ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 1513 ปลาติดเบ็ดแล้ว (3) / ตอนที่ 1514 รวมตัว (1)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 1513 ปลาติดเบ็ดแล้ว (3) / ตอนที่ 1514 รวมตัว (1)
จวินอู๋เสียเปิดเผยเบาะแสสามอย่างให้กับสิบสองตำหนัก
หนึ่ง การเสริมวิญญาณเป็นเอกสิทธิ์เฉพาะของเผ่าจ้าววิญญาณ
สอง เผ่าจ้าววิญญาณไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกและยากจะค้นหา
สาม นางไม่ได้มีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่นๆ ในเผ่า
สามจุดนี้เพียงพอที่จะทำให้สิบสองตำหนักเข้าใจว่าจวินอู๋เสียเป็นเพียงคนเดียวที่สามารถใช้ทักษะเสริมวิญญาณได้ ก่อนที่สิบสองตำหนักจะพบคนอื่นๆ จากเผ่าจ้าววิญญาณ พวกเขาจะพึ่งได้แค่จวินอู๋เสียเพื่อจะได้รับพลังจากทักษะเสริมวิญญาณ
และทั้งสามอย่างนี้ล้วนเป็นคำโกหกที่จวินอู๋เสียสร้างขึ้น
เพื่อที่จะทำให้สิบสองตำหนักไม่อยากทำร้ายนางเพราะกลัวว่าจะสูญเสียพลังนั้นไป
นางไม่กลัวว่าคำโกหกของนางจะถูกเปิดโปง นอกจากตัวนางเองแล้ว ไม่มีใครรู้วิธีใช้การเสริมวิญญาณอีก นั่นคือเบี้ยต่อรองที่ใหญ่ที่สุดของนางที่จะใช้กับพวกเขา!
บุรุษคล้ายสุนัขจิ้งจอกมองจวินอู๋เสียอย่างเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หลังจากเงียบอยู่ครู่หนึ่ง เขาก็พูดขึ้นว่า “นี่เป็นตัวอย่างที่ดีของเด็กหนุ่มเลือดร้อนจริงๆ ดีแล้วที่เจ้าคิดเช่นนี้ โลกเป็นสถานที่ที่กว้างใหญ่ ความทะเยอะทะยานของผู้ยิ่งใหญ่ก็มีอยู่ทั่วทุกหนแห่ง การเสริมวิญญาณของเผ่าจ้าววิญญาณนี้เป็นสิ่งที่ยอดเยี่ยมมาก การครอบครองมันจะทำให้เจ้าได้ผลตอบแทนที่ดีอย่างแน่นอน เจ้าตัดสินใจถูกต้องแล้ว ข้าเชื่อว่าเจ้าจะได้รับรางวัลที่ดีขึ้นไปอีกจากงานชุมนุมเทพยุทธ์ครั้งนี้”
จวินอู๋เสียมองเขาโดยไม่พูดอะไร
“สายแล้ว เจ้าควรกลับไปพักผ่อนเสีย ข้ารอคอยการแสดงของเจ้าในวันข้างหน้าในงานชุมนุมเทพยุทธ์นี้นะ หวังว่าเจ้าจะแสดงความสามารถที่น่าทึ่งกว่านี้ให้เราได้ชม” บุรุษคล้ายสุนัขจิ้งจอกพูดยิ้มๆ
จวินอู๋เสียมองบุรุษคล้ายสุนัขจิ้งจอกและถามว่า “เจ้ามาจากตำหนักไหนหรือ”
บุรุษคล้ายสุนัขจิ้งจอกชะงักไป เห็นได้ชัดว่าเขาไม่คาดคิดว่าจวินอู๋เสียจะไม่รู้จริงๆ ว่าเขามาจากไหน เขาก้มหน้ามองตราหมาป่าสีเงินที่หน้าอกของเขา “เจ้าไม่รู้จักตรานี้หรือ”
จวินอู๋เสียส่ายหน้า
บุรุษคล้ายสุนัขจิ้งจอกหัวเราะออกมาดังๆ “เอาล่ะ ข้าเชื่อแล้วว่าเผ่าจ้าววิญญาณเป็นเผ่าที่ไม่ยุ่งเกี่ยวกับโลกภายนอกจริงๆ ข้าไม่ใช่คนของสิบสองตำหนักหรอก ข้าชื่อซูจิ่งเหยียน”
ไม่ใช่คนของสิบสองตำหนัก
หรือว่า…เป็นคนของเก้าวัง
ในที่สุดจวินอู๋เสียก็เข้าใจว่าทำไมคนจำนวนมากจากสิบสองตำหนักที่ตามหลังนางมาจึงไม่แสดงตัวออกมา
สิบสองตำหนักอยากจะต่อต้านเก้าวัง แต่ในตอนนี้เก้าวังยังคงกดสิบสองตำหนักไว้อยู่ พูดกันตามจริงแล้ว เก้าวังอยู่ในระดับที่เหนือกว่าสิบสองตำหนัก
“ข้าจะจำไว้” พูดจบจวินอู๋เสียก็หันหลังกลับและเดินจากไปทันทีพร้อมกับเจ้าแมวดำในอ้อมแขน
หลังจากที่จวินอู๋เสียก้าวออกไปเพียงไม่กี่ก้าว รอยยิ้มใจดีบนใบหน้าของซูจิ่งเหยียนไม่ได้จางหายไป ดวงตาของเขากวาดมองไปรอบๆ บริเวณแล้วพูดขึ้นว่า “ข้าหวังว่าพวกเจ้าทุกคนจะไม่ลืมกฎของงานชุมนุมเทพยุทธ์ ก่อนที่งานจะจบลง สิ่งเดียวที่พวกเจ้าทำได้คือเฝ้าดูและสังเกตการณ์”
จวินอู๋เสียได้ยินคำพูดของซูจิ่งเหยียน แต่ฝีเท้าของนางไม่ได้ช้าลงเลย
เพราะคำพูดทั้งหมดนี้ไม่ได้พุ่งเป้ามาที่นาง แต่ตั้งใจให้คนที่ซ่อนตัวอยู่ในเงามืดได้ยิน พวกคนจากสิบสองตำหนักที่ตามจวินอู๋เสียมา!
บนถนนเงียบกริบ มีเพียงซูจิ่งเหยียนที่ยืนมองจวินอู๋เสียเดินจากไป เสียงสายลมพัดผ่านไปอย่างเงียบๆ
ทันใดนั้นจวินอู๋เสียก็รู้สึกว่าคนจำนวนมากที่ตามนางมาได้ถอยห่างไปอย่างรวดเร็ว
ดูเหมือนว่า…
เก้าวังจะกำราบสิบสองตำหนักเอาไว้ได้ดีทีเดียว
จวินอู๋เสียลดสายตาลง ฝีเท้าก้าวไปอย่างมั่นคง
กฎของงานชุมนุมเทพยุทธ์ถูกกำหนดโดยสิบสองตำหนักและเก้าวัง มันตั้งเอาไว้ว่าก่อนที่งานชุมนุมเทพยุทธ์จะจบลง สมาชิกทุกคนของสิบสองตำหนักและเก้าวังจะต้องเฝ้าดูและสังเกตการณ์เท่านั้น เพื่อตัดสินศักยภาพของผู้เยาว์ทุกคน ถ้าคนที่พวกเขาจับตามองยังไม่ถูกคัดออกจากการแข่งขัน พวกเขาก็ทำได้แค่เฝ้าดูต่อไปจนกว่างานชุมนุมจะจบลง พวกเขาจึงจะสามารถไปชักชวนเหล่าผู้เยาว์ที่พวกเขาเลือกไว้ได้
หลังจากนั้น ก็จะปล่อยให้คนที่ได้รับเลือกเป็นผู้เลือกว่าพวกเขาอยากจะสวามิภักดิ์ต่อใคร
ตอนที่ 1514 รวมตัว (1)
หลังจากนั้น ก็จะปล่อยให้คนที่ได้รับเลือกเป็นผู้เลือกว่าพวกเขาอยากจะสวามิภักดิ์ต่อใคร
เมื่อจวินอู๋เสียกลับไปที่โรงเตี๊ยม เยี่ยซาและเยี่ยกูก็ปรากฏตัวออกมาทันที
“หลังจากคุณหนูใหญ่ออกจากสนามแข่ง สิบสองตำหนักก็ส่งคนมาติดตามท่าน แต่ทุกคนก็โดนซูจิ่งเหยียนไล่กลับไปหมด” เยี่ยซารายงาน
ซูจิ่งเหยียนบอกว่าเขาไม่ได้มาจากสิบสองตำหนัก เช่นนั้นเขามาจากเก้าวังอย่างนั้นหรือ” จวินอู๋เสียเอามือข้างหนึ่งเท้าคางมองเยี่ยซาอย่างสงสัย
เยี่ยซาพยักหน้า “ตราบนหน้าอกของซูจิ่งเหยียนเป็นสัญลักษณ์ของวังหมาป่าสวรรค์ หนึ่งในเก้าวัง”
“วังหมาป่าสวรรค์” จวินอู๋เสียพูดพลางหรี่ตาลง
“งานชุมนุมเทพยุทธ์ครั้งนี้ สิบสองตำหนักเป็นฝ่ายเสนอให้จัดขึ้นมา เก้าวังเป็นเพียงผู้ชมเท่านั้น พวกเขาจะเข้าร่วมแต่จะไม่เลือกผู้มีพรสวรรค์คนไหน อันที่จริงข้าได้ตรวจสอบมาแล้วและพบว่าเก้าวังไม่ได้เลือกผู้สมัครคนใดจากงานชุมนุมเทพยุทธ์เมื่อครั้งก่อนๆ เลย ดูเหมือนจะมอบสิทธิ์ในการเลือกให้กับสิบสองตำหนักไปทั้งหมด” เยี่ยซารายงานข่าวที่เขารวบรวมมาได้ให้จวินอู๋เสีย
จวินอู๋เสียหรี่ตาลงเล็กน้อย
สิบสองตำหนักกำลังต่อสู้เพื่อให้ตัวเองมีอำนาจมากขึ้น และกำลังเพิ่มอำนาจของตัวเองอย่างโจ่งแจ้ง เป็นไปไม่ได้ที่เก้าวังจะไม่สามารถสังเกตเห็นความทะเยอทะยานแบบนั้นได้
แต่คำพูดของเยี่ยซาทำให้นางรู้สึกว่ามีบางอย่างแปลกๆ
เป็นไปไม่ได้ที่เก้าวังจะไม่รู้เจตนาของสิบสองตำหนัก แต่พวกเขาไม่ได้ทำอะไรกับมันเลย สิ่งที่เก้าวังกำลังทำ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังปล่อยให้สิบสองตำหนักสร้างความเข้มแข็งให้ตัวเองไปเพียงฝ่ายเดียว
ทำไมพวกเขาทำเช่นนั้น
มันดูไร้เหตุผลอย่างมาก
ใครจะดีใจที่มีคนอื่นอยากได้ตำแหน่งของเขา
“จากการสังเกตของข้า เก้าวังได้ส่งคนมาเข้าร่วมงานชุมนุมเทพยุทธ์แห่งละหนึ่งคน ที่สนามแข่งพรสวรรค์แต่กำเนิดดูเหมือนว่าจะมีคนจากวังหมาป่าสวรรค์เพียงคนเดียวเท่านั้น” เยี่ยซากล่าว
“เก้าวังกำลังคิดอะไรอยู่กันแน่นะ” จวินอู๋เสียไม่เข้าใจเจตนาที่แท้จริงของเก้าวังเลย
“คุณหนูใหญ่ต้องการให้ข้าตรวจสอบต่อหรือไม่ขอรับ” เยี่ยซาถาม
จวินอู๋เสียส่ายหัว
เป้าหมายของนางในการมาที่สามโลกชั้นกลางคือจัดการกับสิบสองตำหนักและตามหาวิญญาณของบิดานางในโลกภูติวิญญาณ เนื่องจากเก้าวังทำตัวนิ่งเฉย ก่อนที่พวกเขาจะเข้าสู่ความขัดแย้ง จวินอู๋เสียไม่อยากจะสร้างศัตรูเพิ่มอีก
แต่ถึงแม้ว่าเก้าวังจะปล่อยให้สิบสองตำหนักสร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเอง แต่การที่ซูจิ่งเหยียนห้ามคนของสิบสองตำหนักไม่ให้ตามนางในวันนี้ก็ทำให้จวินอู๋เสียรู้ว่าเก้าวังไม่ได้ปล่อยให้สิบสองตำหนักทำตามทุกอย่างได้ตามใจชอบไปเสียทั้งหมด ดูเหมือนพวกเขาจะตั้งกฎเกณฑ์บางอย่างไว้ก่อน แล้วค่อยก้าวออกมาหยุดยั้งการกระทำที่อุกอาจของสิบสองตำหนัก
เรื่องนั้นเพียงอย่างเดียวก็เพียงพอสำหรับจวินอู๋เสียแล้ว
“ยังไม่ต้อง ถ้าพวกเจ้าไม่มีเรื่องอะไร อย่างนั้นก็ช่วยติดต่อเจ้าโง่เฉียวกับคนอื่นๆ ให้ข้าหน่อย” จวินอู๋เสียกล่าวพลางลูบคางตัวเอง ทุกอย่างดำเนินไปตามแผน วันแรกของงานชุมนุมเทพยุทธ์เป็นเพียงจุดเริ่มต้น หลังจากนี้การแสดงจะดำเนินต่อไป
แต่ท่าทีของเก้าวังทำให้จวินอู๋เสียมีเรื่องที่ต้องคิดอีกเล็กน้อย
“บอกพวกเขาให้หลบการตรวจจับและมาหาข้าที่นี่คืนนี้ ข้ามีบางอย่างที่ต้องคุยกัน” จวินอู๋เสียพูด
“ขอรับ!” เยี่ยซาและเยี่ยกูรับคำ
ทั้งสองคนรีบถอยออกจากห้องของจวินอู๋เสีย พวกเขาไปติดต่อกับสหายคนอื่นๆ ของจวินอู๋เสียบนภูเขาฝูเหยา
เมื่อตกกลางคืน ภูเขาฝูเหยาก็กลับมาเงียบสงบหลังจากวันที่แสนวุ่นวาย เหล่าผู้เยาว์ที่ตื่นเต้นมาทั้งวันก็ลากร่างที่อ่อนล้าเข้านอนและจมดิ่งลงสู่ความฝัน
ร่างหลายร่างพุ่งไปในความมืดยามค่ำคืน ทุกคนล้วนเดินทางไปยังจุดเดียวกัน
จวินอู๋เสียนั่งอยู่ในห้องของนาง เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าแผ่วเบานอกห้อง นางก็เดินไปเปิดประตูและเห็นฮวาเหยายืนอยู่ที่หน้าห้องของนาง