได้ เด็กที่อยู่ในอ้อมแขนของเธอก็คงจะตกใจมาก ส่งเสียงร้องไห้ตามเธอเช่นกัน
“น่าสงสารมาก น่าสงสารจริงๆ”คนที่ล้อมดูอยู่ต่างก็อดสงสารไม่ไหว
“ใช่ น่าสงสารจริงๆ ยังอายุน้อยแบบนี้ และลูกก็ยังเล็กมาก มาเป็นโรคแบบนี้อีก เฮ้อ ไม่รู้จะทำยังไงดี ? ได้ยินมาว่า เด็กคนนี้ไม่มีพ่อ หากเธอตายไป แล้วเด็กจะทำยังไง?”
“เด็กน่าสงสาร ผู้ใหญ่ก็น่าสงสาร ได้ยินว่าวันนี้มาตรวจร่างกาย และพบว่าเป็นมะเร็งระยะสุดท้าย เซลล์มะเร็งได้แพร่กระจายไปทั่วแล้ว ไม่สามารถรักษาให้หายได้ หมอบอกว่าคงเหลือเวลาอีกสองหรือสามเดือนเท่านั้น”
“ดังนั้น ต้องคอยตรวจร่างกายเป็นประจำ หากตรวจอยู่ทุกปี และพบเจอโรคก่อน ก็จะไม่มีจุดจบแบบนี้”
“ใช่ จะคิดว่าอายุยังน้อยและประมาทไม่ได้ ปัจจุบันมีโรคมะเร็งมากมาย บางโรคก็เกิดขึ้นได้ตอนยังเป็นเด็ก ดังนั้นจะคิดว่าอายุยังน้อยจึงยังไม่สนใจไม่ได้ ”
“เธอมานั่งร้องห่มร้องไห้แบบนี้ก็แก้ปัญหาไม่ได้ โรงพยาบาลไม่รับเธอ นั้นก็แสดงว่าอาการเธอหนักมากแล้ว และไม่จำเป็นต้องทำการรักษาอะไรแล้ว ไม่สู้กลับไปแล้วใช้ชีวิตที่เหลืออยู่อย่างสงบสุขจะดีกว่า”
“ไปถามทางโรงพยาบาลสิว่ามันเกิดอะไรขึ้น?”เมื่อถังหยุนเฉิงได้ยินที่ทุกคนต่างพูดคุยกัน ก็พอจะเข้าใจสถานการณ์ได้บ้าง
แต่ว่า รายละเอียดที่แน่ชัดทางโรงพยาบาลน่าจะให้คำตอบได้ดีมากกว่า
ผู้ช่วยเดินเข้าในโรงพยาบาลเพื่อสอบถามเหตุการณ์
ถังหยุนเฉิงยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชน มองไปยังหญิงสาวใบหน้าอ่อนเยาว์ที่อุ้มเด็กน้อยอยู่ เด็กสาวในวัยนี้ กับสถานการณ์แบบนี้ ทำให้ถังหยุนเฉิงคิดถึงฉิงฉิงที่บ้านขึ้นมา
เพราะเป็นโรงพยาบาลของบ้านตัวเอง ผู้ช่วยก็รู้สถานการณ์ในโรงพยาบาลเป็นอย่างดี และคนส่วนใหญ่ในโรงพยาบาลก็รู้จักเขา ดังนั้นผู้ช่วยจึงกลับมาในเวลาอันรวดเร็ว
“ประธานถัง สอบถามมาแล้วครับ คนไข้รายนี้ชื่อซุนหยุน อายุยี่สิบสี่ปี เป็นคุณแม่เลี้ยงเดี่ยว สองวันก่อนมาตรวจร่างกายที่โรงพยาบาล ทราบผลในวันนี้ เธอเป็นมะเร็งกระเพาะอาหารระยะสุดท้าย มะเร็งลุกลามไปทั่ว หมอแจ้งว่าไม่จำเป็นต้องทำการผ่าตัดแล้ว ยังมีเวลาเหลืออีกสามเดือน ดังนั้นหมอจึงแนะนำให้กลับบ้าน”ผู้ช่วยไปสอบถามมาอย่างละเอียด และรายงานอย่างครบถ้วน
ผู้ช่วยเหลือบมองไปยังหญิงสาวที่กำลังนั่งร้องไห้เสียใจอยู่บนพื้น แล้วพูดเสริมอีกคำว่า“เธอคงรับเรื่องสะเทือนใจอย่างกะทันหันนี้ไม่ไหว จึงควบคุมอารมณ์ไม่ได้ ดังนั้นเลยนั่งร้องไห้อยู่ที่นี่หลังจากที่ออกมา ”
“นายลองไปปรึกษาหมอดู ว่าพอมีวิธีอื่นอีกไหม หรือยืดเวลาออกไปได้อีกสักหน่อยก็ยังดี ”เมื่อได้ยินเสียงร้องไห้ของหญิงสาวถังหยุนเฉิงก็รู้สึกเห็นใจ
“เมื่อครู่ผมได้สอบถามมาแล้วครับ ผมได้คุยกับหมอลู่ผู้เชี่ยวชาญด้านมะเร็งด้วย หมอลู่บอกเองว่าไม่มีวิธีอื่น เพราะอาการของเธอแย่มาก และสายเกินไป หากเร็วกว่านี้อีกสักหน่อย ก็อาจจะพอมีหวัง”ผู้ช่วยรู้จักถังหยุนเฉิงดี ดังนั้นตอนที่เขาไปสอบถามเรื่องราว ก็ได้ถามทุกอย่างมาอย่างครบถ้วนแล้วเช่นกัน
“ให้โรงพยาบาลออกหน้ามาจัดการเรื่องนี้หน่อย อย่าปล่อยให้คนมานั่งร้องห่มร้องไห้อยู่ตรงนี้ หากไม่ได้ยังไง ให้พักที่โรงพยาบาลไปก่อนสองสามวัน ช่วยบรรเทาความเจ็บปวดของเธอสักนิดก็ยังดี เรื่องค่าใช้จ่าย……”ถังหยุนเฉิงเหลือบมองไปยังหญิงสาวที่กำลังร้องห่มร้องไห้อยู่ “ค่าใช้จ่ายในการรักษาส่วนไหนที่เลี่ยงได้ก็เลี่ยงซะ”
“ก่อนหน้านี้ผมได้แจ้งกับหมอลู่แล้วครับ ทางโรงพยาบาลน่าจะดำเนินการให้ได้ในทันทีครับ ” ผู้ช่วยอยู่กับถังหยุนเฉิงมานานหลายปี รู้จักนิสัยใจคอของถังหยุนเฉิงดี และคิดการณ์เรื่องทั้งหมดไว้แล้ว ดังนั้นผู้ช่วยจึงได้สั่งการไปหมดแล้ว
“อืม ไปกันเถอะ”ถังหยุนเฉิงพยักหน้า อะไรที่ควรทำเขาก็ทำแล้ว เรื่องแบบนี้ เขาก็ช่วยอะไรไม่ได้จริงๆ
หลังจากที่ขึ้นรถมาได้ คนขับก็ขับรถออกมา แล่นไปยังทางแยกตรงหน้า หลังจากที่คนขับเลี้ยวรถ จู่ๆถังหยุนเฉิงก็พูดขึ้นว่า“ กลับบ้าน ที่คฤหาสน์”
“ประธานถัง ตอนเที่ยงมีนัดกับประธานหลิวนะครับ”ผู้ช่วยตะลึง เขารู้จักถังหยุนเฉิงดี แต่ไม่คิดว่าถังหยุนเฉิงจะขอกลับบ้านในเวลานี้
ทำไมประธานถังต้องเลือกที่จะกลับบ้านในเวลานี้กัน ?
เห็นๆอยู่ว่ามีนัดทานมื้อเที่ยงกับประธานหลิว และมื้อเที่ยงนี้ก็ค่อนข้างที่จะสำคัญมาก
เห็นชัดว่าประธานถังเปลี่ยนแผนการอย่างกะทันหัน หลังจากที่เห็นหญิงสาวผู้ป่วยคนนั้นประธานถังก็จึงได้เปลี่ยนใจกลับไปที่คฤหาสน์
แล้วหญิงสาวผู้ป่วยคนนั้นเกี่ยวอะไรกับคฤหาสน์ด้วย ?
ผู้ช่วยคิดจนหัวจะระเบิดก็คิดไม่ออกว่าเรื่องทั้งหมดมันเกี่ยวข้องกันยังไง
“นายแจ้งประธานหลิวด้วย บอกว่าฉันมีธุระสำคัญ ค่อยนัดกันใหม่อีกที” แม้ถังหยุนเฉิงจะเพิ่งนึกขึ้นได้ แต่ก็เห็นชัดว่าไม่ได้พูดขึ้นลอยๆ ท่าทีก็จริงจังมาก และน้ำเสียงก็ฟังดูค่อนข้างเร่งรีบ
“ครับ”ในเมื่อคนเป็นเจ้านายตัดสินใจแล้ว คนเป็นผู้ช่วยก็ไม่ควรจะพูดมากอะไร
ในเมื่อถังหยุนเฉิงจะกลับไปที่คฤหาสน์ ผู้ช่วยอย่างเขาก็ไม่สะดวกที่จะตามไปด้วย จากนั้นคนขับก็จอดรถลงตรงข้างทาง ผู้ช่วยก็จึงลงจากรถไป
ตอนที่ถังหยุนเฉิงกลับมาถึง คฤหาสน์ตระกูลถังก็กำลังจะทานอาหารกัน
“กลับมาได้ยังไง ? ไหนบอกว่าตอนเที่ยงมีธุระไง ?”เมื่อเฟิ่งเหมียวเหมียวเห็นเขาก็ประหลาดใจมาก แม้ช่วงนี้ถังหยุนเฉิงจะกลับบ้านอยู่บ่อยๆ แต่ก็น้อยครั้งมากที่จะกลับมาตอนเที่ยง และก่อนหน้านี้เฟิ่งเหมียวเหมียวก็เพิ่งจะโทรหา ถังหยุนเฉิงบอกว่าตอนเที่ยงมีนัดทานข้าวแล้ว
“มีอะไรหรือเปล่า?”สิ่งแรกที่เฟิ่งเหมียวเหมียวคิดได้คือเกิดเรื่องอะไรขึ้นหรือเปล่า ?
ช่วงนี้ตระกูลถังมีเรื่องเกิดขึ้นมากมาย!!
“ไม่มีอะไร นัดตอนเที่ยงถูกยกเลิกกะทันหัน ผมเลยกลับมาทานข้าวด้วย”ถังหยุนเฉิงยกยิ้ม ตอบกลับอย่างเป็นธรรมชาติ เพียงแต่ว่า ในตอนที่ถังหยุนเฉิงพูดก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองเวินลั่วฉิงที่กำลังยกกับข้าวออกมา
ที่เวินลั่วฉิงยกมานั้นคือน้ำแกง ดังนั้นเธอจึงไม่ได้สนใจที่จะหันมองถังหยุนเฉิง ทำเพียงทักทายทั่วไปเท่านั้น“คุณน้ากลับมาแล้วเหรอคะ ”
“อืม ใช่”ถังหยุนเฉิงมองไปที่เวินลั่วฉิง พยักหน้าให้โดยไม่รู้ตัว เห็นเพียงเวินลั่วฉิงยกถ้วยน้ำแกงมา ไม่ได้มองมาที่เขา เขาพยักหน้าให้เวินลั่วฉิงก็มองไม่เห็น ดังนั้นถังหยุนเฉิงก็พูดออกเสียงไปสองคำ
เมื่อได้ยินถังหยุนเฉิงตอบกลับมาสองคำ เวินลั่วฉิงก็รู้สึกแปลกใจ เพราะถังหยุนเฉิงในฐานะผู้นำครอบครัว เวลาอยู่บ้านก็มักจะเป็นคนที่เข้มงวด และเป็นคนที่ประหยัดคำพูดมาก ดังนั้นสองคำที่ตอบกลับมานี้จึงไม่ใช่นิสัยของถังหยุนเฉิงที่ชอบทำเป็นประจำ
เวินลั่วฉิงอดไม่ได้ที่จะเงยหน้าขึ้นมองถังหยุนเฉิง แต่ว่า ในตอนนี้ ถังหยุนเฉิงได้หันไปทางเฟิ่งเหมียวเหมียวแล้ว
เวินลั่วฉิงก็ไม่ได้คิดมากอะไร เพราะตั้งแต่ลูกทั้งสองคนได้กลับมาที่ตระกูลถัง คนในตระกูลถังหลายคนก็เปลี่ยนไป ถังหยุนเฉิงเองก็เปลี่ยนไปมากด้วยเช่นกัน
เวินลั่วฉิงไม่ได้คิดมาก แต่ในหัวสมองของเฟิ่งเหมียวเหมียวกลับมีความคิดอื่นผุดขึ้นมากมาย
เธอในฐานะคนร่วมเตียงเคียงหมอนของถังหยุนเฉิง ก็ย่อมต้องเข้าใจถังหยุนเฉิงเป็นที่สุด
เมื่อครู่เธอสังเกตเห็นแววตาที่ถังหยุนเฉิงมองไปยังฉิงฉิงนั้นดูแปลกไป บวกกับปฏิกิริยาของถังหยุนเฉิงเมื่อครู่ ภายในใจของเฟิ่งเหมียวเหมียวก็รู้สึกหนักอึ้ง
หรือมีเรื่องอะไรเกิดขึ้นจริงๆ ?
ดูจากลักษณะท่าทางแล้วเกี่ยวข้องกับฉิงฉิงงั้นเหรอ ?
แต่เมื่อครู่ที่เฟิ่งเหมียวเหมียวถาม ถังหยุนเฉิงไม่ได้ตอบอะไร เฟิ่งเหมียวเหมียวก็จึงไม่สะดวกที่จะถามต่อ
“แกกลับมาได้จังหวะพอดีเลย เรากำลังจะทานมื้อเที่ยง แกกลับมาเพราะได้กลิ่นหอมของอาหารหรือเปล่า ?”ท่านย่าถังเห็นลูกชายกลับมาก็ดีใจเป็นธรรมดา จึงไม่ได้สนใจอะไรมากเท่าไร
ท่านปู่ถังที่นั่งดูหนังสือพิมพ์อยู่บนโซฟาเงยหน้าขึ้นแล้วเหลือบมองถังหยุนเฉิงแวบหนึ่ง แต่ท่านปู่ถังเองก็ไม่ได้พูดอะไร
“คุณปู่”ถังจื่อซีที่รักถังหยุนเฉิงมาแต่ไหนแต่ไร เมื่อเห็นถังหยุนเฉิงมาก็วิ่งกระโจนเข้าหา
ถังหยุนเฉิงรีบย่อตัวลง อ้าแขนอุ้มร่างของถังจื่อซีที่วิ่งเข้ามาหา ถังหยุนเฉิงอุ้มถังจื่อซี และคิดไปถึงหญิงสาวที่อุ้มลูกน้อยและนั่งร้องห่มร้องไห้ที่หน้าประตูของโรงพยาบาลนั้นอีกครั้ง
ถังหยุนเฉิงกอดถังจื่อซี แล้วมองไปที่เวินลั่วฉิงอีกครั้ง สุขภาพของฉิงฉิงนั้นดีมาตลอด แต่ก็จะประมาทไม่ได้ เหมือนคนที่หน้าโรงพยาบาลคนนั้นพูด เห็นอายุยังน้อยก็จึงปล่อยปละละเลยไม่รู้ว่าช่วงหลายปีมานี้ฉิงฉิงได้ตรวจสุขภาพเป็นประจำหรือเปล่า ?
หลายปีมานี้ฉิงฉิงย้ายถิ่นฐานไปเรื่อยๆ และพ่วงลูกน้อยอีกสองคน คงลำบากไม่น้อย เวลาปกติก็คงจะยุ่งมาก เกรงว่าคงไม่มีเวลาไปตรวจร่างกาย ดังนั้น เขาจะต้องให้ฉิงฉิงไปตรวจสุขภาพอย่างละเอียดสักหน่อย!!