ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END 恶役少爷不想要破灭结局 - บทที่ 289 ฉันจะพาเธอออกไป
บทที่ 289: ฉันจะพาเธอออกไป
สถานที่นี้คือนรกบนดินที่ถูกกล่าวถึงในเกม
หัวใจของโรเอลรู้สึกหนักอึ้งเมื่อเขานึกถึงคำอธิบายที่ใช้สำหรับห้องเก็บไวน์ในเกมอายออฟโครนิเคิล มันอธิบายสถานการณ์แปลกประหลาดภายในคฤหาสน์หลุยส์ได้ทั้งหมดจริง ๆ ไม่ว่าจะเป็นสมาชิกของหน่วยรักษาความปลอดภัยที่กำลังร้องไห้อยู่ หรือเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นทั้งหมด
เป็นไปว่าพวกเขาได้เข้าไปในห้องเก็บไวน์และเห็นสิ่งที่อยู่ในนั้น
ความรังเกียจต่อการกระทำอันชั่วช้าของผู้นับถือลัทธิชั่วร้าย ความเห็นอกเห็นใจที่พวกเขารู้สึกต่อรุ่นพี่ที่ตกเป็นเหยื่อของเหล่าฆาตกร และความรู้สึกอื่น ๆ อีกมากมายวนเวียนอยู่ในจิตใจของพวกเขา ทำให้พวกเขาสิ้นหวัง
โรเอลกำหมัดแน่นในขณะที่เขาสาบานกับตัวเองว่าจะไม่ปล่อยให้พวกลัทธิชั่วร้ายหนีรอดไปได้เด็ดขาด เขามุ่งหน้าไปทางฝั่งของพอลและตบหลังอีกฝ่าย เพื่อบรรเทาความรู้สึกไม่สบายใจของเขา พอลยังคงยกมือปิดปากเป็นครั้งคราว แต่เขาก็ยังสามารถรายงานเหตุการณ์ต่าง ๆ ได้อย่างถูกต้องชัดเจน
หลังจากที่โรเอลเปิดใช้งาน หินคู่จำแลง กลุ่มที่ตั้งค่ายประจำการอยู่ในป่าใกล้กับจุดหยุดพักฟูลเต้ ก็เริ่มลงมือโจมตีทันที พวกเขาแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม โจมตีทั้งสองที่ซ่อนที่เป็นไปได้พร้อม ๆ กัน
ทีมที่พอลและคนอื่น ๆ อยู่ ถูกส่งไปยังคฤหาสน์หลุยส์ ทันทีที่พวกเขาเข้าไปในคฤหาสน์ พวกเขาก็เจอเข้ากับสมาชิกของลัทธิสังเวยโลหิต ซึ่งกำลังอยู่ในระหว่างการหลบหนี
ความระมัดระวังของโรเอลนั้นได้ผล ลัทธิสังเวยโลหิตมีอุปกรณ์สื่อสารระยะไกลที่อนุญาตให้พวกเขาติดต่อหากันได้ทันทีหากมีอะไรเกิดขึ้น โชคดีที่พวกโรเอลวางแผนทุกอย่างไว้อย่างรอบคอบ ไม่อย่างนั้นพวกลัทธิชั่วร้ายบางคนคงจะหนีรอดไปได้แล้ว
เมื่อทั้งสองฝ่ายเจอกัน การต่อสู้ก็บังเกิด
เมื่อระลึกถึงคำสั่งของโรเอล พอลและเกอรัลจึงเริ่มต่อสู้กับผู้นับถือลัทธิชั่วร้าย โดยร่ายคาถาเวทย์ที่ทรงพลังที่สุดตั้งแต่เริ่มต้นการต่อสู้
อย่างไรก็ตามแตกต่างจากการต่อสู้ของผู้มีพลังเหนือธรรมชาติทั่ว ๆ ไป ซึ่งเน้นไปที่การยุติการต่อสู้โดยเร็วที่สุด สมาชิกของทีมปฏิบัติการพิเศษมีระเบียบวินัยมาก แทนที่จะโจมตีศัตรูในระยะประชิด พวกเขาเลือกที่จะโจมตีจากระยะไกล ใช้คาถาปราบอีกฝ่ายเป็นระลอกต่อเนื่อง ทำให้ศัตรูไม่มีที่ว่างให้หายใจ
ขณะเดียวกัน พวกเขาก็เริ่มจุดพลุเพื่อแจ้งสหายที่มุ่งหน้าไปยังตำแหน่งอื่นให้รู้ว่าศัตรูนั้นซ่อนอยู่ที่นี่ รวมกำลังของพวกเขาและรุมจัดการศัตรูด้วยความได้เปรียบอย่างท่วมท้น
กลยุทธ์นี้ได้ผลอย่างน่าอัศจรรย์
ระหว่างการต่อสู้ เหล่าผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายของลัทธิสังเวยโลหิต ได้ร่ายคาถาเวทย์ที่เปลี่ยนสหายของพวกเขาบางคนให้กลายเป็นยักษ์เนื้ออันทรงพลัง ซึ่งคุกคามกลุ่มของพวกเขาอย่างใหญ่หลวง อย่างไรก็ตาม ด้วยกลวิธีในการปราบปรามอย่างไม่หยุดยั้งและความได้เปรียบเชิงตัวเลข พวกเขาก็สามารถยืนหยัดได้จนกระทั่งกลุ่มของลิเลียนมาถึง
หลังจากนั้นทุกอย่างก็กลายเป็นเรื่องง่าย
ภายใต้การนำของลิเลียน ทีมปฏิบัติการพิเศษก็สามารถจัดการศัตรูได้อย่างง่ายดาย มีผู้นับถือลัทธิชั่วร้ายทั้งหมด 28 คน และทีมปฏิบัติการพิเศษได้ฆ่าพวกเขาทั้งหมดยกเว้นสามคนสุดท้าย
“ลูกพี่โรเอล คุณไม่เห็นความน่าขยะแขยงที่คาถาสังเวยเลือดของพวกมัน ! พวกลัทธิชั่วร้ายพวกนั้นจะกรีดหน้าท้องของตัวเองด้วยมีด จากนั้นเส้นเลือดทั้งหมดของพวกเขาก็พุ่งออกมาอย่างรวดเร็วราวกับหนวด !”
“…”
นายไม่จำเป็นต้องบอกฉันหรอกนะ ฉันเห็นแบบที่หนักกว่านั้นมาแล้ว เมื่อสักครู่นี้ บอกได้อย่างมั่นใจเลยว่า ‘หนวด’ เหล่านั้นดูน่าขยะแขยงกว่ามาก ในตอนที่มันมีปากด้วย
คิ้วของโรเอลกระตุกเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำพูดของพอล แต่เขาก็เลือกที่จะเก็บความคิดเห็นไว้กับตัวเอง เขากวาดตามองไปรอบ ๆ บริเวณ แต่ก็ต้องแปลกใจเมื่อสังเกตเห็นว่าลิเลียนไม่ได้อยู่ที่นี่ เขาจึงหันกลับมาถามพอลเกี่ยวกับเรื่องนี้
พอลขมวดคิ้วเล็กน้อย ก่อนจะชำเลืองมองไปยังห้องเก็บไวน์ที่เปื้อนเลือดแล้วพูดด้วยใบหน้าที่ดูหดหู่
“ท่านพี่อยู่ในนั้น… เธออยู่ข้างในนั้น มาระยะหนึ่งแล้ว เธอสั่งให้ทุกคนหลีกเลี่ยงการเข้าไปในพื้นที่นั้น”
โรเอลมองไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็วและสังเกตเห็นสีหน้าที่ดูเป็นกังวลของสมาชิกหน่วยรักษาความปลอดภัย ทันใดนั้นเขาก็รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทำให้รูม่านตาของเขาก็ขยายออก
เราน่าจะรู้ดีนี่นาว่าคนที่ได้รับผลกระทบจากห้องเก็บไวน์มากที่สุดก็คือลิเลียน
จู่ ๆ โรเอลก็นึกถึงเหตุการณ์บางอย่างในเกมได้ เขารีบหันไปมองพอล แต่ดูเหมือนว่าอีกฝ่ายนั้นไม่มีเจตนาที่จะเคลื่อนไหว แม้ว่าจะดูกังวล หลังจากครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่ง เด็กหนุ่มก็เดินไปที่ห้องเก็บไวน์ด้วยตัวเอง
“ลูกพี่โรเอล ? …”
“รุ่นพี่ลิเลียนห้ามไม่ให้พวกนายเข้าไป แต่คำสั่งของเธอใช้ไม่ได้กับฉัน”
โรเอลทนกลิ่นเลือดที่ทำให้หายใจไม่ออก แล้วก้าวเข้าไปในห้องเก็บไวน์
“ฉันจะพาเธอออกมาเอง”
…
โรเอล คิดเสมอว่าระดับความอดทนต่อเลือดของเขานั้นสูงมาก แม้จะเป็นในหมู่ผู้มีพลังเหนือธรรมชาติก็ตาม เนื่องจากประสบการณ์ที่เขาได้รับ
ประการแรก โรเอลได้พบกับฆาตกรโรคจิต ตั้งแต่อายุได้เพียง 10 ขวบ จิตรกรผู้บ้าคลั่งคนนั้นใช้เนื้อและเลือดของมนุษย์ เพื่อสร้างภาพวาดอันน่ารังเกียจ ในแง่ของความน่ารังเกียจ อาจไม่มีหนังสยองขวัญใด ๆ ในอดีตชาติของเขา ที่เทียบกับมันได้
นอกจากนั้น โรเอลยังเคยพบภูเขาซากศพ และกองทัพของเผ่าเกล็ดในมิติสถานะผู้เฝ้ามองอีกด้วยประสบการณ์ทั้งหมดที่เขาได้รับ ทำให้ความต้านทานของเขาแข็งแกร่งกว่าเพื่อน ๆ ในรุ่นอย่างแน่นอน
“แหวะ !”
แต่นั่นก็ไม่ได้หยุดโรเอลจากอาการคลื่นไส้หลังจากที่ได้เข้าไปในห้องเก็บไวน์
ทางเดินที่เขาเดินเข้าไปนั้นสร้างจากสิ่งสกปรกและเลือดผสมกัน พื้นผิวรู้สึกลื่นราวกับเคลือบด้วยน้ำมันของมนุษย์ แม้นี่จะยังไม่เพียงพอที่จะทำลายความมุ่งมั่นของโรเอล แต่มันก็ได้ทำลายระบบการดมกลิ่นของเขา และทำให้ท้องของเขาเริ่มปั่นป่วน
ดังนั้นโรเอลจึงร่ายคาถาเวทย์ สองคาถาให้ตัวเองเพื่อควบคุมความคลื่นไส้ ก่อนที่จะดำดิ่งเข้าไปในห้องเก็บไวน์ ขณะเดียวกัน เขานึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในเกม
จากสิ่งที่โรเอลจำได้จากในเกม อายออฟโครนิเคิล นรกบนดินนี้สร้างความเสียหายต่อสภาพจิตใจของ ลิเลียนเป็นอย่างมาก
สิ่งที่โรเอลและคนอื่น ๆ เห็นในห้องเก็บไวน์คือเหยื่อนิรนาม ซึ่งถูกทำให้เสียโฉมและผ่าร่างเปิดออก แต่ลิเลียนกลับจำเหยื่อรายหนึ่งได้ เหตุการณ์โศกนาฏกรรมครั้งนี้เกิดขึ้นใกล้ตัวเกินไปสำหรับเธอ
ลิเลียนจบลงด้วยฝันร้ายตลอดทั้งสัปดาห์ จนกระทั่งหลังจากพอลมาเยี่ยม เธอถึงจะสามารถเอาชนะความบอบช้ำนี้ได้
อย่างไรก็ตามเหตุการณ์ในโลกนี้นั้นแตกต่างออกไป
พอลและลิเลียนไม่ได้สนิทสนมกันเหมือนในเกม และลิเลียนก็ได้เห็นความสยดสยองนั้นด้วยตนเอง ความรู้สึกที่บดขยี้เธอตอนนี้หนักกว่าและรุนแรงกว่าฝันร้ายในเกมอย่างแน่นอน
เมื่อเดินไปตามทางเดินอันเปียกชื้นน่าขยะแขยง โรเอลก็เดินผ่านพื้นที่ทดลองอันว่างเปล่าด้วยใจที่หนักอึ้ง เขาคิดที่จะให้ความสนใจกับสภาพแวดล้อม และมุ่งตรงไปยังส่วนท้ายของห้องเก็บไวน์ที่ลิเลียนยืนอยู่หน้าห้องที่ถูกปิดล้อมเหมือนกับคุก
…
สิ่งต่าง ๆ จบลงเช่นนี้ได้อย่างไรกัน ?
ลิเลียนคิดขณะที่จ้องไปที่เสาไม้ตรงหน้าด้วยความสยดสยอง
ศพผู้หญิงที่เสียโฉมอย่างสมบูรณ์ถูกมัดไว้แน่นกับเสาไม้ เนื้อของเธอเริ่มเน่าเปื่อย และเลือดก็แห้งไปหมดแล้ว สิ่งเดียวที่ทำให้ลิเลียนจำเจ้าของร่างนี้ได้ก็คือจี้ห้อยที่อยู่บนหน้าอกของศพ
มันคือจี้พระจันทร์เสี้ยวที่มีต้นกำเนิดมาจากชนกลุ่มน้อยที่เรียกว่าโมเอ็น ในจักรวรรดิออสทีน สมาชิกของเผ่าเชื่อว่าพวกเขาได้รับพรจากดวงจันทร์ ดังนั้นพวกเขาจึงมักจะสวมเครื่องประดับที่เกี่ยวข้องกับดวงจันทร์
ลิเลียนรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร เป็นเพราะเธอคุ้นเคยกับเจ้าของจี้พระจันทร์เสี้ยวนี้ดี
ในสมัยที่ลิเลียนยังคงเป็นผู้ถือแหวนของชั้นปีที่ 1 เธอได้พบกับ รุ่นพี่ปีสี่คนหนึ่ง ระหว่างที่เธอกำลังพยายามรับช่วงต่อหน่วยรักษาความปลอดภัยในตอนนั้น และรุ่นพี่คนนี้ช่วยเธอเป็นอย่างมากในการทำความคุ้นเคยกับบทบาทใหม่ของเธอในฐานะหัวหน้าหน่วยรักษาความปลอดภัย แม้ว่ารุ่นพี่คนนี้จะไม่ได้เข้าร่วมฝ่าย กุหลาบม่วงก็ตาม
รุ่นพี่คนดังกล่าวหายตัวไปทันทีหลังจากสำเร็จการศึกษา แต่ลิเลียนก็ไม่ได้คิดอะไรมากเนื่องจาก โมเอ็นเป็นชนเผ่าเร่ร่อน ในทวีปเซียที่ไม่มีโลกาภิวัตน์ มันจึงเป็นการยากที่จะติดต่อกับบุคคลที่อาศัยอยู่นอกเมืองใหญ่ ๆ นับประสาอะไรกับชนเผ่าเร่ร่อน
ใครจะไปคิดว่าพวกเขาจะได้เจอกันอีกในสถานการณ์แบบนี้ ?
เมื่อมองไปที่ศพ ลิเลียนก็รู้สึกว่าโลกรอบตัวเธอกำลังหมุน หัวของเธอไม่เคยหนักอึ้งเท่านี้มาก่อน เด็กสาวรู้สึกเหมือนมีใครบางคนฉีบตะกั่วหนักเข้าไปในร่างกาย เงาของรุ่นพี่ที่เธอรู้จักเริ่มซ้อนทับกับศพที่อยู่ตรงหน้าเธออย่างช้า ๆ
ในความมึนงง ลิเลียน เหมือนจะเห็นใบหน้าที่คุ้นเคยของรุ่นพี่ยิ้มให้กับเธอ กระตุ้นให้เธอเอื้อมมือไปหาศพด้วยมือที่สั่นเทา แต่ก่อนที่เธอจะได้สัมผัส เธอก็ถูกมืออีกคู่รั้งไว้
“คุณกำลังทำอะไรน่ะ รุ่นพี่ลิเลียน ?”
โรเอล จับมือที่สั่นเทาของ ลิเลียนไว้แน่นขณะที่เขาถามด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ