ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END 恶役少爷不想要破灭结局 - บทที่ 319 พันธะที่แท้จริง
บทที่ 319: พันธะที่แท้จริง
ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของมนุษย์ที่แสดงออกมาเมื่อเผชิญกับวิกฤตทำให้รู้สึกอบอุ่นใจ และความเต็มใจที่จะเสียสละตนเองเพื่อกันและกันเองก็น่าประทับใจมาก
ทว่าสิ่งที่กล่าวมาก็ยังคงมีข้อจำกัด ตัวตนอันสูงส่งบางระดับก็แข็งแกร่งทรงพลังเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดาจะสามารถต้านทานได้ บางครั้งช่องว่างในความแข็งแกร่งก็มากมหาศาลจนต่อให้จะมีจำนวนที่มากกว่าก็ไม่สามารถเทียบเคียงได้
ตูม !
การระเบิดของสายฟ้าอันน่าสะพรึงกลัวดังก้องไปทั่วเมืองเลนสเตอร์นับครั้งไม่ถ้วน แต่พลังเวทย์ของมันก็ยังคงรุนแรงอย่างไม่หยุดยั้ง ราวกับว่าไร้ซึ่งขอบเขต พริสเลย์ยังคงยืนอยู่ที่เดิมพร้อมกับโคมไฟสีเขียวในมือ ไม่ขยับเลยแม้แต่น้อย ทว่าเหล่าทหารและนักเรียนบนกำแพงของสถานศึกษากลับถูกบังคับให้ต้องหลบหนีด้วยความลนลาน
ที่ด้านหลังสุดของฝูงชนที่กำลังหลบหนี แอนโตนิโอพยายามยืนตัวต้านต่อพลังอันล้นหลามที่พุ่งเข้ามาอย่างเต็มที่ เขาสัมผัสได้ถึงความผันผวนของสายฟ้าเวทย์นั้นได้เป็นอย่างดี ทำให้เขาสามารถสรุปได้คร่าว ๆ ว่าศัตรูกำลังคิดอะไรอยู่
พริสเลย์พยายามออมแรงรักษาความแข็งแกร่งของเขาเอาไว้ เขาไม่อยากเสียพลังงานไปกับแอนโตนิโอ และเลือกที่จะทิ้งระเบิดพลังเวทย์อย่างต่อเนื่องให้เทียบเท่ากับผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 2 แทนที่จะทุ่มสุดตัว
อย่างไรก็ตามมันก็เพียงพอแล้ว เพราะแอนโตนิโอในตอนนี้ใกล้ถึงขีดจำกัดเต็มที
เมื่อทุกคนบนกำแพงของสถาบันศึกษาล่าถอยไปจนหมดแล้ว เกราะพลังเวทย์ก็สลายลง ทันที่แอนโตนิโอหนีออกมา สายฟ้าก็พุ่งทะลุกำแพงอันสูงตระหง่าน ส่งเศษซากปรักหักพังลอยไปทางสถาบันการศึกษา
แม้ว่าพวกเขาจะพยายามต่อต้านเพียงใด แต่พวกเขาก็ไม่อาจหยุดยั้งการรุกรานของราชาจอมเวทย์ได้
ภราดรภาพแห่งการกอบกู้เดินขบวนข้ามซากปรักหักพังไล่ตามทหารและนักเรียนที่หลบหนี เสียงบทสวดของพวกมันดังก้องไปทั่วสถาบันการศึกษา ทว่าผลของมันก็ถูกทำให้เป็นกลางโดยคุณสมบัติพิเศษจากเกราะพลังเวทย์ของมิติห้วงความฝัน
เกราะพลังเวทย์ของแอสตริดช่วยเพิ่มภูมิคุ้มกันต่อเสียงบทสวดของเหล่าสัตว์ประหลาดให้แก่มนุษย์ เพื่อที่พวกเขาจะได้ไม่รู้สึกอึดอัดกับมัน อย่างไรก็ตามผลของมันจะเริ่มเลือนรางลงไป หากพวกเขาต่อสู้กับสัตว์ประหลาดในระยะประชิดเป็นเวลานาน
ด้วยเหตุนี้เหล่าทหารและนักเรียนจึงพยายามอย่างเต็มที่ไม่ให้ตัวเองถูกพวกสัตว์ประหลาดเข้าประชิดตัวได้ ขณะที่ปัดป้องศัตรูออกไป พวกเขาก็ถอยกลับไปที่กำแพงด่านที่สอง ที่ซึ่งพวกเขาจะจัดรูปขบวนใหม่ เพื่อต่อสู้กับกองทัพสัตว์ประหลาด
ทว่ามันไม่มีทางได้ผลเทียบเท่ากับกำแพงก่อนหน้านี้
กำแพงที่สองไม่ได้แข็งแกร่งเท่ากับกำแพงแรก อีกทั้งยังไม่มีอุปกรณ์เวทย์ที่ทรงพลังฝังอยู่ภายในเหมือนกับกำแพงแรก กองทหารรักษาการณ์จึงไม่สามารถต้านทานการโจมตีอันไม่มีที่สิ้นสุดของกองทัพสัตว์ประหลาดได้ จนในที่สุดพวกเขาก็ถูกบังคับให้ถอยกลับไปที่กำแพงที่สาม กำแพงที่สี่ และอื่น ๆ
เมื่อถึงเวลาเที่ยงคืน… ในที่สุดสัตว์ประหลาดเหล่านั้นก็บุกทะลวงกำแพงสุดท้ายเข้ามาในพื้นที่ส่วนกลางของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าได้สำเร็จ
พริสเลย์ได้เข้ามาในสถาบันการศึกษาที่ควรจะอยู่ภายใต้การบริหารของเขาด้วยอารมณ์ขัน มีรอยยิ้มอยู่บนใบหน้าที่มีรอยย่นของชายชราขณะที่เดินเข้ามาด้วยฝีเท้าที่ไม่ได้รีบเร่งหรือเชื่องช้า ชวนให้นึกถึงกษัตริย์ที่กลับมาสู่อาณาจักรของตนอย่างมีชัย
ทันทีที่พริสเลย์เข้าสู่เกราะพลังเวทย์ของมิติห้วงความฝัน เขาก็รู้สึกได้ถึงความรู้สึกอันคุ้นเคยที่พุ่งผ่านร่างกาย ทว่าก่อนที่จะรู้ว่าความรู้สึกนั้นคืออะไร พลังเวทย์อันทรงพลังก็ปะทุลงมาจากฟากฟ้าในขณะที่เสาแสงสีรุ้งพุ่งออกมาจากศูนย์กลางของเกราะพลังเวทย์
วิญญาณแห่งความฝันนับไม่ถ้วนเปล่งประกาย ลอยละล่องไปทั่วท้องฟ้า ก่อตัวเป็นแสงออโรร่าอันสวยงาม ส่องสว่างเบื้องหน้าผู้บุกรุก
พริสเลย์ยืนนิ่งไม่สะทกสะท้านกับปรากฏการณ์นี้ เขากรีดนิ้วของตนเพื่อใช้งานพลังทางสายเลือดของตน ต้นไม้ลึกลับที่ปกคลุมไปด้วยแสงระยิบระยับผุดขึ้นมาจากพื้นโลก กระตุ้นให้เกิดการเติบโตอย่างรวดเร็วของพื้นหญ้าในบริเวณใกล้เคียง
ภายใต้การคุ้มครองของต้นไม้และวิญญาณ เขาสามารถเดินหลบการโจมตีที่แอสตริดเตรียมเอาไว้ได้สบาย ๆ โดยที่ไม่ได้รับบาดเจ็บ
“กลอุบายล้วนไร้ความหมายต่อหน้าข้า”
พริสเลย์พึมพำขณะที่ขอบริมฝีปากของเขาขดขึ้น
ความสามารถในการผสมผสานกันของวิญญาณแห่งความฝันนั้นทรงพลังมาก แต่มันก็ยังไม่เพียงพอที่จะทำอันตรายพริสเลย์ได้ การที่แอสตริดพยายามใช้กลอุบายดังกล่าวแสดงให้เห็นว่าเธอไม่มีอำนาจมากพอที่จะต่อสู้เพื่อปกป้องมิติห้วงความฝันเอาไว้ได้ด้วยตัวเอง
เมื่อเห็นว่าความพยายามนับร้อยปีของตนใกล้จะบรรลุผลเต็มที ราชาจอมเวทย์ก็ก้าวขึ้นไปข้างหน้าพร้อมกับโคมไฟสีเขียวในมือ ดูคล้ายดั่งเทพแห่งความตายที่โผล่ออกมาจากหมอกลึกลับ นำฝูงสัตว์ประหลาดอันชั่วร้ายกรีธาทัพมาเพื่อทำลายล้างโลก
ทว่าทันใดนั้น การเคลื่อนไหวของเขาก็ต้องหยุดลง
มันเป็นความรู้สึกอันแผ่วเบาที่อธิบายได้ยาก ความรู้สึกไม่สบายใจปรากฏอยู่เหนือหัวใจของพริสเลย์ในขณะที่ลมหายใจของเขาเร่งรีบขึ้นเล็กน้อย
ราชาจอมเวทย์ได้ฝึกฝนความรู้สึกต่ออันตรายของตนจากการต่อสู้หลายครั้งที่เขาต้องเผชิญมาตลอดประสบการณ์หลายปี ทำให้เขารู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าความรู้สึกนั้นบ่งบอกถึงอันตรายที่กำลังจะเกิดขึ้น
พริสเลย์กวาดสายตามองไปรอบ ๆ อย่างรวดเร็ว
วินาทีต่อมาเขาก็หันศีรษะไปที่ด้านข้างอย่างกะทันหัน ด้วยดวงตาอันเฉียบคมราวกับเหยี่ยว เขามองผ่านสิ่งกีดขวางมากมาย จ้องมองไปยังชั้นบนสุดของหอนาฬิกาที่ซึ่งเด็กหนุ่มผมยาวกำลังยืนอยู่
เด็กหนุ่มคนนี้มีรูปลักษณ์ที่สวยงาม ดูเหมือนเกือบจะไม่มีตัวตน เขาสวมเสื้อคลุมสีเข้มที่ทำให้ร่างกายดูผอมลงเมื่อเปรียบเทียบกันแล้ว ผิวของเขาซีดเซียวเพราะยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่จากการสูญเสียเลือด สายลมยามค่ำคืนพัดผมยาวประบ่าของเด็กหนุ่มขณะที่มองลงมาจากหอคอยด้วยแววตาอันเย็นชาและสง่างาม
ภายใต้แสงสลัวของแสงจันทร์ เขาดูเหมือนบุคคลลึกลับที่เดินออกมาจากความฝัน
“!”
เงาที่คุ้นเคยแต่แปลกตานี้ทำให้พริสต์ลีย์เบิกตากว้างด้วยความประหลาดใจ ทว่าสิ่งที่ทำให้ราชาจอมเวทย์แปลกใจไม่ใช่การเปลี่ยนแปลงทางรูปลักษณ์อันเรียบง่าย แต่เป็นสายตาของโรเอล
ดวงตาคู่นั้นเงียบสงบและลึกล้ำราวกับมองเห็นผ่านความผันผวนของโลก ความสว่างไสวที่เคยฉายในแววตาของเขาดูเหมือนจะจางหายไปแล้วถูกแทนที่ด้วยสีเหลืองแห่งพลบค่ำอันเคร่งขรึม แววตานั้นทำให้พริสเลย์รู้สึกกังวลอย่างอธิบายไม่ถูก ราวกับเขากำลังจ้องมองตรงไปยังตัวตนโบราณ
มีบางอย่างผิดปกติ !
พริสเลย์จับจ้องไปที่โรเอล เขาเริ่มใช้พลังเวทย์อย่างระมัดระวัง แม้ว่าตอนนี้จะยังไม่รู้สึกถึงจิตสังหารใด ๆ พุ่งตรงมาจากอีกฝ่าย แต่นั่นเองก็กลับเป็นเหตุผลหลักที่ทำไมเขาถึงรู้สึกไม่สบายใจเช่นกัน
“เจ้าทำอะไรลงไป ?”
ราชาจอมเวทย์ถามด้วยใบหน้าที่คิ้วขมวดลึก
โดยไม่รอคำตอบ พริสเลย์ยกมือขึ้น ปล่อยแสงสีขาวสว่างจนทำให้ตาพร่าพุ่งเข้าหาเด็กหนุ่มบนหอนาฬิกา ท้องฟ้ายามค่ำคืนถูกแสงกลืนกินอย่างรวดเร็ว ทำให้สภาพแวดล้อมโดยรอบกลายเป็นพื้นที่สีขาวเหมือนกับที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้
ปรากฏการณ์อันคุ้นเคยทำให้เกิดประกายไฟในดวงตาของเด็กหนุ่มผมดำ แต่เขาไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว ฉะนั้นสิ่งต่าง ๆ จะไม่มีทางจบลงแบบเดิมอีก
ก่อนที่แสงสีขาวจะมาถึง ทันใดนั้นลมสีเหลืองก็พุ่งออกมาจากร่างของโรเอล ก่อนจะขยายออกไปโดยรอบอย่างรวดเร็ว มันระงับคาถาเวทย์ของพริสเลย์เอาไว้ ก่อนจะสลายมันทิ้ง
และนี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้นเท่านั้น
ลมสีเหลืองพัดผ่านกรรโชกคำรามด้วยความรุนแรงที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ทำให้สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่าหลุดไปอยู่ในอีกโลกหนึ่งอย่างกะทันหัน
มันเป็นโลกที่เต็มไปด้วยลมสีเหลือง ชวนให้นึกถึงโลกแห่งผืนทรายอันแห้งแล้ง ลมพัดโชยแรงผสมเข้ากับทรายและฝุ่นละอองทำให้เกิดเสียงขบซ้ำไปซ้ำมา
“นี่มัน…”
ฉากที่เปลี่ยนไปทำให้พริสเลย์ขมวดคิ้วอย่างตื่นตระหนก ก่อนหน้านี้เขาสามารถจัดการกับพลังเวทย์น้ำแข็งจากคาถาสัมผัสแห่งธารน้ำแข็งได้โดยกระจายพวกมันด้วยคาถาเวทย์ระเบิด ทว่าคราวนี้เขาไม่ได้ทำแบบเดียวกัน เพราะชายชรารู้ดีว่าลมสีเหลืองนี้แตกต่างออกไปจากพลังเวทย์น้ำแข็ง มันมีอยู่ทั่วทุกหนทุกแห่ง ทำให้ความคิดที่จะระเบิดมันให้กระจายออกกลายเป็นเรื่องไร้สาระ
“ช่างน่าประหลาดใจจริง ๆ เจ้าได้รับความสามารถใหม่มาสินะ”
ดวงตาของพริสเลย์ค่อย ๆ กลายเป็นสีซีด ขณะที่เขาเริ่มส่งพลังเวทย์อันทรงพลังออกไปอีกครั้ง การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโรเอลในวันเดียวเป็นสิ่งที่ราชาจอมเวทย์คาดไม่ถึง ซึ่งมันทำให้เขาตกใจเป็นอย่างมาก และดึงเอาจิตสังหารของเขาออกมา
เราต้องกำจัดเด็กหนุ่มคนนี้ลงที่นี่ให้ได้ ไม่อย่างนั้นเขาจะสร้างปัญหาไม่รู้จบให้กับเราในอนาคตแน่ นี่มันยังไม่สายเกินไป !
“ลมขุ่นนี้… นี่คงจะเป็นพลังจากศิลาแห่งมงกุฎสินะ ช่างน่าสะพรึงกลัวเสียจริง แต่อย่างที่ข้าบอกเจ้าไปเมื่อคืนก่อน เจ้าไม่ควรมาปรากฏตัวต่อหน้าข้าในตอนที่เจ้ายังไปไม่ถึงระดับแก่นแท้ 3”
พริสเลย์จ้องไปที่โรเอลอย่างเฉียบคม ขณะที่เปลวเพลิงและสายฟ้าเริ่มส่งเสียงปะทุขึ้นมารอบ ๆ ตัวเขา
“แม้แต่คาถาเวทย์ที่ทรงพลังที่สุด ก็ต้องร่ายขึ้นจากผู้มีพลังเหนือธรรมชาติที่แข็งแกร่ง เพื่อที่จะใช้ความสามารถที่แท้จริงของมันออกมา เมื่อคืนผู้หญิงใจง่ายที่ถูกความรู้สึกของตัวเองควบคุมช่วยเจ้าเอาไว้ แต่ดูเหมือนว่าคราวนี้เธอจะไม่ได้อยู่ที่นี่กับเจ้า คราวนี้ใครจะช่วยเจ้าได้ล่ะ ?”
“ถูกควบคุมโดยความรู้สึกของเธอเองงั้นเหรอ ?”
คำพูดเหล่านั้นกระตุ้นให้โรเอลพูดขึ้นเป็นครั้งแรก ซึ่งพริสเลย์ก็พยักหน้าแทนคำตอบ
“เจ้ากับผู้หญิงใจง่ายจากตระกูลแอคเคอร์มันน์คนนั้นมีความผูกพันกันทางพลังสายเลือด นั่นก็แค่เรื่องบังเอิญที่เกิดจากความบังเอิญ พวกเจ้าสองคนไม่ได้มีความผูกพันกันทางสายเลือดจริง ๆ แค่ดึงดูดกันและกันภายใต้อิทธิพลของการสั่นพ้อง ไม่ต่างอะไรจากสัตว์อสูรที่เชื่อฟังสัญชาตญาณของพวกมัน”
ราชาจอมเวทย์กล่าวอย่างดูถูก
ทว่าโรเอลกลับส่ายหัว
“ไม่ ๆ ราชาจอมเวทย์ คุณต่างหากที่ตาบอด”
“อะไรนะ ?”
“โลกนี้มีสายสัมพันธ์เพียงหนึ่งเดียว และนั่นคือความปรารถนาที่จะทะนุถนอม ปกป้อง และอดทนต่อกันและกัน ในโลกอันบ้าคลั่งนี้ที่พวกเราอาศัยอยู่ ความรู้สึกเหล่านี้ที่ทำให้พวกเราให้ความสำคัญต่อกันทั้งเครือญาติ ความรัก และมิตรภาพ มันไม่ใช่ความสั่นพ้องทางสายเลือดที่ทำให้ความสัมพันธ์เป็นเรื่องพิเศษ มันเป็นความรู้สึกที่เกิดจากความสัมพันธ์อีกทีต่างหาก !”
“ความบังเอิญ ? การสั่นพ้องทางสายเลือด ? อย่าทำให้ฉันหัวเราะเลย คุณอ้างว่าความรู้สึกที่พวกเรามีต่อกันนั้นตื้นเขิน แต่คนที่ละทิ้งครอบครัว เพื่อนฝูง และมนุษยชาติทั้งหมดอย่างคุณ ไม่มีคุณสมบัติที่จะมาตัดสินได้หรอก”
“!”
ใบหน้าของราชาจอมเวทย์บิดเบี้ยวจนดูไม่ได้ เขาจ้องไปที่โรเอลและพูดด้วยน้ำเสียงอันสั่นเทาด้วยความโกรธ
“เจ้าจะต้องชดใช้… สำหรับความเย่อหยิ่งนั้น !!”
เมื่อพริสเลย์พูดจบแรงกดดันมหาศาลที่ขู่ว่าจะจบชีวิตของคน ๆ หนึ่งลงก็ได้ถาโถมเข้ามาบดขยี้โรเอล
อย่างไรก็ตามโรเอลไม่ได้ตื่นตระหนกเมื่อต้องเผชิญหน้ากับอันตรายครั้งนี้ เขาเปิดขวดอย่างใจเย็นและเทของเหลวในนั้นลงในปาก ก่อนที่ของเหลวสีแดงซึ่งไหลลงคอของเขาจะทำการกระตุ้นเลือดของราชินีแม่มด
ความเจ็บปวดแสนสาหัสถาโถมเข้ามาใส่โรเอลในทันที เสียงที่ยากจะทน และฉากที่อธิบายไม่ได้ครอบงำจิตสำนึกของเขา ทิวทัศน์ของราชวังอันยิ่งใหญ่ สนามรบที่เปื้อนไปด้วยเลือด เทพเจ้าโบราณ และเทวรูปศักดิ์สิทธิ์ในเงามืด…
สิ่งเหล่านี้แวบเข้ามาในหัวของเขาอย่างรวดเร็ว ท่ามกลางความเจ็บปวดก่อนที่จะหยุดลงที่แม่มดผู้ยิ้มแย้มซึ่งนั่งอยู่หน้าโต๊ะน้ำชา
“แสดงคำตอบของเจ้าให้ข้าเห็นหน่อยสิ วีรบุรุษของข้า”
อาร์เทเชียพูดด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง
พลังสายเลือดของโรเอลเริ่มสั่นสะท้านด้วยความรุนแรง ร่างบาง ๆ ของหญิงสาวผมดำปรากฏอยู่ข้างหลังเขา จากนั้นเขาก็หันกลับไปแลกเปลี่ยนรอยยิ้มแห่งความเข้าใจซึ่งกันและกันกับเธอ ก่อนที่ทั้งสองจะหลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว
พริสเลย์จ้องมองโรเอลด้วยความประหลาดใจ พลังเวทย์ของเด็กหนุ่มพุ่งขึ้นไปบนท้องฟ้าอย่างรุนแรง ทำให้เกิดพายุขึ้นท่ามกลางเมฆสีเหลืองยามพลบค่ำ
“ราชาจอมเวทย์ ตัวฉันอาจจะยังไปไม่ถึง ระดับแก่นแท้ 3 แต่ ‘พวกเรา’ นั้นไปถึงแล้ว”
เขากล่าว
โรเอลโบกมือลง ควบคุมสายลมสีเหลืองให้พัดลงมาตามคำสั่งของเขา ปล่อยหายนะลงมาสู่พื้นโลก !!