ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 1641 เริ่มแผนการ (2) / ตอนที่ 1642 เริ่มแผนการ (3)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 1641 เริ่มแผนการ (2) / ตอนที่ 1642 เริ่มแผนการ (3)
แต่แผ่นหยกสามารถเขียนได้แค่หนึ่งตัวอักษรเท่านั้น และพลังวิญญาณในแผ่นหยกจะหมดไปหลังจากใช้ไปหนึ่งครั้ง ต้องใช้เวลาทั้งวันกว่าจะสามารถใช้ครั้งต่อไปได้ ดังนั้นจวินอู๋เสียจึงไม่ใช้มันภายใต้สถานการณ์ปกติ แผ่นหยกนี้มีไว้เพื่อให้พวกเขาที่อยู่คนละตำหนักติดต่อกันได้
จวินอู๋เสียจ้องแผ่นหยกในมือแล้วคลี่กระดาษบนโต๊ะ บนกระดาษเขียนไว้ว่า ตำหนักเปลวเพลิงปีศาจ ตำหนักมังกรสวรรค์ ตำหนักหวนจิต ตำหนักมารโลหิต ตำหนักคงฉาน ตำหนักเสวียนเทียน ตำหนักจื่อเหลย ตำหนักนภาวิจิตร ตำหนักสรรพชีวิต ตำหนักเงาจันทรา ตำหนักคลื่นมรกต และตำหนักจิงหง
รายชื่อของสิบสองตำหนักถูกเขียนไว้บนกระดาษครบทุกตำหนัก
ในบรรดาตำหนักเหล่านี้ เฉียวฉู่ไปที่ตำหนักเปลวเพลิงปีศาจ เฟยเยียนไปที่ตำหนักมังกรสวรรค์ หรงรั่วไปที่ตำหนักหวนจิต ฟ่านจัวไปที่ตำหนักเสวียนเทียน และฮวาเหยาไปที่ตำหนักจื่อเหลย
ในสิบสองตำหนักนั้น ตำหนักเปลวเพลิงปีศาจกับตำหนักมารโลหิตอยู่ในอันดับแรก ตามด้วยตำหนักมังกรสวรรค์และตำหนักเสวียนเทียน จากนั้นก็ตำหนักหวนจิต ตำหนักคงฉาน และตำหนักจื่อเหลย ส่วนอีกห้าตำหนักคือห้าตำหนักที่อ่อนแอที่สุด
ตำหนักที่ครอบครองชิ้นส่วนแผนที่สุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิล้วนเป็นตำหนักที่อยู่ในแถวหน้าทั้งนั้น และในเจ็ดตำหนักนั้น พวกเฉียวฉู่ได้แทรกซึมเข้าไปห้าตำหนักแล้ว กล่าวได้ว่าพวกเขาได้เจาะเข้าไปในตำหนักที่สำคัญที่สุดหลายแห่ง แต่สำหรับตำหนักมารโลหิตที่เป็นปัญหายุ่งยากนั้น พวกของจวินอู๋เสียไม่ได้เข้าร่วมด้วย ดังนั้นตอนที่พวกเขาเข้าสำนักธาราเมฆ จวินอู๋เสียจึงพยายามทำให้คนจากตำหนักมารโลหิตสังเกตเห็นนางทั้งแบบตั้งใจและไม่ได้ตั้งใจ จากนั้นนางก็ยืมมือตำหนักมารโลหิตปลุกระดมความไม่พอใจจากตำหนักอื่นๆ มาสู่พวกเขา พวกของเฉียวฉู่ได้รับมอบหมายให้ยุยงปลุกปั่นทุกคน นำพาฝูงชนต่อต้านตำหนักมารโลหิต
ตอนนี้จึงเป็นไปไม่ได้แล้วที่ตำหนักมารโลหิตจะปลีกตัวจากความวุ่นวายโกลาหล
จากนั้นจวินอู๋เสียก็หันไปเล็งตำหนักที่พวกเฉียวฉู่อยู่ เพื่อให้นางสามารถใช้พลังที่มีอยู่จัดการกวนน้ำระหว่างสิบสองตำหนักให้ขุ่น แล้วพวกเขาก็จะบรรลุเป้าหมายที่ตั้งไว้
เมื่อตำหนักสำคัญๆ หลายแห่งพังทลาย ตำหนักอื่นๆ ก็จะล้มตามลงไปพร้อมพวกเขาด้วย
ดวงตาของจวินอู๋เสียทอประกายวาว นางจับพู่กันในมือแล้วบรรจงวาดวงกลมสีแดงรอบตำหนักจิงหง
พร้อมกันนั้นนางก็เขียนตัวอักษรคำว่า ‘จิง’ ลงบนแผ่นหยก
ในตอนนั้นพวกเฉียวฉู่ได้ลงจากภูเขาฝูเหยาเพื่อไปพบกับขบวนเดินทางจากตำหนักของพวกเขา ทุกคนได้ปีนขึ้นไปบนรถม้าของตัวเองที่แล่นไปยังสถานที่ต่างกัน ทันใดนั้นพวกเขาก็รู้สึกว่าแผ่นหยกที่พกติดตัวไปทุกที่มีปฏิกิริยาแปลกๆ พวกเขาแอบหยิบแผ่นหยกออกมาและตัวอักษรคำว่า ‘จิง’ ใบหน้าของทุกคนแสดงออกว่าเข้าใจ
แผนการเริ่มต้นขึ้น
เป้าหมายแรกถูกเลือก!
จากนี้ไป ถึงเวลาดูความสามารถของพวกเขาในการสร้างความปั่นป่วนและเปลี่ยนกระแสแล้ว!
หลังจากส่งข่าวออกไป จวินอู๋เสียก็สงบใจและหยิบอ่างบัวออกมา นับจากนี้ไปนางต้องรออย่างเงียบๆ เพื่อให้การแสดงเริ่มต้นขึ้น
การตัดสินใจอย่างกะทันหันของสำนักธาราเมฆไม่เพียงทำให้ศิษย์ของสำนักธาราเมฆสับสน แต่สิบสองตำหนักเองก็เช่นกัน แต่มันแตกต่างจากความรู้สึกของพวกลูกศิษย์ สิบสองตำหนักถูกใจกับการจบการฝึกก่อนเวลาอันควรนี้มาก
สถานการณ์ของทุกตำหนักในตอนนี้พิเศษมาก พวกเขาพยายามอย่างหนักเพื่อรวบรวมความแข็งแกร่ง ทุกครั้งที่งานชุมนุมเทพยุทธ์จบลง พวกเขาจะต้องส่งคนที่ตนเลือกเข้าสู่สำนักธาราเมฆ นี่เป็นกฎของงานชุมนุมเทพยุทธ์ แม้ว่าฉากหน้าสิบสองตำหนักจะทำตามกฎ แต่แท้จริงแล้วพวกเขารู้สึกไม่พอใจที่ต้องทำเช่นนั้น
พวกเขาเลื่อนงานชุมนุมเทพยุทธ์เข้ามาเพื่อดึงดูดผู้มีความสามารถคนใหม่ๆ เข้ามา แต่ก่อนที่พวกเขาจะทำคนพวกนั้นกลับไปยังตำหนักของตนได้ ทุกคนจะต้องถูกส่งไปที่สำนักธาราเมฆ และไม่รู้ว่าอีกกี่วันกี่เดือนพวกเขาจะถูกปล่อยตัวออกมา
ตอนที่ 1642 เริ่มแผนการ (3)
ทุกคนรู้ว่าสำนักธาราเมฆเข้าง่ายแต่ออกยาก การที่ขุมกำลังที่ได้มาใหม่ถูกขังอยู่ในสำนักธาราเมฆและถึงจะอยากให้พวกเขาออกมาทั้งหมดมันก็เป็นไปไม่ได้ จำเป็นต้องรอเวลาหลายปี สิบสองตำหนักจึงต้องใช้ความอดทนเป็นอย่างมาก พวกเขาไม่พอใจมากที่ต้องเป็นแบบนี้ แต่งานชุมนุมเทพยุทธ์ไม่ใช่ที่ที่สิบสองตำหนักจะพูดอะไรได้ การที่สามารถเลื่อนงานชุมนุมออกไปได้ก็เป็นผลจากการโต้เถียงอย่างดุเดือดกับเก้าวัง จะให้พวกเขาละเมิดกฎของงานชุมนุมเทพยุทธ์มากไปกว่านี้ เก้าวังคงไม่ชอบใจแน่
แต่ตอนนี้เรื่องกลับกลายเป็นดี จู่ๆ สำนักธาราเมฆก็ปล่อยทุกคนออกมาด้วยสาเหตุอะไรก็ไม่รู้ ทำให้สิบสองตำหนักดีใจอย่างถึงที่สุด ต้องรู้ว่านอกจากศิษย์ที่เพิ่งเข้าสำนักธาราเมฆแล้ว ยังมีพวกรุ่นพี่จากรุ่นก่อนๆ ที่ยังไม่สามารถจบการฝึกได้ทั้งที่ผ่านมานานมากแล้วก็ถูกปล่อยตัวออกมาเช่นกัน แม้ว่ารุ่นพี่พวกนี้จะไม่ได้มีพรสวรรค์มากมายขนาดนั้น แต่ถึงอย่างไรพวกเขาก็ยังเป็นกำลังของสิบสองตำหนักอยู่ดี
อาจกล่าวได้ว่าสิบสองตำหนักเต็มไปด้วยความดีใจ พวกเขาตีกลองโห่ร้องต้อนรับการกลับมาของผู้เยาว์พวกนี้
จ้าวตำหนักของตำหนักต่างๆ ก็พอใจกับผลลัพธ์ดังกล่าวเป็นอย่างมาก
เพราะครั้งนี้พวกเขาสามารถดึงตัวผู้เยาว์ที่มีพรสวรรค์มากกว่ากลุ่มผู้เยาว์ในงานชุมนุมเทพยุทธ์ครั้งก่อนๆ มาเข้าตำหนักของตนได้
แต่การกลับมาของเหล่าผู้เยาว์ไม่ได้นำความสุขมาให้ทุกตำหนัก
อย่างเช่นตำหนักมารโลหิตในตอนนี้
ภายในตำหนักมารโลหิต จ้าวตำหนักมารโลหิตกู่อี้นั่งอยู่ในห้องโถงใหญ่ เขาอายุมากแล้วแต่เมื่อพิจารณาแค่รูปลักษณ์ของเขา เขาดูเหมือนบุรุษวัยกลางคนอายุประมาณสี่สิบปีเท่านั้น มีเพียงริ้วผมสีเทาตรงขมับสองข้างที่เผยให้เห็นถึงอายุที่ปกปิดเอาไว้อย่างดีของเขา กู่อี้มีใบหน้าหล่อเหลา กาลเวลาทำอะไรเขาไม่ได้เลย แต่กลับเพิ่มความรู้สึกที่หนักแน่นเด็ดขาดและบรรยากาศที่มีอำนาจรอบตัวเขาแทน
ที่พื้นของห้องโถงใหญ่ เหล่าผู้อาวุโสของตำหนักมารโลหิตยืนอยู่ทั้งสองข้างของห้องโถง บรรยากาศภายในตำหนักมารโลหิตค่อนข้างหนักอึ้ง
บุรุษสูงอายุคนหนึ่งที่มีใบหน้าซีดเซียว ดวงตาเต็มไปด้วยความเศร้าโศก ยืนอยู่กลางห้องโถงใหญ่ เขามองไปที่กู่อี้พลางพูดว่า ”ไม่มีใครรู้ว่าการตัดสินใจของสำนักธาราเมฆครั้งนี้หมายถึงอะไร แต่ดูจากสถานการณ์ตอนนี้แล้ว ตำหนักมารโลหิตเราเสียเปรียบมากที่สุด”
“โอ้ อย่างไรเล่า” กู่อี้เลิกคิ้วมองชายชราที่พูด ชายชราคนนั้นไม่ใช่ใครที่ไหน แต่เป็นปู่ของหลินเฮ่าอวี่ ผู้อาวุโสหลิน ที่ติดตามกู่อี้มาเป็นเวลานานและเป็นคนที่ได้รับความเคารพนับถืออย่างมากในตำหนักมารโลหิต
“ในงานชุมนุมเทพยุทธ์ครั้งล่าสุด มีคนที่มีความสามารถสูงปรากฏตัวขึ้นหลายคน แต่ส่วนใหญ่ถูกตำหนักอื่นดึงตัวไป แม้ว่าจะมีคนเข้ามาร่วมกับตำหนักมารโลหิตเราเป็นจำนวนมาก แต่จำนวนคนที่มีพรสวรรค์สูงนั้นค่อนข้างน้อย ท่านจ้าวตำหนักก็น่าจะรู้ดีอยู่แล้วว่าในงานชุมนุมเทพยุทธ์ครั้งล่าสุดนี้ คนที่โดดเด่นที่สุดหกคน ไม่มีใครเลือกเข้าร่วมตำหนักมารโลหิตของเราเลย แม้ว่าตำหนักมารโลหิตจะส่งคำเชิญให้ทั้งหกคน แต่ทุกคนก็หาเหตุผลต่างๆ มาปฏิเสธเรา ถ้านี่เป็นแค่คนเก่งทั่วๆ ไปมันก็คงไม่ได้สำคัญอะไรนัก แต่คนพวกนั้นมีพลังที่ในร้อยรอบปีก็ยังพบเห็นได้ยาก เดิมทีผู้เยาว์พวกนี้ต้องใช้เวลาฝึกฝนอยู่ในสำนักธาราเมฆเป็นเวลาหลายปี ซึ่งเป็นเรื่องดีเพราะตำหนักมารโลหิตเราจะได้มีเวลาปรับตัวบ้าง แต่ตอนนี้พวกเขาถูกปล่อยตัวออกมาก่อนกำหนด ตำหนักอื่นๆ มีผู้เยาว์พวกนี้เพิ่มเข้าไป ความแข็งแกร่งของพวกเขาก็จะเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน นี่เป็นการสูญเสียครั้งใหญ่ของตำหนักมารโลหิตเรา” ผู้อาวุโสหลินขมวดคิ้ว พวกเขาเคยพยายามต่อสู้แย่งชิงผู้เยาว์ที่โดดเด่นที่สุดจากงานชุมนุมเทพยุทธ์เพื่อให้เข้าร่วมกับตำหนักมารโลหิต แต่สิ่งที่ทำให้พวกเขาอยากกระอักโลหิตออกมามากที่สุดก็คือไม่มีใครยอมเข้าร่วมเลยสักคน
ในขณะที่ทุกตำหนักกำลังแข่งขันกันเพื่อให้ได้มาซึ่งขุมกำลังใหม่ ผลลัพธ์ที่แตกต่างกันมากเช่นนี้ยิ่งเห็นได้อย่างชัดเจน