ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 1689 เวทีประลอง (1) / ตอนที่ 1690 เวทีประลอง (2)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 1689 เวทีประลอง (1) / ตอนที่ 1690 เวทีประลอง (2)
ตอนที่ 1689 เวทีประลอง (1)
ศิษย์ของตำหนักจิงหงพาเหล่าผู้เยาว์จากสิบสองตำหนักไปท่องเที่ยวชมดอกไม้ ส่วนแขกคนอื่นที่ไม่ได้มาจากสิบสองตำหนักทำได้แค่อยู่แต่ในห้องพักและไม่กล้าเดินเตร่ไปทั่ว
แต่การไปเดินดูภูเขาทะเลสาบชมดอกไม้ใบหญ้านั้นเป็นเรื่องที่น่าเบื่อเกินไปสำหรับผู้เยาว์จากสิบสองตำหนัก เพียงไม่นานก็มีคนโอดครวญว่าเหนื่อยและอยากกลับแล้ว
ศิษย์ตำหนักจิงหงรายงานเรื่องนี้ให้กับผู้อาวุโสของตำหนักจิงหงทันที
และนี่ไม่ใช่สิ่งที่ผู้อาวุโสของตำหนักจิงหงอยากได้ยิน
“ยังมีเวลาอีกหลายวัน การปล่อยให้คนกลุ่มใหญ่อยู่ในตำหนักจิงหงเราเป็นเรื่องอันตราย อาจมีสายลับที่ตำหนักอื่นส่งมาอยู่ในหมู่พวกเขาก็ได้” ผู้อาวุโสคนหนึ่งกล่าวด้วยใบหน้าเคร่งขรึม
ทุกคนคิดว่างานวันเกิดของจ้าวตำหนักพวกเขามีแขกมาร่วมอวยพรมากมายเป็นเรื่องที่น่ายินดี แต่ความจริงแล้ว ตำหนักจิงหงไม่ได้รู้สึกยินดีเลยแม้แต่น้อย ของขวัญที่คนพวกนั้นนำมา ไม่ว่าจะดีเลิศสักเพียงใด สำหรับอำนาจของตำหนักจิงหงแล้วมันก็ไม่ใช่สิ่งที่หายากมากขนาดนั้น แต่พวกผู้เยาว์ที่มาจากตำหนักอื่นๆ ที่นำของขวัญมาให้นี่สิที่ทำให้ตำหนักจิงหงกังวลมากที่สุด พวกเขากลัวมากว่าจะมีคนที่มีเจตนาซ่อนเร้นแฝงตัวอยู่ในกลุ่มผู้เยาว์พวกนี้
ช่วงนี้ความสัมพันธ์ระหว่างสิบสองตำหนักค่อนข้างตึงเครียด ไม่มีใครกล้าหงายไพ่ของตัวเองให้ตำหนักอื่นเห็น แต่งานฉลองวันเกิดไม่ใช่งานทั่วไปที่สามารถหลีกเลี่ยงได้ และยังเป็นกฎของสิบสองตำหนักด้วย ตำหนักจิงหงย่อมไม่สามารถปฏิเสธได้ ทำได้เพียงเปิดประตูรับกลุ่มคนที่มีเจตนาไม่ดีเข้ามา
การยอมให้เข้ามาในตำหนักจิงหงก็เป็นขีดจำกัดของพวกเขาแล้ว ถ้าพวกเขาไม่ออกมาตรการควบคุมและปล่อยให้ทุกคนเดินเพ่นพ่านในตำหนักจิงหงได้ตามใจชอบละก็ นั่นจะอันตรายเกินไป
“เมื่อคืน หลังงานเลี้ยงจบ เรื่องที่ว่าเห็นเงาคนน่าสงสัยนั่น ตรวจสอบได้หรือยังว่าเป็นคนของตำหนักไหน” ผู้อาวุโสของตำหนักจิงหงถามอย่างเป็นกังวล หลังงานเลี้ยงเมื่อคืนจบลง ทุกคนควรกลับไปที่ห้องของตัวเอง แต่หน่วยลาดตระเวนของตำหนักจิงหงพบใครบางคนแอบซุ่มอยู่ น่าเสียดายที่จับคนผู้นั้นไม่ได้
แค่วันที่สองก็มีใครบางคนจากสิบสองตำหนักพยายามลงมือเคลื่อนไหวแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ต่อไป พวกเขาควรทำอย่างไรดี
“ยังขอรับ” ศิษย์คนหนึ่งของตำหนักจิงหงตอบ
ใบหน้าของผู้อาวุโสมืดครึ้มลงทันที พร้อมกับด่าว่า ”ไอ้พวกโง่ไร้ประโยชน์!”
“ท่านผู้อาวุโส พวกเราควรจัดการกับเรื่องนี้อย่างไรดีขอรับ แขกทุกคนเริ่มหงุดหงิดแล้ว” ศิษย์คนนั้นถามอย่างลำบากใจ
ผู้อาวุโสขมวดคิ้ว ”ในเมื่อพวกนั้นเริ่มเบื่อกันแล้ว อย่างนั้นก็จัดเวทีประลองให้ระบายพลังกันหน่อย จะได้ช่วยเบี่ยงเบนความสนใจพวกนั้นด้วย อย่างไรเสียไอ้แก่ที่นั่งอยู่ในตำหนักพวกนั้นก็อยากอวดอยู่แล้วว่าศิษย์รุ่นใหม่ของพวกเขาแข็งแกร่งขนาดไหน เราก็ให้โอกาสที่พวกเขาอยากได้เสียเลย ไปบอกพวกเขาว่าผู้ชนะที่ยืนหยัดได้เป็นคนสุดท้ายจะได้รับรางวัลที่ตำหนักจิงหงจัดเตรียมไว้ให้”
“ท่านผู้อาวุโส…พวกเขาจะยอมก้าวเข้าสู่เวทีประลองจริงๆ หรือขอรับ” ศิษย์คนนั้นสงสัยเล็กน้อย สิ่งที่ตำหนักจิงหงสามารถให้เป็นรางวัลได้ย่อมเป็นของเล็กน้อยและตำหนักอื่นก็คงมีเหมือนกันอยู่แล้ว การใช้ของเล็กน้อยนั้นเป็นเหยื่อล่อจะสามารถโน้มน้าวใจให้ผู้เยาว์พวกนั้นก้าวเข้าสู่เวทีประลองได้อย่างไร
ผู้อาวุโสพูดเย้ยหยันว่า ”เจ้าจะรู้อะไร นั่นเป็นแค่ข้ออ้างเท่านั้น คนที่มาที่นี่ไม่เพียงพยายามตรวจสอบสถานการณ์ที่แท้จริงในตำหนักจิงหงของเรา แต่ยังอยากประเมินตำหนักอื่นๆ ด้วย เรามอบโอกาสทองให้ขนาดนี้แล้ว ต่อให้ไม่มีรางวัล พวกเขาก็ยังลงประลองอยู่ดี”
ตำหนักไหนจะอยากถูกจัดให้เป็นอันดับล่างสุดบ้าง มีใครบ้างที่จะไม่ต่อสู้อย่างสุดกำลังเพื่อไต่อันดับขึ้นไป
งานเลี้ยงที่ตำหนักจิงหงจัดขึ้นครั้งนี้ แค่ดูคนที่ตำหนักต่างๆ เลือกส่งมาที่นี่ ก็เห็นได้ชัดแล้วว่าทุกตำหนักต้องการอวดความแข็งแกร่งของตน
น่าเสียดายที่ตำหนักจิงหงไม่มีศิษย์ที่มีพรสวรรค์ในรุ่นใหม่นี้เลยสักคน ทำให้พวกเขาโกรธมากจนแทบกระอักโลหิตเลยทีเดียว
ตอนที่ 1690 เวทีประลอง (2)
หลังจากนั้นไม่นาน ศิษย์ของตำหนักจิงหงก็นำข่าวการประลองไปบอกเหล่าผู้เยาว์ของสิบสองตำหนัก และอย่างที่คาดไว้ ผู้เยาว์ที่กำลังเบื่อพวกนั้นก็กระปรี้ประเปร่าขึ้นมาทันทีเมื่อได้ยินเรื่องนี้
เวทีประลองถูกจัดไว้ที่ห้องโถงฝึกในตำหนักจิงหง พวกผู้เยาว์มารวมตัวกันที่นั่นอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นเวทีประลองขนาดใหญ่ตรงหน้า พวกผู้เยาว์ก็ตาเป็นประกาย
ใครๆ ก็รู้ว่าสิบสองตำหนักขัดแย้งกันอยู่ และผู้เยาว์ทุกคนที่มาที่นี่ถ้าไม่ใช่คนที่เพิ่งเข้าร่วมตำหนักและรากฐานยังไม่มั่นคง ก็เป็นคนที่อายุน้อย คุณสมบัติยังไม่พอ สิ่งที่พวกเขาขาดมากที่สุดในตำหนักของตนก็คือความสำเร็จและประสบการณ์ ถ้าพวกเขาสามารถได้อันดับหนึ่งในตอนที่มีคนเก่งๆ มารวมตัวกันเช่นนี้ ตอนกลับถึงตำหนักของตัวเอง พวกเขาก็จะสามารถโอ้อวดได้เต็มที่ คุณค่าของพวกเขาก็จะสูงขึ้น
ผู้เยาว์จำนวนมากขยี้หมัดถูมือเตรียมพร้อมจะขึ้นประลอง คนที่ใจร้อนบางคนก็กระโจนขึ้นไปบนเวทีประลองแล้ว เตรียมพร้อมจะแสดงฝีมือของตน
จื่อจินเดินตามอยู่ข้างๆ เยว่อี้และแอบสังเกตกลุ่มวัยรุ่นเลือดร้อนทั้งหมดนี้ นางเกิดในตำหนักหยกวิญญาณ จึงยังขาดความรู้เกี่ยวกับสิบสองตำหนักอยู่มาก นอกจากรู้จักเครื่องแบบของแต่ละตำหนักแล้ว นางไม่รู้เลยว่าใครเป็นใครในสิบสองตำหนัก
“เยว่อี้ เจ้าคิดอย่างไรกับพลังของคนพวกนั้น” จื่อจินที่ยืนอยู่ข้างๆ เยว่อี้ถามเสียงกระซิบ
เยว่อี้มีลักษณะนิสัยที่มืดมน ตั้งแต่ร่วมมือกับจวินอู๋เสียเขาก็ทำตัวเงียบขรึม วันนี้จวินอู๋เสียไม่มา มีเพียงจื่อจินคนเดียวที่ตามเขามาที่นี่ จวินอู๋เสียแข็งแกร่งแค่ไหนนั้น เยว่อี้ไม่แน่ใจ แต่พลังของจื่อจินไม่ได้แข็งแกร่งอะไร แค่พอใช้ได้เท่านั้น ครั้งนี้สิบสองตำหนักส่งคนเก่งๆ มาไม่น้อย ด้วยระดับพลังของจื่อจิน นางย่อมมองพลังวิญญาณของคนจำนวนมากไม่ออก
”ก็ดี ประมาณจุดสูงสุดของพลังวิญญาณขั้นสีคราม” เสียงของเยว่อี้ทุ้มเล็กน้อย แต่ยังคงมีความเป็นเด็กแฝงอยู่
“พลังวิญญาณขั้นสีคราม…” จื่อจินลูบคางพลางแอบจดจำพลังและความแข็งแกร่งของคนนี้เอาไว้ในใจ
บนเวทีประลอง ผู้เยาว์สองคนเริ่มต่อสู้กันแล้ว พลังวิญญาณขั้นสีครามปะทะพลังวิญญาณขั้นสีคราม แม้ว่าการต่อสู้จะรุนแรง แต่ก็ไม่ได้กระตุ้นความสนใจจากพวกผู้เยาว์ที่อยู่รอบๆ ได้มากนัก ในสายตาของพวกเขา พลังวิญญาณขั้นสีครามไม่ได้มีความหมายอะไร
“ข้านึกว่าจะได้ดูการประลองเด็ดๆ ที่นี่ ไม่คิดว่ามันจะน่าเบื่อขนาดนี้” จูเก๋ออินถือพัดไว้ในมือ และโบกพัดเบาๆ ด้วยท่าทางที่คิดว่าสง่างาม เขามองไปที่ผู้เยาว์สองคนซึ่งกำลังสู้กันอยู่บนเวทีประลองด้วยสายตาดูถูก
“คุณชายจะประเมินคนพวกนี้ตามมาตรฐานของท่านไม่ได้ จะมีกี่คนที่สามารถบรรลุพลังวิญญาณขั้นสีม่วงได้ตอนอายุเท่าท่าน” เฟยเยียนเอ่ยปากได้ถูกเวลา คำชมเพียงไม่กี่คำทำให้จูเก๋ออินรู้สึกภูมิใจมาก
จูเก๋ออินยักคิ้วแล้วหัวเราะอย่างไม่มีเขินอาย
เฟยเยียนหัวเราะตาม แต่ในใจคิดกับตัวเองว่า จูเก๋ออินนี่สมกับเป็นจ้าวตำหนักน้อยของตำหนักมังกรสวรรค์จริงๆ แม้ว่าจะเป็นคนหน้าซื่อใจคด ใจแคบ บ้าตัณหา แต่เขาก็มีพรสวรรค์สูง เพิ่งจะอายุยี่สิบสองปีแต่มีพลังวิญญาณขั้นสีม่วงแล้ว จ้าวตำหนักมังกรสวรรค์ได้ทุ่มสมบัติทุกชนิดให้กับบุตรชายคนนี้ บวกกับพรสวรรค์ของจูเก๋ออิน จึงได้เกิดยอดฝีมือหนุ่มที่น่าทึ่งขึ้นมา
หากไม่ใช่เพราะพวกเฟยเยียนได้ของวิเศษในสุสานเทพปีศาจเจ้าจักรพรรดิและได้รับคำแนะนำจากจวินอู๋เย่า ต่อให้พวกเขาทุ่มเทพยายามเต็มที่แล้ว แต่อาศัยเพียงพรสวรรค์ของพวกเขาอย่างเดียว ก็คงได้ผลลัพธ์ที่ไม่แตกต่างไปจากจูเก๋ออิน
อาจกล่าวได้ว่า ความหยิ่งผยองของจูเก๋ออินไม่ได้เกิดจากความเป็นจ้าวตำหนักน้อยของตำหนักมังกรสวรรค์แต่เพียงอย่างเดียว แม้ว่าจะไม่มีบารมีนั้นอยู่เหนือหัว แต่ด้วยพลังของเขา ก็ยังน่าทึ่งมากอยู่ดี