ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END 恶役少爷不想要破灭结局 - ตอนที่ 107 หนังสือเหล่านั้นควรจะถูกฉีกไปได้แล้ว
- Home
- ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END 恶役少爷不想要破灭结局
- ตอนที่ 107 หนังสือเหล่านั้นควรจะถูกฉีกไปได้แล้ว
บทที่ 107: หนังสือเหล่านั้นควรจะถูกฉีกไปได้แล้ว
ในห้องสมุดอันคุ้นเคย โรเอลมองไปที่ชั้นหนังสือที่เต็มไปด้วยบันทึก ก่อนจะหยิบบันทึกเล่มหนึ่งออกมา หนังสือเหล่านี้ล้วนเป็นหนังสือโบราณที่มีประวัติศาสตร์อันยาวนานกว่าศตวรรษบันทึกอยู่ภายใน และเป็นการแสดงให้เห็นถึงค่าใช้จ่ายที่พอนเต้ต้องสูญเสียเพื่อใช้พลังของเขา
ก่อนหน้านี้โรเอลคิดที่จะเผาพวกมันทันทีที่สบโอกาส แต่ตอนนี้เขากลับรู้สึกนึกถึงความหลังเมื่อมองไปที่พวกมัน
การเดินทางย้อนเวลากลับสู่อดีตในประวัติศาสตร์ของเขาใช้เวลาเพียงแค่สามวันสั้น ๆ แต่กลับสร้างความประทับใจอันลึกซึ้งให้เขามากมาย ทำให้เด็กชายไม่ได้คิดจะเผาบันทึกอันน่าอับอายเหล่านี้ทิ้งอีก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อเขาได้รู้ถึงความจริงเบื้องหลังของพวกมัน
“เธอบอกว่าอยากคุยกับฉันเกี่ยวกับบรรพบุรุษของเราสินะ มีเรื่องอะไรงั้นเหรอ?”
โรเอลถามอย่างฟุ้งซ่านเล็กน้อย พลางพลิกดูหน้าบันทึกที่อาจจะสามารถใช้เป็นหลักฐานในการจับกุมคนโรคจิตวิตถารได้ในคดีทางอาญา
“อย่างที่เจ้าทราบดี ข้าเพิ่งปลุกพลังสายเลือดขึ้นมาได้ เป็นระดับเงิน ดังนั้นข้าจึงต้องรักษาสภาพเอาไว้ให้คงที่ตลอดช่วงสองสามวันที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามระหว่างที่ข้ากำลังปรับสภาพร่างกายอยู่ ข้าก็ได้อ่านบันทึกต่าง ๆ ในเวลาว่างและค้นพบความลับบางส่วนที่ซ่อนอยู่ในประวัติศาสตร์”
“งั้นเหรอ? แล้วความลับที่ว่าคืออะไร?”
“มีมากมายเลยล่ะ… อันที่จริง ข้าเป็นทายาทขององค์ชายเวต”
“เข้าใจแล้… เดี๋ยวนะ เมื่อกี้เธอพูดว่าอะไรนะ?”
โรเอลดูบันทึกของพอนเต้อย่างสงบ ทว่าเมื่อคำพูดของนอร่าจมดิ่งลงไป เขาหลุดปากออกมาด้วยความประหลาดใจ จ้องมองเธอไปที่เธออย่างตกตะลึง กลับกันแล้ว นอร่าไม่ได้มีท่าทางแปลกใจกับปฏิกิริยาของโรเอลเท่าไหร่นัก เธอพยักหน้าด้วยรอยยิ้มขมขื่นเล็กน้อยก่อนจะพูดต่อไป
“เจ้าไม่ได้ฟังผิดไปหรอก ข้า ไม่สิ ถ้าให้แม่นยำกว่านั้นล่ะก็ เชื้อสายราชวงศ์ทั้งหมดในปัจจุบันของ จักรวรรดิเซนต์เมซิท ล้วนสืบเชื้อสายมาจากเวต เซไซต์”
“เกิดอะไรขึ้นกัน? เขาไม่ได้พ่ายแพ้พระสังฆราชไรอันในประวัติศาสตร์ความเป็นจริงของโลกนี้งั้นเหรอ?”
“เขาพ่ายแพ้ แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะตาย”
นอร่าถอนหายใจออกมายาว ๆ ก่อนที่จะเริ่มเปิดเผยความลับสุดยอดอย่างหนึ่งที่ราชวงศ์เก็บเงียบเอาไว้อย่างแน่นหนาให้โรเอลฟัง
ราว ๆ ร้อยปีที่แล้ว ในช่วงสุดท้ายของเหตุการณ์ การเดินขบวนแห่งความวุ่นวายของโลกนี้ แม้ว่าเวตจะมีกองกำลังและอิทธิพลมากมายมหาศาลที่เขาสั่งสมมา แต่องค์ชายก็ไม่สามารถหาวิกตอเรียได้จนถึงท้ายที่สุด การประลองครั้งสุดท้ายอันเข้มข้นที่โรเอลและนอร่าได้เห็นนั้น ไม่เคยได้เกิดขึ้นด้วยซ้ำ และเวตก็ไม่สามารถก้าวข้ามขึ้นไปสู่ระดับแก่นแท้ 2 ได้ด้วยเช่นกัน เป็นผลให้เขาพ่ายแพ้ลงอย่างง่ายดายเมื่อพระสังฆราชไรอันเดินทางกลับมาจากจักรวรรดิออสทีน
ความโกลาหลในเมืองหลวงศักดิ์สิทธิ์ลอเรนได้สงบลงอย่างรวดเร็ว และเวตก็ถูกพิจารณาคดี ทว่าตรงกันข้ามกับข่าวลือที่บอกว่าเขาถูกลอบสังหาร ในความเป็นจริงนั้นเวตได้ถูกตัดสินจำคุกตลอดชีวิต
มีเหตุผลสามประการ ที่ทำให้การพิจารณาจบลงเช่นนี้
ประการแรก ทัศนคติของพระสังฆราชไรอันที่มีต่อการเดินขบวนแห่งความวุ่นวาย นั้นได้ผ่อนปรนโทษของเวตลง
ในประวัติศาสตร์ของราชวงศ์เซไซต์ พระสังฆราชไรอันเป็นที่รู้จักกันในนามของจักรพรรดิผู้อ่อนแอในการต่อสู้กับบุคคลภายนอก อย่างไรก็ตามเขาได้ยืนหยัดอย่างแน่วแน่ เพื่อปกป้องผลประโยชน์ของประชาชนอยู่เสมอ ๆ
แต่ถ้าหากพูดถึงการจัดการเรื่องภายในแล้วล่ะก็ เขามักจะให้อภัยราชวงศ์และผู้สูงศักดิ์ เขาเป็นคนประเภทที่มักจะสะดุดล้มเมื่อต้องรับมือกับคนของเขาเอง เห็นได้ชัดจากการที่ไรอันยอมจำนนให้แก่ความต้องการของเหล่าขุนนางและนักบวช โดยยอมส่งพระราชินีแมรี่ออกไปชั่วคราว รอโอกาสที่จะนำตัวเธอกลับมาอีกครั้ง แทนที่จะเสี่ยงรับกับความขัดแย้งภายใน
อย่างไรก็ตาม ความพ่ายแพ้ที่ไรอันต้องเผชิญระหว่างทางทำให้เขาแข็งแกร่งขึ้น เขาเคยสูญเสียภรรยาไปแล้วเนื่องจากความอ่อนแอของเขา และเขาจะไม่ยอมสูญเสียเวตไปด้วยอีกคน ดังนั้นพระสังฆราชจึงลุกขึ้นต่อต้านขุนนางผู้ไม่เห็นด้วยทุกคนเป็นครั้งแรก ไรอันแย้งว่าเป็นเพราะพวกขุนนางที่ยืนกรานที่จะขับไล่พระมเหสีแมรี่ออกไปเนื่องจากอคติของพวกเขา ทำให้เกิดความขัดแย้งครั้งใหญ่ในตระกูลเซไซต์ พร้อมขู่ว่าจะไล่ตามสืบสวนเรื่องนี้ หากพวกขุนนางคิดจะบังคับเขาอีก
ประการที่สอง ท่าทีของวิกตอเรียที่ได้ออกมาคัดค้านคำตัดสินโทษประหารของเวต
หลังจากเหตุการณ์การเดินขบวนแห่งความวุ่นวาย วิกตอเรียได้กลายมาเป็นตัวแทนของกลุ่มอนุรักษ์นิยม โดยได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่จากพอนเต้ และตระกูลแอสคาร์ด ทำให้ไม่มีใครในกลุ่มอนุรักษ์นิยมกล้าที่จะท้าทายอำนาจของเธอ องค์หญิงไม่สามารถทำใจปล่อยให้ใครมาพรากชีวิตของน้องชายไปอีกแล้ว ดังนั้นฝ่ายอนุรักษ์นิยมจึงทำได้เพียงแค่ต้องน้อมรับประสงค์ของผู้นำ ได้แต่เก็บความไม่พอใจไว้ในใจ
ประการที่สาม ผลประโยชน์ของห้าตระกูลชั้นสูงเองก็สอดคล้องต่อการผ่อนปรนโทษของเวตด้วยเช่นกัน
ย้อนกลับไปในยุคนั้น นอกจากตระกูลแอสคาร์ด และ ตระกูลดยุกลูซีนที่ตั้งตนเป็นกลางแล้ว ตระกูลขุนนางที่มีชื่อเสียงอีกสามตระกูล ต่างก็เลือกที่จะเข้าสนับสนุนเวตในการทำปฏิวัติ
การสำเร็จโทษผู้บงการย่อมเป็นตัวกำหนดการลงโทษของเหล่าผู้สมรู้ร่วมคิดด้วยเช่นกัน เพื่อประโยชน์สูงสุดของเหล่าขุนนาง เวตจึงได้รับการผ่อนปรนโทษไม่ให้รุนแรงจนเกินไป
ทันทีที่พวกเขารู้ว่าตระกูลเซไซต์ วางแผนที่จะผ่อนปรนโทษของเวต พวกเขาจึงได้ทำทุกวิถีทางเพื่อที่จะสนับสนุนการตัดสินใจนั้น
ด้วยปัจจัยทั้งสามนี้ บทลงโทษของเวตจึงลดลงเหลือเพียงแค่โทษจำคุกตลอดชีวิต อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีข้อโต้เถียงในคำตัดสินของศาล ตระกูลเซไซต์และตระกูลขุนนางอื่น ๆ จึงได้แจ้งข่าวออกไปว่า เวตนั้นได้ถูกประหารชีวิตไปแล้วอย่างลับ ๆ
“ฉันพอจะเข้าใจเรื่องที่พวกเขาไว้ชีวิตเวตหลังจากเหตุการณ์การเดินขบวนแห่งความวุ่นวายได้นะ แต่ฉันก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดีว่าทำไมเธอถึงเป็นทายาทของเวต แล้วลูกหลานของวิกตอเรียล่ะ? พวกเขาน่าจะเป็นทายาทโดยชอบธรรมของบัลลังก์ไม่ใช่หรือ?”
“ตามที่บันทึกเอาไว้ในประวัติศาสตร์ จักรพรรดินีวิกตอเรียอาจจะได้แต่งงานไปแล้วก็จริง แต่ความเป็นจริง มันเป็นเพียงแค่การแต่งงานปลอม ๆ วิลเลียม สามีในนามของเธอ แท้จริงแล้วเป็นเพียงหนึ่งในพ่อบ้านคนสนิทของเธอ”
“หา? เรื่องแบบนั้นเป็นไปได้ด้วยเหรอ?”
โรเอลตกใจกับคำพูดของนอร่า เขาคิดมาตลอดว่าราชวงศ์นั้นเต็มไปด้วยบุคคลชั้นยอดผู้สง่าผ่าเผย ทว่าในความเป็นจริง พวกเขากลับเล่นกลอุบายต่าง ๆ เช่นนี้…
นอร่าพอจะเข้าใจความประหลาดใจของโรเอลดี เธอตกใจยิ่งกว่าเขาเสียอีกในตอนที่ได้รู้เรื่องนี้เป็นครั้งแรก
“เดี๋ยวก่อนนะ มันเป็นไปได้ไหมที่จักรพรรดินีวิกตอเรียแกล้งแต่งงานปลอม ๆ เพื่อ…”
“ใช่แล้ว เหตุผลแรก ก็คือเธอจำเป็นจะต้องมีคู่ครอง เพื่อที่จะได้เอาลูกหลานของเวตมาเป็นของตนเองโดยชอบด้วยกฎหมาย และเลี้ยงดูพวกเขาให้เป็นผู้สืบทอดบัลลังก์ ส่วนอีกเหตุผลหนึ่งเป็นเพราะ พอนเต้”
โรเอลเข้าใจการตัดสินใจของวิกตอเรียได้เป็นอย่างดี วัฒนธรรมของจักรวรรดิเซนต์เมซิทในสมัยนั้น ค่อนข้างอนุรักษ์นิยมมากกว่าในปัจจุบัน มันคงจะเป็นเรื่องอื้อฉาวครั้งใหญ่ หากมีใครรู้ว่าจักรพรรดินีแห่ง จักรวรรดิเซนต์เมซิท ล่วงประเวณีกับขุนนางที่แต่งงานแล้ว เกียรติยศของราชวงศ์จะต้องถูกดูถูกเหยียดหยาม อีกทั้งยังเสี่ยงที่จะเปลี่ยนขุนนางหญิงทั้งหมดให้ลุกฮือขึ้นมาต่อต้านเธอ
ขุนนางที่นอกใจภรรยามักกลายเป็นบาดแผลอันเจ็บปวดสำหรับสตรีชนชั้นสูง ดังนั้นนี่จึงเป็นปัญหาที่พวกเขาต่างก็รู้สึกหนักใจ
นี่อาจเป็นเหตุผลหลักที่พอนเต้เลือกที่จะปฏิเสธวิกตอเรีย หลังจากได้พิจารณาอย่างถี่ถ้วนแล้ว จอมเวทคงไม่อยากให้วิกตอเรียต้องมาลำบากเพื่อเขา
แน่นอนว่าพอนเต้ไม่รู้เลยว่า ความรู้สึกของวิกตอเรียที่มีต่อเขา ไม่ใช่แค่ระดับของความหลงใหลในระยะสั้นเท่านั้น เธอรักเขาอย่างแท้จริงและต้องการที่จะอยู่กับเขา ไม่ว่าจะต้องรอนานแค่ไหนก็ตาม
ดังนั้น วิกตอเรียจึงวางแผนในระยะยาวแทน ด้วยการรับเอาลูกหลานของเวต มาปิดปากผู้สนับสนุนของเธอที่ร้องเรียนอย่างต่อเนื่องเกี่ยวกับการขาดผู้สืบทอด ต่อจากนั้นก็รอเวลาให้พอนเต้กลับมาไร้คู่ครองอีกครั้ง โดยรอนานถึงสองทศวรรษ จนกระทั่งภรรยาของพอนเต้ถึงแก่กรรมไป
ภรรยาของพอนเต้ไม่ใช่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ เธอเป็นเพียงหนึ่งในเหยื่อผู้น่าสงสารของประเพณีการแต่งงานทางการเมืองของเหล่าขุนนาง หลังจากให้กำเนิดบุตรของพอนเต้แล้ว ทั้งสองคนก็ได้ใช้ชีวิตที่เหลืออยู่แยกทางกัน โดยที่ทั้งสองฝ่ายต่างไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องของอีกฝ่าย ในท้ายที่สุดเธอก็ถึงแก่กรรมในวัยสี่สิบปี
เมื่อถึงตอนนั้น พอนเต้ก็มีอายุได้ห้าสิบปีแล้ว ส่วนวิกตอเรียก็ใกล้จะสี่สิบ ทั้งสองคนนั้นเข้าสู่วัยสูงอายุตามมาตรฐานของมนุษย์บนโลกนี้ แต่พวกเขาทั้งคู่ต่างก็เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติ พวกเขาจึงยังถือว่าอยู่ในช่วงวัยเริ่มต้นด้วยซ้ำ ทำให้เป็นดั่งยุคทองสำหรับการแต่งงาน
“หรือก็คือ ท้ายที่สุดพวกเขาก็ได้อยู่ด้วยกันสินะ? แต่ถ้าฉันจำไม่ผิด ช่วงรัชสมัยของวิกตอเรียกินเวลาประมาณ 40 ปี และในที่สุดเธอก็สิ้นชีวิตด้วยอาการป่วย หรือก็คือพวกเขาได้อยู่ด้วยกันประมาณ 20 ปีใช่ไหม?”
เมื่อต้องเผชิญกับคำถามของโรเอล สีหน้าของนอร่าก็แปลกประหลาดไปเล็กน้อย เธอลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะถามคำถามออกมา
“ทั้ง ๆ ที่เจ้าได้ฟังเรื่องราวมามากมายขนาดนี้แล้ว เจ้ายังเชื่อประวัติศาสตร์ในบันทึกอีกงั้นเหรอ?”
“… นั่นก็ใช่ แล้วเธอคิดอย่างไรเกี่ยวกับเรื่องนี้ล่ะ?”
“ข้าคิดว่าวิกตอเรียแกล้งตาย เพื่อที่จะมอบบัลลังก์ให้คนรุ่นต่อไป ก่อนที่จะหนีไปกับพอนเต้”
“โอ้? เธอมีข้อสันนิษฐานอะไรรึเปล่า?”
บทละครอันพลิกผันนี้ทำให้โรเอลต้องตกตะลึง มันน่าตกใจมากที่เขาอดไม่ได้ที่จะรู้สึกสงสัยเกี่ยวกับเรื่องนี้ นอร่าจึงเริ่มอธิบายการคาดเดาของเธอ
“ข้อสันนิษฐานของข้า ก็คือในตอนนั้นสุสานหลวงยังไม่ได้ถูกเปิดใช้งาน…”
“เอาล่ะ เธอไม่จำเป็นต้องพูดแล้ว ฉันเชื่อเธอ”
โรเอลถูขมับเพื่อสงบสติอารมณ์ลงเล็กน้อย การที่จักรพรรดินีผู้ได้รับการยกย่องให้เป็นผู้ปกครองที่ชาญฉลาดที่สุดจากมวลชนอย่างวิกตอเรีย จะไม่ถูกฝังศพลงในสุสานหลวงตอนที่เธอสิ้นพระชนม์ มันดูไม่สมเหตุสมผลเอาซะเลย นี่อาจจะเป็นไปได้ว่าเธอยังไม่ตายจริง ๆ
อันที่จริง มันก็ค่อนข้างจะเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว ที่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงอย่างวิกตอเรียจะมาตายด้วยโรคภัยไข้เจ็บ ทำให้มีนักวิชาการหลายคนเสนอทฤษฎีสมคบคิดเกี่ยวกับเรื่องนี้
“ไม่กี่ปีหลังจากที่จักรพรรดินีวิกตอเรียสิ้นพระชนม์ มาร์ควิสพอนเต้เองก็ได้หายตัวไปอย่างลึกลับเช่นกัน เขาทิ้งจดหมายฉบับหนึ่งเอาไว้ว่าตัวเองกำลังตามสอบสวนชะตากรรมของบรรพบุรุษผู้นำแห่งตระกูลแอสคาร์ดที่หายตัวไปอย่างลึกลับในประวัติศาสตร์ นับตั้งแต่นั้นมาก็ไม่มีข่าวเกี่ยวกับเขาอีกเลย”
“แบบนี้นี่เอง ฉันพอจะเข้าใจแล้ว”
โรเอลพยักหน้าพร้อมกับถอนหายใจ มันไม่ใช่เรื่องเลวร้ายที่พอนเต้จะได้กลับไปหาวิกตอเรีย อย่างน้อย ๆ หนึ่งในผู้นำตระกูลที่หายไปเป็นปริศนาของตระกูลแอสการ์ดก็จบลงอย่างมีความสุข ถึงกระนั้น มันก็ฟังดูย้อนแย้งพอสมควร พอนเต้ผู้บอกว่าจะตามหาเบาะแสเกี่ยวกับผู้นำตระกูลที่หายตัวไปอย่างเป็นปริศนา กลายเป็นคนที่หายตัวไปเสียเอง
“เดี๋ยวก่อนสิ ทั้งสองคนเป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับสูงใช่ไหม? และนี่ก็เพิ่งผ่านมาเพียงร้อยกว่าปีเองที่พวกเขาหายตัวไป จะเป็นไปได้ไหมว่า…”
“อืม ใช่แล้ว มันเป็นไปได้ว่าพวกเขาอาจจะยังมีชีวิตอยู่ก็ได้”
คำตอบของนอร่าทำให้โรเอลประหลาดใจมาก เขาหันกลับไปมองกองสมุดบันทึกสีเหลือง ทันใดนั้นเด็กชายก็รู้สึกว่าเขาควรจะเผามันให้เป็นเถ้าถ่านเสียตรงนี้
บ้าที่สุด! ถ้าพอนเต้ตายไปแล้ว และบันทึกความทรงจำนี้เป็นเพียงเรื่องราวเดียวของเขาที่เหลืออยู่ มันก็น่าเก็บรักษาต่อไปอยู่หรอก แต่ถ้าเขายังมีชีวิตอยู่ บันทึกโรคจิตพวกนี้จะมีประโยชน์อะไรกันเล่า
“อย่างไรก็ตาม นี่เป็นเพียงแค่การตั้งข้อสันนิษฐานของข้าเท่านั้น และข้าเองก็ไม่มีหลักฐานเป็นรูปธรรมที่จะยืนยันข้อสันนิษฐานนี้ อีกอย่างคนส่วนใหญ่ที่อาศัยอยู่ในยุคนั้นก็ได้เสียชีวิตกันไปหมดแล้วด้วย”
“ใช่ มันเป็นเพียงแค่ข้อสันนิษฐานเท่านั้น จะว่าไปแล้ว ท้ายที่สุดเกิดอะไรขึ้นกับเวต”
“… เวตใช้เวลาหลายปีภายในห้องคุมขัง จนในที่สุดเขาก็จากไปอย่างเศร้าโศก ด้วยวัยเพียงสามสิบต้น ๆ เท่านั้น”
โรเอลส่ายหัวอย่างเศร้าสร้อย ในฐานะผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับ 3 เวตควรจะมีชีวิตอยู่ได้อีกหลายปี ใครจะไปคิดล่ะว่าเขาจะต้องมาตายก่อนวัยอันควร ดูเหมือนว่าภาวะซึมเศร้าจะสามารถลดอายุขัยได้จริง ๆ สำหรับคนที่มีความทะเยอทะยานอย่างเวต การถูกบังคับให้ใช้ชีวิตภายในห้องคุมขังอย่างไร้ความหมาย คงไม่ต่างอะไรไปจากนรกบนดิน
อารมณ์ของนอร่าเริ่มหนักอึ้งขึ้นเล็กน้อยเมื่อพูดถึงเรื่องนี้ โรเอลเงียบไปนานก่อนที่จะนึกถึงคำถามอื่น
“สุดท้ายแล้วการปฏิบัติต่อพวกนอกรีตเปลี่ยนไปไหม?”
“มีแผนหลายแผนถูกยกขึ้นมาเพื่อแก้ไขปัญหานี้ แต่สุดท้ายก็ไม่ได้ถูกดำเนินการเลยสักแผน และเมื่อข่าวการสิ้นพระชนม์ขององค์ชายเวตเริ่มแพร่ขยายออกไป พวกนอกรีตก็เริ่มหนีออกนอกจักรวรรดิไปในทันที เพราะกลัวว่าจะถูกกวาดล้าง ด้วยการอพยพครั้งใหญ่ สัดส่วนของพวกนอกรีตในจักรวรรดิเซนต์เมซิท จึงลดลงไปมาก ทำให้ความขัดแย้งทางสังคมที่เกิดจากความแตกต่างเองก็ลดลงไปด้วย สถานการณ์จึงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเท่าไหร่แบบในปัจจุบัน…”
“เข้าใจแล้ว…”
โรเอลมองออกไปนอกหน้าต่าง พลางนึกถึงพวกทหารนอกรีตที่ต่อสู้อย่างไม่เกรงกลัวความตาย เพื่อเรียกร้องสิทธิอันเท่าเทียมกันสำหรับตนเองและลูกหลานของพวกเขา แม้ว่าเขาจะกล่าวถึงพวกนอกรีตทั้งหมดได้ แต่พวกนอกรีตที่อยู่ในกองทัพขององค์ชายเวตนั้นช่างน่าเกรงขามจริง ๆ ความเชื่อมั่นในเจตจำนง และความหลงใหลในอุดมการณ์ของพวกเขาเป็นอะไรที่หาได้ยากในกองทัพอื่น ๆ
เป็นเรื่องน่าเสียดายที่พวกเขาต้องสูญเสียผู้นำไป และจบลงด้วยการแยกย้ายกระจัดกระจายกันออกไป ก่อนที่พวกเขาจะสามารถบรรลุเป้าหมายของตัวเองได้ ความฝันและอุดมคติที่เคยดังก้องกังวานอยู่ในใจของผู้คนมากมายได้หายไปโดยแทบไม่เหลือร่องรอยอะไรเลย กลายเป็นเพียงผงธุลีแห่งประวัติศาสตร์
เมื่อคิดว่าสักวันหนึ่งตัวเองก็จะต้องเป็นเหมือนพวกเขา ทำให้โรเอลรู้สึกไร้ค่าสำหรับโลกใบนี้
Related