ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 1521 แย่งตัว (3) / ตอนที่ 1522 แย่งตัว (4)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 1521 แย่งตัว (3) / ตอนที่ 1522 แย่งตัว (4)
ตอนที่ 1521 แย่งตัว (3)
คนจากตำหนักต่างๆ ก้าวออกมาทีละคนเพื่อแสดงความตั้งใจที่จะเชิญจวินอู๋เสียเข้าร่วม และคนอื่นๆ ก็ไม่อาจรั้งตัวเองไว้ได้อีกต่อไป พวกเขาออกมาแสดงความปรารถนาอย่างชัดเจนทีละคน ในชั่วพริบตาจวินอู๋เสียก็ได้รับคำเชิญจากสิบสองตำหนักทั้งหมด
สถานการณ์ดังกล่าวไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน
เมื่อเห็นว่าผู้สมัครคนหนึ่งเป็นที่ต้องการอย่างมาก ผู้เยาว์อีกเก้าคนก็รู้สึกตกตะลึง พวกเขาคิดว่าจะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากสิบสองตำหนัก เมื่อเห็นคนจากสิบสองตำหนักก้าวออกมาอย่างสุภาพ พวกเขาก็คิดว่าตัวเองโชคดี ไม่คิดเลยว่าโชคดีทั้งหมดนั้นเป็นของจวินอู๋เสียคนเดียวเท่านั้น!
แต่เนื่องจากมีคนแย่งชิงผู้สมัครคนเดียวกันมากเกินไป ผู้อาวุโสจากสิบสองตำหนักที่มาที่นี่จึงเตรียมตัวมาอย่างดีและพูดจาทิ่มแทงกันไม่หยุดชนิดไม่มีใครยอมใคร โดยหวังว่าจะสามารถซัดคนอื่นให้จมดินได้เพื่อให้ตำหนักของตัวเองแข็งแกร่งขึ้น
ยิ่งพวกเขาแก่งแย่งกันอย่างดุเดือดมากเท่าไร พวกเขาก็ทำให้ผู้เยาว์คนอื่นที่ถูกเมินรู้สึกอิจฉามากขึ้นเท่านั้น เมื่อเห็นคนทั้งหมดแย่งชิงกันอย่างดุเดือดเพียงเพื่อชักชวนจวินอู๋เสียให้เข้าร่วมด้วย แต่เจ้าตัวกลับยืนเฉยไม่แยแสอยู่ด้านข้าง พวกผู้เยาว์ก็เริ่มรู้สึกเกลียดขึ้นมา แต่ก็ไม่กล้าทำอะไรจวินอู๋เสียต่อหน้าคนของสิบสองตำหนัก
ซูจิ่งเหยียนมองคนของสิบสองตำหนักแทบจะบีบคอกันตายด้วยรอยยิ้ม เขาเดินไปยืนข้างๆ จวินอู๋เสียและพูดว่า “เจ้าหนู เจ้าเป็นที่นิยมมากจริงๆ นะ”
สิบสองตำหนักต่างส่งผู้อาวุโสของตัวเองมา เห็นได้ว่าพวกเขาให้ความสำคัญกับทักษะเสริมวิญญาณนี้มากขนาดไหน ไม่ว่าวันนี้จวินอู๋เสียจะเลือกตำหนักไหน มันย่อมทำให้อีกสิบเอ็ดตำหนักไม่พอใจอย่างแน่นอน
“เป็นที่ต้องการมากเกินไปก็ไม่ใช่เรื่องดี ไม่ว่าเจ้าจะเลือกตำหนักไหน ก่อนที่เจ้าจะถูกรับเข้าตำหนัก เจ้าจะต้องฝึกฝนอยู่ในสำนักธาราเมฆเป็นระยะเวลาหนึ่งก่อน ถ้าเจ้าทำให้ตำหนักอื่นไม่พอใจ เจ้าอาจจะต้องทุกข์ทรมานไม่น้อยในนั้น” ซูจิ่งเหยียนลูบคาง คนจากสิบสองตำหนักไม่รู้จักการเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่หรือให้อภัย สิ่งที่พวกเขาไม่ได้ คนอื่นก็อย่าหวังว่าจะได้
แต่ทั่วทั้งสามโลกชั้นกลาง คนที่สามารถใช้ทักษะเสริมวิญญาณมีเพียงจวินอู๋เสียคนเดียวเท่านั้น ต่อให้คนอื่นมีความคิดที่คล้ายกัน พวกเขาก็อาจจะไม่เข้าใจมันดีนัก
จวินอู๋เสียชำเลืองมองซูจิ่งเหยียน ไม่รู้ว่าเขาพยายามทำตัวใจดีหรือแค่มาดูเรื่องสนุกๆ เท่านั้น
“ไม่ต้องมองข้าแบบนี้ ข้าแค่แสดงความคิดเห็นเท่านั้น” ซูจิ่งเหยียนพูดยิ้มๆ พลางหรี่ตาลงจนมองไม่เห็นความรู้สึกใดๆ ในดวงตาคู่นั้น
“แต่ถ้าข้าเป็นเจ้า ข้าจะเลือกตำหนักเปลวเพลิงปีศาจ แม้ว่าอำนาจของสิบสองตำหนักจะไม่ได้แตกต่างกันมากนัก แต่ถ้ามองแค่ความแข็งแกร่งเพียงอย่างเดียว ตำหนักเปลวเพลิงปีศาจก็เหนือกว่าตำหนักอื่นๆ อย่างสบาย ดังนั้นถ้าเจ้ามองหาที่ไปที่ดีๆ อยู่ละก็ ตำหนักเปลวเพลิงปีศาจก็เป็นตัวเลือกที่ไม่เลวเลย อย่างน้อยพวกเขาก็เลือกผู้สมัครที่เก่งๆ จากงานชุมนุมเทพยุทธ์ครั้งนี้เอาไว้เป็นจำนวนมาก ตอนที่เจ้าเข้าสำนักธาราเมฆ พวกคนที่ตำหนักเปลวเพลิงปีศาจเลือกไว้ก็จะต้องคอยปกป้องเจ้าตามคำสั่งของตำหนัก อย่างน้อยเจ้าก็จะได้มีที่พึ่งบ้าง ใช่หรือไม่เล่า” ซูจิ่งเหยียนดูเหมือนจะแนะนำด้วยความหวังดี
จวินอู๋เสียเห็นว่าซูจิ่งเหยียนไม่มีอะไรจะพูดอีก ท่าทีของเก้าวังก็ค่อนข้างแปลกจริงๆ
ในบรรดาสิบสองตำหนัก ตำหนักเปลวเพลิงปีศาจแข็งแกร่งที่สุด แต่ต่อให้จวินอู๋เสียตั้งใจจะแทรกซึมเข้าไปในสิบสองตำหนัก นางก็ไม่มีวันเลือกตำหนักเปลวเพลิงปีศาจ
ไม่ได้มีเหตุผลอื่นเลยนอกจากความแค้นตั้งแต่เหตุการณ์ที่เทือกเขาเมฆา ทำให้นางกับตำหนักเปลวเพลิงปีศาจไม่มีวันเข้ากันได้อย่างเด็ดขาด
“ถ้าวังหมาป่าสวรรค์ไม่รีบร้อนอะไร ก็เลือกผู้สมัครเอาไว้บ้างไม่ดีกว่าหรือ” จวินอู๋เสียถามเสียงเรียบ
ซูจิ่งเหยียนชะงักเล็กน้อย เขามองจวินอู๋เสียแล้วก็หัวเราะออกมาทันที
“อะไร เจ้าหนู อยากเข้าวังหมาป่าสวรรค์ของเราหรือ”
“ไม่สนหรอก” จวินอู๋เสียมองคนจากสิบสองตำหนักเหน็บแนมกันพอสมควรแล้ว นางก็เอื้อมมือเข้าไปในแขนเสื้อของนาง
ตอนที่ 1522 แย่งตัว (4)
“พวกท่าน คุยกันจบหรือยัง” จู่ๆ เสียงของจวินอู๋เสียก็ดังขึ้นในสนามแข่ง
คนจากสิบสองตำหนักที่กำลังเถียงกันหน้าดำหน้าแดงคอเป็นเอ็นก็หันมามองจวินอู๋เสีย ในงานชุมนุมเทพยุทธ์ การที่สองตำหนักจะจับตามองคนคนเดียวกันนั้นไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด และส่วนใหญ่แล้วจะให้สิทธิ์ในการเลือกแก่ผู้สมัคร แม้ว่าจะไม่ใช่สิ่งที่สิบสองตำหนักต้องการ แต่นั่นคือกฎที่ตั้งไว้สำหรับงานชุมนุมเทพยุทธ์
ตอนนี้ตำหนักทั้งสิบสองแห่งได้แสดงความสนใจต่อจวินอู๋เสีย จำนวนตำหนักที่จวินอู๋เสียสามารถเลือกได้ไม่ใช่จำนวนน้อยๆ เลย สถานการณ์ที่ทั้งสิบสองตำหนักอยากได้ผู้สมัครคนเดียวกันเช่นนี้หาได้ยากอย่างแท้จริง
“ขออภัย แต่ข้าได้เลือกตำหนักที่อยากเข้าเอาไว้แล้ว” จวินอู๋เสียกล่าวช้าๆ ขณะมองไปที่คนจากสิบสองตำหนัก
“โอ้”
เมื่อได้ยินจวินอู๋เสียพูดแบบนั้น ทุกคนก็ตื่นเต้นขึ้นมาทันที
ผู้เยาว์คนอื่นๆ ที่ถูกเมินก็แอบขบกราม หวังว่าจวินอู๋เสียจะรีบๆ เลือกให้เสร็จเสียที นางจะได้ออกไปจากที่นั่นโดยเร็วที่สุด มีนางอยู่ด้วยแล้ว บุตรแห่งสวรรค์ที่น่าภาคภูมิพวกนี้ก็ได้รับการปฏิบัติเหมือนฝุ่นผง ถูกเมินอย่างสิ้นเชิง
ว่ากันว่า เมื่อเทียบสินค้า ของอีกชิ้นก็ต้องถูกทิ้ง เมื่อเทียบคน อีกคนก็จะฆ่าตัวตายด้วยความโกรธ พวกเขาไม่อยากยืนอยู่ที่นั่นร่วมกับจวินอู๋เสียจริงๆ!
จวินอู๋เสียค่อยๆ ดึงเอาจี้หยกออกมาจากแขนเสื้อของนาง จากนั้นก็เงยหน้าขึ้นมองตาที่เต็มไปด้วยความคาดหวังของคนกลุ่มนั้น และพูดว่า “ตอนที่จบการแข่งขัน มีคนส่งสิ่งนี้ให้กับข้า ตำหนักที่ข้าเลือกคือตำหนักที่เป็นเจ้าของของสิ่งนี้”
คำพูดของจวินอู๋เสียทำให้คนจากสิบสองตำหนักตะลึงไปชั่วขณะ พวกเขาต่างจ้องมองไปที่จี้หยกอันนั้น
แต่พอพวกเขาเห็นจี้หยกนั้นชัดๆ ใบหน้าของเหล่าผู้อาวุโสจากสิบสองตำหนักก็ซีดขาวทันที
“เจ้าหนู รู้หรือเปล่าว่าใครคือเจ้าของหยกที่เจ้าถืออยู่” ใบหน้าของผู้อาวุโสจากตำหนักจื่อเหลยที่ตื่นเต้นในตอนแรกเปลี่ยนเป็นค่อนข้างเครียด
จวินอู๋เสียสอดหยกกลับเข้าไปในแขนเสื้อและเงยหน้าขึ้นมองกลุ่มผู้อาวุโสที่ไม่พอใจและพูดว่า “จ้าวตำหนักของตำหนักหยกวิญญาณ”
“เจ้าหนู เจ้ายังเด็กไม่รู้อะไร ดังนั้นเราจะไม่ถือเจ้า เจ้ามีความสามารถที่พิเศษมาก จะไม่รู้ได้อย่างไรว่าตำหนักหยกวิญญาณเป็นสถานที่แบบไหน ตำหนักที่ไม่มีแม้แต่ที่ตั้งที่แน่นอน เจ้าจะเลือกพวกเขาอย่างนั้นหรือ” ผู้อาวุโสจากตำหนักนภาวิจิตรขมวดคิ้วพลางคิดว่าเจ้าเด็กคนนี้ไม่บ้าก็โง่
ตำหนักทั้งสิบสองแห่งได้ส่งคำเชิญให้เด็กคนนี้ เขาสามารถเลือกตำหนักไหนก็ได้ที่เขาต้องการ! แต่เขากลับเลือกตัวเลือกที่แย่ที่สุด!
ตำหนักหยกวิญญาณ ตำหนักที่ถูกสิบสองตำหนักขับไล่เมื่อกว่าพันปีก่อน ตำหนักที่พวกเขากดขี่ข่มเหงมาเป็นเวลาพันปี ทำได้แค่ซ่อนตัวและไม่กล้าเปิดเผยตัวเองเพื่อเอาชีวิตรอด ตำหนักหยกวิญญาณ…แม้แต่คนโง่ยังรู้ว่าตำหนักหยกวิญญาณเป็นตัวเลือกที่ผิดพลาด
จวินอู๋เสียเพิกเฉยต่อคำถามจากผู้อาวุโสของตำหนักนภาวิจิตร นางแค่หันหน้าไปมองซูจิ่งเหยียนที่เฝ้ามองอยู่ด้านข้าง
“ตำหนักหยกวิญญาณมีสิทธิ์เลือกคนหรือเปล่า”
ซูจิ่งเหยียนที่เฝ้ามองอยู่ด้านข้างไม่คิดว่าจวินอู๋เสียจะโยนคำถามใส่เขาแบบนั้น ใบหน้าของเขาแข็งค้างไปชั่วขณะ ดวงตาเฉียงเรียวยาวของเขาหรี่ลงขณะมองใบหน้าเย็นชาของจวินอู๋เสีย ไม่สามารถเข้าใจได้ว่าเจ้าหนูนี่พูดแบบนั้นทำไม
แต่…
“ตำหนักหยกวิญญาณย่อมมีสิทธิ์อยู่แล้ว” ซูจิ่งเหยียนยิ้ม แม้ว่าเก้าวังเลือกที่จะไม่ยุ่งกับการรับคนของสิบสองตำหนัก แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าพวกเขาจะไม่ก่อกวนนี่นา
คำตอบของซูจิ่งเหยียนทำให้พวกผู้อาวุโสทำสีหน้าน่าเกลียดทันที แม้ว่าพวกเขาจะมองซูจิ่งเหยียนอย่างไม่พอใจ พวกเขาก็ไม่กล้าพูดอะไรออกมา
ถึงอย่างไร ซูจิ่งเหยียนก็เป็นสมาชิกของหนึ่งในเก้าวัง วังหมาป่าสวรรค์!