ทรราชตัวน้อย ไม่อยากพบจุดจบแบบ BAD END 恶役少爷不想要破灭结局 - บทที่ 381 อำนาจของทวยเทพ
บทที่ 381: อำนาจของทวยเทพ
ภายในห้องประชุม ผู้คนสองกลุ่มรวมตัวกันรอบ ๆ โรเอลกับวิลเลียมยืนประจันหน้ากัน มีบรรยากาศอันตึงเครียดก่อขึ้นระหว่างพวกเขาทั้งสองฝ่าย
ไม่ไกลนักแอนโตนิโอมองดูความโกลาหลนี้อย่างเงียบ ๆ เหมือนเป็นเพียงผู้สังเกตการณ์ ไม่มีใครจับตามองมาที่เขา ราวกับว่าเขาได้กลายไปเป็นส่วนหนึ่งในของประกอบฉาก
โรเอลจ้องไปที่วิลเลียมและคนอื่น ๆ อย่างจดจ่อ พยายามใช้สมองเพื่อถอดรหัสเจตนาอันลึกลับของเทพธิดาแห่งโชคชะตา
ถ้าไม่ใช่เพราะคำแนะนำของเทพธิดาแห่งโชคชะตา เราคงจะกลับไปหาอลิเซีย รับประทานอาหารกลางวันกับเธอแล้วค่อยมาที่ห้องประชุมตัวคนเดียวแล้ว ซึ่งนั่นจะทำให้บริตตานี่ไม่สังเกตเห็นเกอรัล ที่ซ่อนอยู่ในหมู่นักเรียนคนอื่น ๆ หลายพันคน ถ้าเป็นเช่นนั้นพิธีประกาศครั้งนี้ก็จะจบลงอย่างสงบ
หลังจากนั้นเกอรัลก็คงจะทิ้งจดหมายอำลาเอาไว้ และพยายามหลบหนีกลับไปที่อาณาจักรแห่งภาคีอัศวินโดยไม่มีใครสังเกตเห็น แบบเดียวกับที่เขาทำในเกม
เชื่อยากจริง ๆ ว่าการเปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อยดังกล่าวสามารถกระตุ้นความแตกต่างอันใหญ่หลวงในผลลัพธ์ได้ถึงขนาดนี้ เหมือนกับการใส่เมนทอสเข้าไปในขวดโซดาโดยไม่ได้ตั้งใจ จนทำให้เกิดปฏิกิริยารุนแรงที่ไม่มีใครคาดคิด
ไม่ว่าจะในกรณีใด เกอรัลก็ไม่สามารถวิ่งหนีได้อีกต่อไปแล้ว ซึ่งช่วยให้โรเอลไม่ต้องเสียเวลาไปไล่ตามอีกฝ่ายทีหลัง ขณะเดียวกันการกระทำโดยประมาทของบริตตานี่เองก็ดูเหมือนจะทำให้ทั้งกลุ่มของอีกฝ่ายเปลี่ยนแผนเกี่ยวกับตัวโรเอลด้วยเช่นกัน
ในอดีตชาติของโรเอลมีทฤษฎีเกี่ยวกับการกระทำความผิด ที่เรียกกันว่าทฤษฎีหน้าต่างแตก มันตั้งทฤษฎีว่าการเห็นหลักฐานของการกระทำผิด จะสนับสนุนพฤติกรรมที่ก่อให้เกิดการกระทำผิดมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น ถนนที่เต็มไปด้วยขยะมูลฝอยก็อาจจะทำให้คนอื่นคิดว่ามันไม่ใช่เรื่องผิดที่จะทิ้งขยะลงบนถนนเส้นนั้น
เช่นเดียวกับกรณีนี้
การโจมตีด้วยโทสะของบริตตานี่ ล่อลวงให้เซลิน่าและจูเลียน่าต่อต้านการควบคุมของวิลเลียม เพื่อทำตามความตั้งใจของพวกเธอ และการกระทำข้างต้นก็ส่งผลให้นอร่ากับชาร์ล็อตต้องเข้ามาแทรกแซงในสถานการณ์
จนกลายเป็นสถานการณ์ที่ทั้งสองฝ่ายหยุดนิ่ง ยืนมองจ้องหน้ากันอย่างในปัจจุบัน
นี่ไม่ใช่สถานการณ์ที่โรเอลคาดเอาไว้ เขาไม่คิดว่าบริตตานี่จะกระวนกระวายใจถึงขนาดโจมตีเกอรัล กลางที่ประชุม ความประมาทของเธอทำให้สถานการณ์นี้ยุ่งยาก
ถ้าบริตตานี่เลือกที่จะโจมตีโรเอล เขาอาจจะทำเพียงหัวเราะว่านั่นเป็นแค่การแกล้งแหย่เล่นของอีกฝ่ายหลังจากที่ป้องกันการโจมตีไปได้ แล้วค่อยตกลงกับเธอ นั่นจะไม่ทำให้เกิดปัญหาใด ๆ เพราะมันก็แค่ทำให้ภาพลักษณ์ของเขาเป็นคนใจกว้าง
ปัญหาก็คือเหยื่อในที่นี้เป็นเกอรัล และมันไม่ใช่หน้าที่ของโรเอลที่จะตัดสินใจว่าเกอรัลควรให้อภัยอีกฝ่ายที่คิดจะทำร้ายร่างกายเขาหรือไม่ ยิ่งไปกว่านั้นโรเอลเองยังไม่สามารถแสดงท่าทีอ่อนข้อใด ๆ ได้อีกด้วย เนื่องจากเกอรัลเป็นผู้ใต้บังคับบัญชาของตนเอง ถ้าอ่อนข้อให้อีกฝ่ายเกินไป มันจะทำให้เขาดูอ่อนแอในสายตาคนอื่นที่ไม่สามารถปกป้องผู้คนของตนได้
โรเอลเหลือบมองเกอรัลที่กำลังสั่นเทาพลางมองกลับมาที่เขาราวกับว่าเป็นผู้กอบกู้ เขาพยักหน้าเพื่อสร้างความมั่นใจให้เกอรัล ก่อนจะลุกขึ้นยืนและมองไปยังกลุ่มของวิลเลียม
“ฝ่าบาทวิลเลียมและเทเรซา นี่ก็ผ่านไปพอสมควรแล้ว ตั้งแต่การพบกันครั้งล่าสุดของพวกเรา ต้องขอบคุณทั้งสองท่านมากที่ช่วยฉันไว้ที่แดนเหนือ ดังนั้นได้โปรดให้ฉันแสดงความขอบคุณอีกครั้งเถอะ”
โรเอลกล่าวด้วยน้ำเสียงเรียบ ๆ
“ไม่ได้เจอกันนานจริง ๆ คุณโรเอล แอสคาร์ด คุณไม่จำเป็นต้องขอบคุณพวกเราหรอก พวกเราแค่ทำในสิ่งที่ควรจะทำก็เท่านั้น”
‘สวัสดีโรเอล’
ทั้งวิลเลียมและเทเรซาต่างตอบรับคำทักทายของโรเอลอย่างใจเย็น การแลกเปลี่ยนคำทักทายของพวกเขาทำให้ทั้งนอร่าและชาร์ล็อตประหลาดใจ เพราะพวกเธอไม่รู้ว่าพวกเขาเคยพบกันที่เขตการปกครองของดยุกเอิร์ลโบรวล์ นักเรียนคนอื่น ๆ ที่มองจากด้านข้างของห้องประชุมเองก็ตกตะลึงเช่นกัน เพราะไม่คาดคิดว่าโรเอลจะรู้จักกับอีกฝ่าย
“เอ๋? พวกเขารู้จักกันงั้นเหรอ?”
ฝูงชนเริ่มซุบซิบนินทา ส่วนใหญ่ประหลาดใจกับความสัมพันธ์อันกว้างขวางของโรเอล ส่งผลให้บรรยากาศอันตึงเครียดบรรเทาลงเล็กน้อย
อย่างไรก็ตามโรเอลไม่ได้ลดความระมัดระวังลง เขาเหลือบมองไปยังเซลิน่าผู้กระหายเลือดและจูเลียน่าที่ยิ้มแย้มอย่างเจ้าเล่ห์ ก่อนที่เขาจะจ้องมองไปที่บริตตานี่ที่กำลังขมวดคิ้ว
“องค์ชายวิลเลียม ดูเหมือนว่าสหายของท่านจะตื่นเต้นเกินไปหน่อยนะ ตื่นเต้นจนทำให้สหายของฉันเข้าใจเจตนาของสหายฝ่าบาทผิดไป ฉันไม่คิดว่าอาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์จะตั้งใจให้ที่นี่เกิดความวุ่นวายหรอก ใช่รึเปล่าฝ่าบาท?”
“อย่างที่คุณพูด นี่ไม่ใช่ความตั้งใจของพวกเราที่จะก่อความวุ่นวายที่นี่ ต้องขอโทษอย่างสุดซึ้งสำหรับความโกลาหลก่อนหน้านี้”
วิลเลียมตอบอย่างสุภาพ
โรเอลถอนหายใจด้วยความโล่งอกเมื่อได้ยินคำพูดนั้น ทันใดนั้นวิลเลียมก็หันไปมองนอร่ากับชาร์ล็อตก่อนจะพูดด้วยน้ำเสียงคุกคามอย่างไม่เป็นมิตร
“…แต่ฉันเกรงว่า ฉันคงจะมองเรื่องของอำนาจต่างไปจากสหายทั้งสองคนของคุณ”
“ว่ายังไงนะ?”
ทั้งนอร่าและชาร์ล็อตต่างขมวดคิ้วกับการยั่วยุอย่างกะทันหันของวิลเลียม เทเรซาหันไปมองวิลเลียมด้วยความตกใจ ทว่าวิลเลียมก็ยังคงพูดต่อโดยที่ยังมีทุกสายตาจับจ้อง
“พวกคุณอาจเคยได้ยินมาว่าอาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์เคารพเพียงผู้แข็งแกร่ง แม้ตอนนี้พวกเราจะอยู่ในอาณาจักรต่างแดน แต่พวกเราก็ไม่คิดที่จะก้มหัวให้กับคนที่อ่อนแอกว่า นี่เป็นธรรมเนียมของพวกเราที่จะเคารพเฉพาะผู้ที่พิสูจน์ความแข็งแกร่งของตัวเองออกมา”
“โอ้? เจ้ากำลังพูดว่าพวกเราอ่อนแอและไม่คู่ควรต่อความเคารพของพวกเจ้างั้นเหรอ?”
“ฉันไม่สามารถตัดสินเรื่องนั้นได้ หากปราศจากการประมือ”
“เจ้าต้องการท้าทายพวกเราในการต่อสู้งั้นเหรอ?”
การประกาศที่คาดไม่ถึงของวิลเลียมว่าจะไม่เคารพอำนาจของผู้ถือแหวนนั้น ทำให้ทั้งห้องประชุมเกิดความโกลาหลครั้งใหญ่
นอร่าก้าวไปข้างหน้าและถามเธอด้วยรอยยิ้มอันยั่วยุ ขณะที่ชาร์ล็อตเตรียมเอื้อมมือไปหยิบขวดที่บรรจุวิญญาณทองคำออกมา
ทางด้านโรเอล... เขาจ้องไปที่วิลเลียมพร้อมขมวดคิ้ว เด็กหนุ่มไม่เข้าใจเลยว่าทำไมจู่ ๆ อีกฝ่ายถึงต้องการจะเผชิญหน้ากับนอร่าและชาร์ล็อต ฝูงชนส่วนใหญ่ต่างรอคอยอย่างใจจดใจจ่อเพื่อดูว่าวิลเลียมจะตอบสนองอย่างไร
อย่างไรก็ตามมีพวกเขาคนหนึ่งที่พยายามกดขี่จิตวิญญาณในการต่อสู้ของตัวเองมาโดยตลอด และไม่สามารถรอได้อีกต่อไปแล้ว
“คุยเสร็จแล้วใช่ไหม? เลิกพูดจาไร้สาระแล้วสู้กันได้แล้ว!”
“เดี๋ยวก่อนเซลิน่า!”
“ฉันรอมานานพอแล้วน่า!”
ด้วยแววตาอันเฉียบคม เซลิน่าหันไปมองนอร่า ผู้ซึ่งมีพลังเวทย์รุนแรงที่สุดและเริ่มรีดเค้นพลังเวทย์จำนวนมากออกมา
ในฐานะนักรบที่ใช้เวลาทั้งวันไปกับการต่อสู้และเข่นฆ่า ดวงตาของเซลิน่าเพ่งเล็งไปยังคู่ต่อสู้ที่แข็งแกร่งที่สุดเสมอ ซึ่งในความเห็นของเธอ ไม่น่าจะใช่ใครอื่นนอกเสียจากนอร่า อย่างไรก็ตามก่อนที่เธอจะโจมตีได้ ก็รู้สึกได้ถึงแรงกดดันมหาศาล พร้อมกับเจตนาอันเยือกเย็นที่แทรกซึมเข้าไปถึงกระดูก
ก่อนที่ความขัดแย้งที่รุนแรงจะปะทุ โรเอลได้ปล่อยพลังเวทย์ของตนออกมาเช่นกัน พลังเวทย์ของเด็กหนุ่มปะทุขึ้นอย่างรวดเร็ว แซงหน้าแม้กระทั่งของนอร่า ทำให้ทุกคนหันมามองเขาด้วยความตกใจ
เซลิน่าหันความสนใจไปที่โรเอลโดยสัญชาตญาณ ตกตะลึงกับพลังเวทย์อันทรงพลังของเขา ขณะที่เธอจ้องมองไปยังโรเอล อีกฝ่ายก็หันมามองเธออย่างจริงจังด้วยเช่นกัน
ทันทีที่ดวงตาสีทองคู่นั้นจับจ้องไปที่ร่างของเซลิน่า ภาพหลายภาพก็ปรากฏขึ้น กระตุ้นสัญชาตญาณดุจสัตว์ร้ายอันเฉียบแหลมของเธอให้ตื่นกลัวจนถึงที่สุด
ราวกับว่าสายสัมพันธ์ของเธอกับโลกภายนอกหายไป และรู้สึกเหมือนตัวเองตกลงไปในโลกแห่งความมืดมิด ที่มีตัวตนอันสูงส่งทั้งสามจ้องมองเธอจากความมืด
ตัวตนผู้ทรงอำนาจเปี่ยมไปด้วยพลัง ตัวตนอันศักดิ์สิทธิ์ที่ไม่อาจขัดขืน ตัวตนอันเย็นชาเปี่ยมไปด้วยความหยั่งรู้ ภายใต้การจ้องมองของตัวตนทั้งสามนี้ เซลิน่าที่เป็นผู้มีพลังเหนือธรรมชาติระดับแก่นแท้ 4 รู้สึกราวกับว่าตนเป็นเพียงมดที่ตะเกียกตะกายอยู่บนพื้น
รัศมีศักดิ์สิทธิ์อันน่าเกรงขามหายไปในพริบตา แต่ภาพเงาทั้งสามนั้นก็ยังถูกตราตรึงอยู่ในจิตใจของผู้ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง โครงกระดูกยักษ์สูงตระหง่าน งูขนาดมหึมา และแม่มดผู้เจ้าเล่ห์
เหล่านักเรียนจากอาณาจักรแห่งภาคีอัศวินเพนเดอร์ต่างแข็งทื่อไปตาม ๆ กันเมื่อได้เห็นตัวตนอันสูงส่งทั้งสาม ด้วยพลังทางสายเลือดที่เป็นเอกลักษณ์ของพวกเขา ทำให้เข้าใจมันได้ในทันที
พวกเขายืนอยู่ต่อหน้าเด็กหนุ่มผู้หนึ่งซึ่งได้รับการปกป้องจากเหล่าทวยเทพ ใครก็ตามที่กล้าเสี่ยงโชคกับอีกฝ่ายจะต้องเผชิญกับการลงทัณฑ์จากสวรรค์
“พอแค่นี้กันก่อนดีกว่า”
ทันใดนั้นเองแอนโตนิโอซึ่งยืนนิ่งอยู่บนเวทีอย่างเงียบ ๆ มาโดยตลอด ก็พูดขึ้นขัดจังหวะ ปากยิ้มให้เด็กหนุ่มที่หันมามองเขา ก่อนที่ใครจะรู้ตัววิลเลียมและคนอื่น ๆ ก็หายตัวไปและปรากฏตัวขึ้นที่ข้างบนเวทีอีกครั้ง
“นี่มัน!!!”
“คาถาเวทย์ห้วงมิติ? ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?”
กลุ่มของวิลเลียมต่างตกตะลึงกับการใช้คาถาเวทย์ห้วงมิติอันรวดเร็วจนแทบจะมองไม่เห็น ทุกคนหันมามองแอนโตนิโอด้วยความกลัวและยำเกรงผสมกัน ไม่ว่าในกรณีใด พวกเขาดีใจที่ระยะห่างระหว่างกลุ่มตนกับเด็กหนุ่มผู้ที่ได้รับการคุ้มครองโดยเทพเจ้าโบราณนั้นเพิ่มขึ้น ทำให้บางคนถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอก
“เหล่านักเรียนที่เดินทางมาไกลเพื่อมาร่วมกับเรา ข้าเข้าใจดีว่าการเปลี่ยนแปลงทางสิ่งแวดล้อมไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำความคุ้นเคย ความแตกต่างในวัฒนธรรมมีแนวโน้มที่จะส่งผลให้เกิดความขัดแย้ง แต่ข้าขอให้พวกเจ้าใส่ใจเวลา โอกาส และที่สำคัญที่สุดคือกฎของสถาบันการศึกษาแห่งนี้”
“สถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า ห้ามไม่ให้มีการต่อสู้แบบประจัญบานในหมู่นักเรียนอย่างเคร่งครัด เราสนับสนุนให้นักเรียนแก้ไขข้อขัดแย้งด้วยคำพูด หากพวกเจ้าต้องที่จะต่อสู้ ลานประลองของสถาบันคือที่ที่พวกเจ้าควรไป และถ้าหากพวกเจ้าแสวงหาอะไรที่มากกว่านั้น พวกเราก็มีเวทีอันยิ่งใหญ่ที่กำลังจะจัดขึ้นในปีนี้ นั่นก็คือศึกชิงถ้วย”
ดวงตาของแอนโตนิโอล่องลอยไปทางโรเอล ราวกับเป็นการบอกใบ้ คำพูดของเขากระตุ้นความตื่นเต้นของเหล่านักเรียนขึ้นอีกครั้ง
“ข้าเชื่อเสมอว่าการแข่งขันเป็นแรงกระตุ้นอันทรงพลังที่จะผลักดันให้บุคคลคนหนึ่งไปถึงศักยภาพสูงสุด จงมองสหายของพวกเจ้าเป็นคู่แข่ง และพยายามอย่างหนักเพื่อเอาชนะพวกเขา หากทำเช่นนั้นแล้ว… แม้แต่นักเรียนชั้นปีที่ 1 ของสถาบันการศึกษาเซนต์เฟรย่า ก็ไม่น่าจะมีปัญหาในการทำบางสิ่งให้สำเร็จในศึกชิงถ้วย”
“ข้าตั้งตารอผลงานของพวกเจ้าทุกคนในงานประลอง ข้าขอสรุปการประชุมในวันนี้เพียงเท่านี้”
บางทีอาจเป็นเพราะแอนโตนิโอสัมผัสได้ถึงสภาพจิตใจที่ผิดธรรมชาติของพวกวิลเลียม เขาจึงกล่าวสุนทรพจน์ที่สร้างแรงบันดาลใจอย่างรวดเร็วก่อนสรุปการประชุม
ทันทีที่แอนโตนิโอเดินลงมาจากเวที เหล่านักเรียนก็ปล่อยความตื่นเต้นที่เดือดพล่านอยู่ภายในตัว โห่ร้องออกมาด้วยเสียงที่ดังสนั่น สมาชิกของฝ่ายกุหลาบทั้งสามสี ต่างรีบเข้าไปที่ด้านข้างของโรเอล นอร่า และชาร์ล็อต
บนเวที วิลเลียมและคนอื่น ๆ ไม่ได้แสดงความเย่อหยิ่งในสายตาอีกต่อไป พวกเขาเพียงแต่มองไปที่โรเอล ซึ่งรายล้อมไปด้วยฝูงชนจำนวนมาก ก่อนจะจากไปอย่างเงียบ ๆ