ทดลองรัก ชีวิตแต่งงาน100วัน - บทที่ 1635 รับลูกสองคนกลับไป
เวินลั่วฉิงพูดอย่างใจเย็นว่า: จื่อซี จื่อโม่ ลูกสองคนวางสายทิ้ง เราวิดีโอคอลคุยกัน
ถังจื่อโม่ตอบว่าโอเค จากนั้นมู่เฉิงก็ได้วางสายทิ้ง เขาไม่มีเบอร์ของเวินลั่วฉิง ถังจื่อโม่เป็นคนหยิบมือถือออกมาวิดีโอคอลหาเวินลั่วฉิงเอง ทางนั้นรับสายไวมาก ถังจื่อโม่แวบแรกก็เห็นสีหน้าแววตาร้อนรนใจของเวินลั่วฉิง รู้สึกแถมเบ้าตายังแดงก่ำเล็กน้อยด้วย
ถังจื่อโม่รู้สึกเสียใจ เห็นๆอยู่ว่าบอกเวินลั่วฉิงตั้งแต่แรกก็ดีแล้ว ทำไมต้องงอนใส่มู่เฉิงด้วย?ถังจื่อโม่สามารถนึกภาพได้ว่าเวินลั่วฉิงเป็นห่วงมากแค่ไหน เขาถึงได้รู้สึกยิ่งทรมานและละอายใจ
ถังจื่อโม่มาเสียใจ เรื่องที่เขากับน้องสาวอยู่กับมู่เฉิง น่าจะเป็นฝ่ายบอกกับหม่ามี๊เอง แต่ไม่ใช่ให้หม่ามีรู้เอง เพราะอยู่ในสายตาของเวินลั่วฉิงคือเขาไปหาคุณปู่ท่านนึง จู่ๆอยู่กับชายแปลกหน้าคนนึง หม่ามี๊จะไม่เป็นห่วงได้ยังไรล่ะ?อีกอย่างฟังบทสนทนาของพวกเขาแล้ว ถึงแม้ระหว่างทั้งสองไม่ได้มีความขัดแย้งกัน แต่ก็ไม่ได้เข้ากันได้ดีมาก ไม่ค่อยมีความเชื่อใจ เขาจงใจก่อให้เกิดการเข้าใจผิดได้ยังไง?
ถังจื่อโม่ไม่สบายใจ เสียงที่พูดจาฟังดูเศร้า: หม่ามี๊ พวกผมไม่เป็นไรครับ ถังจื่อโม่ถือโทรศัพท์ไว้ แล้วพูดกับเวินลั่วฉิง
ถังจื่อซีก็พูดอยู่ข้างๆเช่นกัน: หม่ามี๊ หนูกับพี่ชายออกมาเที่ยวกับคุณอามู่เฉิงค่ะ
เวินลั่วฉิงสบายใจขึ้นในพริบตา แต่ยังคงมองพวกเขาอย่างเงียบๆ เมื่อครู่ตัวเองก็กระต่ายตื่นตูมเกินไป เห็นได้ชัดว่าคำพูดของมู่เฉิงมีความหมายลึกซึ้งแอบแฝง ตอนนี้ดูท่า คือไม่ได้เจาะจงมาที่ตัวเอง แต่เป็นเพราะถังจื่อซีกับถังจื่อโม่ได้ทำอะไรลงไป มู่เฉิงกำลังขู่พวกเขาจากทางอ้อม
แต่มู่เฉิงลืมไปว่า ในฐานะที่ตัวเองเป็นแม่คนนึง จะทนเห็นลูกตัวเองได้รับบาดเจ็บได้อย่างไร?
ถังจื่อโม่กลัวว่าเวินลั่วฉิงจะไม่เชื่อ ได้ชูมือถือขึ้นมาสับเปลี่ยนมุมกล้อง ถ่ายรอบด้านรอบนึง ที่นี่ยังถือเป็นตัวเมือง ผู้คนพลุกพล่านไปมาเยอะมาก พวกเขาปรากฎตัวอยู่ที่นี่ ก็ย่อมไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว
เวินลั่วฉิงมองถังจื่อซีกับถังจื่อโม่ คิดอยู่ในใจว่าที่แท้ตัวเองทำหน้าที่ขาดตกบกพร่องขนาดนี้เลยเหรอ?ถังจื่อซีกับถังจื่อโม่ไปหาคนแปลกหน้า เธอไม่ได้เป็นห่วงเกินไป ไม่ได้ถามเซ้าซี้อะไร แม้กระทั่งสถานะของผู้ชายคนนั้นก็ยังไม่รู้เลย
ตอนนี้ ถังจื่อซีกับถังจื่อโม่ได้รู้จักกับมู่เฉิง หัวหน้าน้อยขององค์กรโกสต์ซิตี้ คนที่พิเศษอย่างนี้ เธอไม่เพียงไม่รู้ แม้กระทั่งถามก็ยังไม่เคยถามเลย ตัวเองที่ผู้เป็นแม่คนนี้เกินไปหรือเปล่า?
ที่ผ่านมาเวินลั่วฉิงเชื่อใจถังจื่อซีกับถังจื่อโม่มาโดยตลอด พวกเขารอบคอบและระมัดระวังมาโดยตลอด อีกอย่างเธอยังได้สอนวิธีป้องกันตัวให้กับพวกเขา เพียงแต่จู่ๆพบว่าขาดความเข้าใจชีวิตของถังจื่อซีกับถังจื่อโม่ แม้กระทั่งเรื่องมากมายที่คิดก็ยังคิดไม่ถึงเลย อย่างเช่น ถังจื่อซีกับถังจื่อโม่จะรู้จักหัวหน้าน้อย อย่างเช่น……คุณปู่ที่พวกเขาไปหาคนนั้นคือสถานะอะไรกันแน่ เป็นคนขององค์กรโกสต์ซิตี้หรือเปล่า?เวินลั่วฉิงไม่อยากหวาดระแวง แต่เรื่องมันดันบังเอิญขนาดนี้ เดินไปสู่จุดสิ้นสุดเดียวกันทีละนิดๆ
เวินลั่วฉิงไม่ได้พูดจา ถังจื่อโม่จึงนึกว่าเวินลั่วฉิงยังโกรธอยู่ เขาได้พูดอย่างขี้ขลาดตาขาว: หม่ามี๊ พวกผมไม่ได้ตั้งใจครับ คุณอามู่เฉิงก็ไม่ได้ตั้งใจเหมือนกัน ที่จริงตอนเริ่มแรกที่โทรศัพท์ คือเพราะผมกับน้องอยากหาหม่ามี๊ แต่อามู่เฉิงยังไม่ได้เปิดปากพูด หม่ามี๊ก็เป็นคนพูดก่อนเลยว่าจะมาเจอหน้าอามู่เฉิง ผมกับน้องแค่อยากดูว่าหม่ามี๊กับคุณอามู่เฉิงรู้จักกันยังไง เกิดอะไรขึ้น ก็เลยไม่ได้เปิดปากพูดสักทีครับ เป็นเพราะพวกผมยั่วโมโหอามู่เฉิง อามู่เฉิงโกรธนิดหน่อย ถึงได้พูดจาแบบนี้กับหม่ามี๊ครับ พวกผมไม่ได้อยากทำหม่ามี๊ตกใจจริงๆนะครับ พวกผมก็คิดไม่ถึงเหมือนกันว่าหม่ามี๊จะคิดแบบนี้ ขอโทษครับ ถังจื่อโม่พูดอย่างจริงจังมาก เสียงของเขาทุ้มต่ำ อารมณ์เศร้าหมอง
ส่วนถังจื่อซีก็ไม่กล้าพูดจา แค่ยืนมองเวินลั่วฉิงอยู่ข้างๆตลอด ดวงตาพร่ามัว เวินลั่วฉิงค่อนข้างทนดูไม่ได้ เธอเป็นห่วงเกินไปจริงๆ ตั้งนานแล้วลูกสองคนก็ยังไม่ได้กลับมาเลย จู่ๆได้ยินว่าอยู่กับหัวหน้าน้อยขององค์กรโกสต์ซิตี้เธอจะวางใจได้อย่างไร?ยิ่งไปกว่านั้น ความสัมพันธ์ของเธอกับองค์กรโกสต์ซิตี้ไม่ถือว่าเป็นมิตร ถ้าเพราะตัวเองแล้วทำให้เรื่องไม่ดีเกิดขึ้นที่บนตัวถังจื่อซีกับถังจื่อโม่ ชาตินี้เวินลั่วฉิงไม่มีวันให้อภัยตัวเอง
เวินลั่วฉิงคิดๆแล้วได้พูดอย่างเรียบเฉยว่า: ครั้งนี้ก็แล้วไป คราวหน้าห้ามทำหม่ามี๊ตกใจแบบนี้อีก เดิมทีเธออยากสั่งสอนถังจื่อซีกับถังจื่อโม่สักหน่อย ให้พวกเขาได้รู้ว่า ไม่ว่าเวลาไหนก็ห้ามเอาความปลอดภัยของตัวเองมาล้อเล่น แต่มู่เฉิงฟังอยู่ข้างๆ เธอไม่อยากให้ลูกทั้งสองอึดอัดใจ เลยไม่ได้พูดจาแรง แค่พูดอย่างเรียบเฉย ใช้น้ำสียงที่ไม่แฝงด้วยอารมณ์เกินไป อยู่ในใจถังจื่อซีกับถังจื่อโม่แรงมากกว่าเวินลั่วฉิงด่าว่าพวกเขาชุดใหญ่เสียอีก ทั้งสองคนพยักหน้าอย่างแรง แล้วพูดพร้อมเพรียงกัน: หม่ามี๊ พวกเราไม่กล้าทำอีกแล้วครับ
เวินลั่วฉิงพยักหน้า เธอมองถังจื่อซีกับถังจื่อโม่แล้วพูดว่า: ตอนนี้ลูกสองคนอยู่ที่ไหน?หม่ามี๊ไปรับลูกสองคนกลับมา
ถังจื่อซีกับถังจื่อโม่คิดไม่ถึงเลยว่าจะเป็นผลลัพธ์แบบนี้ แต่เมื่อกี๊เพิ่งทำเรื่องผิดไป จึงไม่กล้าโต้แย้งเลยสักนิด พวกเขาเงียบกริบไม่พูดจา
เวินลั่วฉิงดูออกว่าตอนนี้ถังจื่อซีกับถังจื่อโม่ยังไม่อยากจากไป เธอมองถังจื่อซีกับถังจื่อโม่ด้วยความโกรธ ทางโน้นมีอะไรที่ดึงดูดพวกเขากันแน่?ถึงขั้นทำให้พวกเขาไม่ยอมกลับไปเลย?
ถังจื่อโม่เม้มปาก เขารู้ดีว่าตอนนี้จะยั่วโมโหหม่ามี๊ไม่ได้เด็ดขาด เรื่องของเมื่อครู่ เดิมทีเวินลั่วฉิงก็โกรธมากอยู่แล้ว พวกเขาไม่ตอบมีแต่จะเติมเชื้อเพลิงลงในกองไฟ ได้แต่ประนีประนอมในชั่วคราว
หม่ามี๊……พวกผมอยู่…… ถังจื่อโม่กำลังอยากจะพูด จู่ๆได้ถูกมู่เฉิงขัดจังหวะ เขาได้ถามว่า: อาคุยกับหม่ามี๊ของพวกหนูหน่อยได้มั้ย?
ถังจื่อโม่อยากยื่นมือถือไปโดยตรงจังเลย แต่ตอนนี้เขาไม่กล้า เขาได้แต่มองเวินลั่วฉิงด้วยแววตาสอบถาม
เวินลั่วฉิงยิ้มหยัน เมื่อกี๊เพิ่งจะ ข่มขู่ เธอไป ตอนนี้คือมีอะไรจะปรึกษาหารือกันงั้นเหรอ?
แต่เธอก็จะต้องรู้ให้ชัดเจนว่าทำไมถังจื่อซีกับถังจื่อโม่ถึงไปอยู่กับมู่เฉิงได้ จึงได้พยักหน้า
ถังจื่อโม่ได้ยื่นมือถือให้
มู่เฉิงรับโทรศัพท์มา แล้วยิ้มให้กับเวินลั่วฉิงที่อยู่บนหน้าจอ: คุณถัง คุณฟังผมพูดสักสองสามคำได้มั้ย? ภายนอกมู่เฉิงดูสงบมาก ในใจก็สงบมากเหมือนกัน เขารู้ดีว่าตัวเองไม่สามารถให้ถังจื่อซีกับถังจื่อโม่จากไปโดยตรง วันนี้ตัวเองพาถังจื่อซีกับถังจื่อโม่ออกมา ขากลับถ้ากล้ากลับไปตัวคนเดียว จะต้องถูกด่าแน่
มู่เฉิงไม่กลัวถูกด่า แต่เขากลัวจะเห็นสีหน้าแววตาที่ผิดหวังของซ่างกวนหง หลายวันมานี้เขาเห็นได้อย่างชัดเจนว่าถังจื่อซีกับถังจื่อโม่นำพาความสุขมาให้ซ่างกวนหงเยอะมาก แม้กระทั่งหลายปีมานี้ นี่เป็นช่วงเวลาที่ซ่างกวนหงอารมณ์เบิกบานที่สุด ราวกับว่าสถานะของซ่างกวนหงในตอนนี้ไม่ใช่หัวหน้าขององค์กรโกสต์ซิตี้ เป็นแค่ชายวัยกลางคนๆนึงเท่านั้น เหมือนคนที่มีฐานะเป็นคุณปู่ในของในบ้าน หลานสาวหลานชายอยู่ในโอวาท ตัวเองมีความสุขมาก ดูพวกเขาหยอกเล่นกัน มู่เฉิงก็อาลัยอาวรณ์ความอบอุ่นแบบนี้เหมือนกัน
มู่เฉิงรู้ว่าซ่างกวนหงเหงาเกินไป รู้ตั้งแต่ตอนที่ยังเด็กมาก ทุกคนต่างก็นึกว่าหัวหน้าขององค์กรโกสต์ซิตี้เป็นคนเงียบสงบและอ่อนโยนแต่มู่เฉิงรู้ว่าในใจเขาอ้างว้างมาโดยตลอด บนโลกใบนี้ไม่มีคนที่มีสายเลือดเดียวกันที่แท้จริงกับเขา เขาสูญเสียรักแท้ไป สูญเสียพี่น้องไป ถึงแม้ผู้ดูแลจ้งสนิทสนมกับเขาเหมือนพี่น้อง แต่ความรักของเขา กลับไม่มีคนมาชดเชย ไม่มีคนสามารถปลอบโยนเขา สามารถนำพาความสุขที่แท้จริงให้กับเขา เพราะฉะนั้นมู่เฉิงในวัยเด็กจึงก่อกวนมาก แกล้งเอาอกเอาใจให้ซ่างกวนหงมีความสุข ตอนที่มู่เฉิงขี้อ้อน ตอนที่มู่เฉิงเล่น ซ่างกวนหงล้วนคอยดูอยู่ข้างๆ ซ่างกวนหงในตอนนั้นจะเผยรอยยิ้มออกมาอย่างกับพ่อคนนึง เฝ้ารอการเติบโตของตัวเอง
มู่เฉิงชอบซ่างกวนหงมาก ความสัมพันธ์ของพวกเขา ไม่ใช่แค่พ่อลูกบุญธรรมที่จะสามารถบรรยายได้ตั้งนานแล้ว มู่เฉิงรู้ดีว่าซ่างกวนหงได้ทุ่มเทแรงกายแรงใจทั้งหมดให้กับเขา มู่เฉิงก็พยายามกลายเป็นคนที่ทำให้ซ่างกวนหงภาคภูมิใจเหมือนกัน พวกเขาก็เหมือนกับพ่อลูกที่แท้จริง
พอค่อยๆโตขึ้น มู่เฉิงยิ่งอยู่ยิ่งเข้าใจว่าความเดียวดายของซ่างกวนหง ไม่ใช่แค่เพราะทุกคนต่างก็เดียวดายกันหมด เป็นเพราะเขาสูญเสียทุกอย่างที่เคยครอบครองด้วย ความเจ็บปวดที่ได้แล้วสูญเสียไป ปีแล้วปีเล่า วันแล้ววันเล่า คอยกัดเซาะจิตใจของเขาทุกวินาที ภายนอกเขาดูอ่อนโยน แต่ในใจกลับอ้างว้าง ความรักบางอย่างไม่ใช่ว่าพยายามก็จะสามารถชดเชยได้ ถ้าไม่เคยได้ครอบครอง มู่เฉิงเชื่อว่ามีเขาอยู่ ซ่างกวนหงจะไม่เดียวดายขนาดนี้ แต่เพราะอดีตเคยได้มาโดยที่ไม่ต้องออกแรง ตอนนี้หัวใจของซ่างกวนหงถึงไม่สามารถชดเชยได้ อย่างน้อย เป็นสิ่งที่มู่เฉิงไม่สามารถชดเชยได้ เขารู้ดีและไม่ได้ฝืน
มู่เฉิงเคยคิดว่าทั้งชีวิตนี้ก็เป็นแบบนี้แหละ ซ่างกวนหงจะเฝ้าหัวใจที่อ้างว้างแก่ชราไปเรื่อยๆ แต่พวกเขาได้ข่าวของเจ้าหญิง ถึงจะเป็นข่าวปลอมก็ตาม ซ่างกวนหงราวกับได้มีชีวิตกลับคืนมา ในที่สุดโลกใบนี้ก็มีคนที่เกี่ยวก้องอย่างแท้จริงกับเขาสักที