ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 1359 เผ่าวิญญาณ (1) / ตอนที่ 1360 เผ่าวิญญาณ (2)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 1359 เผ่าวิญญาณ (1) / ตอนที่ 1360 เผ่าวิญญาณ (2)
ตอนที่ 1359 เผ่าวิญญาณ (1) / ตอนที่ 1360 เผ่าวิญญาณ (2)
ตอนที่ 1359 เผ่าวิญญาณ (1)
ตอนที่ 1359 เผ่าวิญญาณ (1)
ภูเขาเงิน ภูเขาทอง เป็นอย่างไร!
พวกเขาได้เห็นกับตาแล้ว!
เยี่ยกูนอนอยู่บนพื้น เขาไม่กล้ามองจวินอู๋เย่านานเกินไป และไม่กล้ามองเยี่ยซากับเยี่ยเม่ยมากเกินไปด้วย ได้แต่มองเจ้างี่เง่าเฉียวฉู่ทำตัวเหมือนคนบ้านนอกเข้ากรุง ปากอ้าตาค้าง จ้องมองอย่างโง่ๆ ไปที่ห้องโถงที่เต็มไปด้วยสมบัติ
ชิ! พวกปัญญาอ่อนกลุ่มนี้มาจากไหน ทำไมถึงติดตามนายท่านมาได้!
ในใจของเขาเต็มไปด้วยคำถามมากมายไม่สิ้นสุด แต่เยี่ยกูทำได้แค่นอนอยู่บนพื้นและแสร้งทำเป็นอ่อนแรง
ยากมากกว่าเฉียวฉู่จะละสายตาออกจากสมบัติทั้งหมดนั้นได้ และหันมาเห็นเยี่ยกูที่นอนแสร้งทำสีหน้าเกลียดชังอยู่บนพื้น ทำให้เฉียวฉู่รู้สึกประหลาดใจมาก
“ผู้พิทักษ์สุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิ ที่แท้ก็เป็นเจ้าหนูตัวเล็กๆ แบบนี้! คนจากดินแดนเทพมารคิดอะไรอยู่กันเนี่ย”
พอเฉียวฉู่พูดคำพวกนั้นออกมา เยี่ยซากับเยี่ยเม่ยก็เหงื่อออกชุ่มหลังทันที
เยี่ยกูไม่ใช่คนที่มีปัญหาอะไรนักหรอก แต่สิ่งที่เขาเกลียดมากที่สุดก็คือถูกคนอื่นพูดว่าเขา ‘ตัวเล็ก’!
ด้วยเหตุนี้ ตอนที่อยู่ในกองทัพราตรี เขาจึงกระทืบคนไปไม่น้อย
คำพูดที่ไม่ได้ใส่ใจของเฉียวฉู่ไปโดนจุดระเบิดของเยี่ยกูเข้าโดยบังเอิญ ทั้งสองคนจึงหันไปมองเยี่ยกูในทันทีอย่างพร้อมเพรียงกัน
อย่างที่คาด ใบหน้าของเยี่ยกูถมึงทึงขึ้นทันที
ทั้งสองคนสบตากัน แล้วกระโจนเข้าหาเยี่ยกูพร้อมกัน คนหนึ่งซ้าย คนหนึ่งขวา ช่วยกันจับเยี่ยกูเอาไว้แน่น
เฉียวฉู่มองการกระทำของเยี่ยซาและเยี่ยเม่ยแบบมึนๆ ซื่อบื้อเกินกว่าจะรับรู้อะไร แค่คิดว่ามันแปลกๆ เท่านั้น เขาถามอย่างโง่งมว่า “พี่เยี่ยซา พี่เยี่ยเม่ย เจ้าหนูตัวเล็กนี่น่าจะบาดเจ็บหนักอยู่ พวกท่านจำเป็นต้องระวังเขามากขนาดนั้นเลยหรือ”
เยี่ยเม่ยเกือบร้องไห้แล้ว แต่เขาต้องทำหน้านิ่งและฝืนยิ้มแข็งๆ ให้เฉียวฉู่ “อย่างไรเสียก็เป็นคนของดินแดนเทพมาร ระวังไว้หน่อยจะดีกว่า”
ในเวลาเดียวกัน เยี่ยซาก็กระซิบที่ข้างหูเยี่ยกูว่า “หัวหน้า! ใจเย็นๆ!”
“ใจเย็นบ้านมารดามันสิ! ไอ้เด็กโง่นี่มันโผล่มาจากหินก้อนไหนกัน ขนยังขึ้นไม่หมดก็รนหาที่ตาย! ถ้าข้าไม่สับมันเป็นชิ้นๆ ข้าก็ไม่ใช่เยี่ยกู…” เยี่ยกูระเบิดออกมาในทันที
เยี่ยซาและเยี่ยเม่ยพยายามรั้งเยี่ยกูเอาไว้อย่างเต็มที่ แต่พลังของทั้งสองคนรวมกันยังไม่พอจะยับยั้งเยี่ยกูเอาไว้ได้ ขณะที่ทั้งสองคนกำลังจะถูกเยี่ยกูเหวี่ยงออกไปนั้น จวินอู๋เย่าก็ชะงักฝีเท้าในทันที เขาอุ้มจวินอู๋เสียเอาไว้ และหันหน้ามาเล็กน้อย ดวงตาที่หรี่ลงครึ่งๆ ของเขามองผ่านร่างของเยี่ยกูไปแวบหนึ่ง
เยี่ยกูสงบลงในทันที
เยี่ยซาและเยี่ยเม่ยลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก ในโลกนี้ คนที่ควบคุมเยี่ยกูได้มีเพียงจวินอู๋เย่าคนเดียวเท่านั้น
ขณะที่เยี่ยซาและเยี่ยเม่ยกำลังถอนหายใจอย่างโล่งอกอยู่นั้นเอง จู่ๆ ก็มีร่างหนึ่งเดินเข้ามายืนตรงหน้าทั้งสองคน
พูดให้ถูกต้อง ร่างนั้นมายืนตรงหน้าเยี่ยกูต่างหาก
เยี่ยกูกำลังกลั้นโทสะเอาไว้ ทันใดนั้นเขาก็เห็นผู้เยาว์ที่หน้าตาหล่อเหลาปรากฏขึ้นตรงหน้า จึงขมวดคิ้วเข้าหากันโดยไม่ได้ตั้งใจ
หรงรั่วมองเยี่ยกูที่สวมหน้ากากครึ่งหน้า แล้วดวงตาของนางสั่นไหว ริมฝีปากสั่นเล็กน้อย นางจ้องเขม็งไปที่ใบหน้าของเยี่ยกู ร่างกายของนางแข็งทื่อเล็กน้อย
“เสี่ยวรั่ว” เฟยเยียนเรียกขณะที่เข้ามายืนอยู่ข้างๆ หรงรั่ว เขาจับปฏิกิริยาแปลกๆ จากหรงรั่วได้อย่างรวดเร็ว
หรงรั่วไม่ตอบเฟยเยียน นางเอาแต่มองเยี่ยกูอยู่อย่างนั้น และถามขึ้นด้วยเสียงหดหู่ว่า “ท่านคือ…คนเผ่าวิญญาณใช่หรือไม่”
เยี่ยกูชะงักเล็กน้อยกับคำถามนั้น เขาหันไปมองหรงรั่ว แล้วทันใดนั้นเอง ก็มีร่องรอยความประหลาดใจปรากฏขึ้นในแววตาของเขา
“เผ่าวิญญาณ เสี่ยวรั่ว เจ้าบอกว่าเขาเป็นคนของเผ่าวิญญาณอย่างนั้นหรือ” เฟยเยียนถามด้วยความสงสัย
ตอนที่ 1360 เผ่าวิญญาณ (2)
สำหรับคนในสามโลกชั้นกลาง คำว่า ‘เผ่าวิญญาณ’ ไม่ใช่คำที่แปลกใหม่เลย พวกเขาเป็นเผ่าที่ลึกลับและแข็งแกร่ง แต่พลังที่แข็งแกร่งนั้นได้นำหายนะมาสู่พวกเขา ไม่รู้ว่าเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไร แต่คนของเผ่าวิญญาณลดจำนวนลงอย่างมาก และในช่วงหลายร้อยปีที่ผ่านมา เผ่าวิญญาณได้หายไปจากสามโลกชั้นกลางโดยสิ้นเชิง และไม่พบร่องรอยของพวกเขาอีกต่อไป
ทุกคนคิดว่าเผ่าวิญญาณถูกกำจัดไปจนหมดสิ้นแล้ว
แต่ตำนานของเผ่าวิญญาณไม่เคยหายไป
“ไม่ผิดแน่ หน้ากากนี่คือสมบัติของเผ่าวิญญาณ ชื่อว่าหน้ากากผูกวิญญาณ” หรงรั่วกลืนน้ำลาย หลังจากตั้งสติได้นางก็พูดต่อว่า “ว่ากันว่า คนของเผ่าวิญญาณเกิดมาพร้อมกับวิญญาณสองดวงในร่างเดียว ดวงหนึ่งเป็นวิญญาณหลัก อีกดวงหนึ่งเป็นวิญญาณรองคอยสนับสนุน วิญญาณคู่แข็งแรงที่สุดในทารกแรกเกิดของเผ่าวิญญาณ แต่เมื่อเวลาผ่านไป พวกเขาโตขึ้น การมีวิญญาณสองดวงในร่างเดียวจะทำให้พวกเขาอ่อนแอลงเรื่อยๆ วิญญาณหลักจะค่อยๆ ลดทอนและทำให้พลังของวิญญาณรองเสื่อมสภาพลง พอเติบโตเต็มที่ วิญญาณรองก็จะหายไปอย่างสมบูรณ์”
คนที่มีพลังแข็งแกร่งที่สุดในเผ่าวิญญาณไม่ใช่ผู้ใหญ่ แต่เป็นเด็กที่ยังไม่โตเต็มที่
ยิ่งอายุน้อย พลังของวิญญาณสองดวงก็ยิ่งเสถียร พลังอันมหาศาลที่วิญญาณสองดวงมอบให้ ไม่ใช่สิ่งที่เผ่าอื่นจะสามารถเปรียบเทียบได้
แต่เมื่ออายุมากขึ้น พรสวรรค์แต่กำเนิดนี้ก็จะค่อยๆ อ่อนแอลงจนกระทั่งพวกเขาโตเป็นผู้ใหญ่ วิญญาณรองก็จะถูกวิญญาณหลักดูดกลืนอย่างสมบูรณ์
ยิ่งไปกว่านั้น ในวิญญาณสองดวงของคนเผ่าวิญญาณ ดวงหนึ่งจะเป็นหยิน และอีกดวงจะเป็นหยาง และเพศก็จะแตกต่างไปตามคุณสมบัติของวิญญาณหลักด้วย
“หน้ากากผูกวิญญาณ มันคืออะไร” เฟยเยียนไม่รู้เรื่องเกี่ยวกับเผ่าวิญญาณมากนัก
หรงรั่วไม่ตอบ นางแค่จ้องไปยังหน้ากากโลหะบนหน้าของเยี่ยกู
“หน้ากากผูกวิญญาณ เป็นสมบัติของเผ่าวิญญาณที่ใช้เก็บรักษาจิตวิญญาณสองดวงไว้ในร่างกาย” ทันใดนั้นเสียงของฟ่านจัวก็ดังขึ้น เขาเดินไปยืนข้างๆ หรงรั่วกับเฟยเยียน และมองเยี่ยกูที่เอาแต่นิ่งเงียบมาตลอด
“การที่เผ่าวิญญาณจะรักษาพลังอันมหาศาลของพวกเขาเอาไว้ได้ พวกเขาจะต้องทำให้แน่ใจว่าวิญญาณคู่ของพวกเขายังคงอยู่ครบสมบูรณ์ หน้ากากผูกวิญญาณเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ตอบสนองความต้องการนั้น ลือกันว่าหัวหน้าที่ถูกเลือกทุกคนของเผ่าวิญญาณจะสวมหน้ากากผูกวิญญาณนี้ตั้งแต่เด็ก เมื่อสวมหน้ากากผูกวิญญาณแล้ว ก็จะไม่สามารถถอดออกได้ เว้นแต่ว่าผู้สวมจะตาย มันก็จะหลุดออกมา หลังจากสวมหน้ากากผูกวิญญาณแล้ว วิญญาณทั้งสองดวงก็จะไม่หายไปและยังอยู่ครบถ้วนสมบูรณ์ แต่ในขณะเดียวกัน ใบหน้าและร่างกายของผู้สวมก็จะไม่โตขึ้นอีก ร่างกายของพวกเขาจะเป็นเหมือนวิญญาณสองดวงของพวกเขา ถูกหน้ากากผูกวิญญาณพันธนาการเอาไว้ ไม่มีวันเปลี่ยนแปลงไปตลอดชีวิต”
หัวหน้าทุกคนที่ได้รับเลือกจากในเผ่าวิญญาณ เพื่อรักษาพลังอันยิ่งใหญ่ไว้เพื่อปกป้องคนของเขา จึงสวมหน้ากากผูกวิญญาณ สละร่างของตนเองเพื่อให้ได้มาซึ่งความแข็งแกร่งนั้น แต่ไม่รู้ว่าหน้ากากผูกวิญญาณได้หายไปจากเผ่าวิญญาณตั้งแต่เมื่อไร การที่หน้ากากผูกวิญญาณหายไป ทำให้เผ่าวิญญาณตกต่ำลง
จนกระทั่งหายไปจากสามโลกชั้นกลางจนหมดสิ้น
“ว่ากันว่า หัวหน้าคนสุดท้ายของเผ่าวิญญาณที่สวมหน้ากากผูกวิญญาณ คือผู้ก่อตั้งตำหนักหวนจิต แต่ความขัดแย้งภายในตำหนักหวนจิตทำให้คนของเผ่าวิญญาณถูกขับไล่ออกจากที่นั่น และหัวหน้าคนนั้นก็หายตัวไปนับตั้งแต่นั้นเป็นต้นมา บางคนบอกว่าเขาถูกประมุขคนปัจจุบันของตำหนักหวนจิตฆ่าตายไปแล้ว บางคนก็บอกว่าเขาได้นำคนของเขาจากเผ่าวิญญาณไปอยู่อย่างสันโดษในป่าเพื่อหลบหนีการถูกก่อกวนข่มเหง…” ฟ่านจัวพูด จากนั้นเขาก็ลังเล และหันไปมองเยี่ยกูครู่หนึ่งก่อนจะพูดต่อว่า
“แต่ข่าวลือก็เชื่อถือไม่ได้ และไม่มีใครรู้ว่าจริงๆ แล้วเกิดอะไรขึ้นในตอนนั้น ถ้าข้าเดาไม่ผิด ท่านคงเป็นหัวหน้าของเผ่าวิญญาณ ผู้ก่อตั้งตำหนักหวนจิตในตอนนั้นใช่หรือไม่”