ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 1691 เวทีประลอง (3) / ตอนที่ 1692 เวทีประลอง (4)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 1691 เวทีประลอง (3) / ตอนที่ 1692 เวทีประลอง (4)
ตอนที่ 1691 เวทีประลอง (3)
“ไม่ได้ดูคนพวกนี้สู้กันก็ไม่ได้พลาดอะไรไปเลย การแสดงดีๆ ของจริงยังไม่ได้เริ่มด้วยซ้ำ” จูเก๋ออินกล่าวอย่างดูถูก สายตาของเขามองไปที่กู่ซินเยียนซึ่งยืนอยู่ด้านหลัง
กู่ซินเยียนยืนอยู่ท่ามกลางกลุ่มศิษย์จากตำหนักมารโลหิต สายตาของนางเฉยเมย ไม่มีวี่แววของกู่อิ่งอยู่ข้างๆ นาง อยู่ท่ามกลางกลุ่มเด็กหนุ่มเช่นนี้ ความงามของกู่ซินเยียนก็ยิ่งดึงดูดสายตา เห็นนางแล้วหัวใจของจูเก๋ออินก็เต้นระรัว บังเอิญเหลือเกินที่เจ้าตัวน่ารังเกียจกู่อิ่งไม่อยู่ เขาเปลี่ยนเป็นยิ้มอย่างสง่างามแล้วเดินตรงไปหากู่ซินเยียน
วันนี้กู่ซินเยียนใจลอยเล็กน้อย คำพูดที่นางพูดกับกู่อิ่งที่งานเลี้ยงเมื่อวานทำให้นางรู้สึกไม่สบายใจเล็กน้อย วันนี้นางให้ศิษย์ในตำหนักไปเชิญกู่อิ่งออกไปเที่ยวด้วยกันแต่ก็ถูกปฏิเสธ
สำหรับพี่ชายคนนี้ กู่ซินเยียนไม่เข้าใจนิสัยเขาเลยจริงๆ ในใจนางมีแต่ความรู้สึกหวาดกลัวเขา
พูดกันตามจริง ตลอดทางที่มาตำหนักจิงหงนี้ กู่อิ่งตามติดนางเป็นเงา ทำให้นางรู้สึกเครียดอยู่บ้าง วันนี้กู่อิ่งไม่อยู่ นางจึงค่อนข้างผ่อนคลายขึ้นเล็กน้อย ดวงตาที่งดงามคู่นั้นมองไปรอบๆ ไม่รู้ว่ามองหาอะไร สายตาของนางมองผ่านผู้เยาว์ไปทีละคน แต่ก็ผิดหวังครั้งแล้วครั้งเล่า
คนผู้นั้นไม่มา
“น้องซินเยียน” เสียงของจูเก๋ออินดังขึ้นที่ด้านหน้าของกู่ซินเยียน กู่ซินเยียนได้สติกลับมาอย่างรวดเร็วและเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของจูเก๋ออินอยู่ตรงหน้า นางรู้สึกจนใจเล็กน้อย แต่ยังคงรอยยิ้มสุภาพเอาไว้
“คุณชายจูเก๋อ”
จูเก๋ออินไม่ได้รู้สึกว่ากู่ซินเยียนทำตัวห่างเหิน เขาก้าวเข้ามาใกล้และถามว่า ”เมื่อคืนน้องซินเยียนหลับสบายหรือไม่ เรื่องเมื่อวานน้องซินเยียนโปรดอย่าถือสาเลยนะ ข้าดื่มเยอะไปหน่อยเลยลืมตัวทำพฤติกรรมไม่เหมาะสม ทำให้น้องซินเยียนเห็นเรื่องน่าขายหน้าเข้าแล้ว”
“ไม่หรอก เมื่อวานก็แค่เรื่องเข้าใจผิดกัน” กู่ซินเยียนตอบด้วยรอยยิ้ม
“การจัดงานวันนี้ตำหนักจิงหงทำได้น่าเบื่อมาก แม้ว่าตำหนักจิงหงจะมีต้นไม้ใบหญ้าแมลงปลาให้ดูเยอะ แต่มันก็น่าเบื่อมากอยู่ดี เมื่อเช้านี้ข้าเห็นว่าเจ้าค่อนข้างสนใจดอกไม้ ถ้าวันหน้ามีโอกาส ข้าจะชวนเจ้าไปดูแปลงดอกไม้ในสวนของตำหนักจิงหงเราแน่นอน ของตำหนักจิงหงน่ะเทียบไม่ได้หรอก” จูเก๋ออินพูดด้วยรอยยิ้ม
กู่ซินเยียนพูดอะไรไม่ออก นางไม่รู้ว่าทำไมจูเก๋ออินถึงคอยตามรบกวนนางเช่นนี้ ถ้าเป็นคนอื่น นางคงทำเมินไปได้ หรือไม่ก็พูดเลี่ยงๆ ไปสักสองสามคำก็คงได้ แต่นี่อีกฝ่ายคือจ้าวตำหนักน้อยของตำหนักมังกรสวรรค์ นางจึงไม่มีทางเลือกนอกจากต้องอดกลั้นเอาไว้
ตำหนักมารโลหิตและตำหนักเปลวเพลิงปีศาจกำลังแย่งกันชิงตำแหน่งสูงสุดของสิบสองตำหนัก ถ้าพวกเขาเป็นศัตรูกับตำหนักมังกรสวรรค์ในตอนนี้ มันก็มีแต่จะสร้างปัญหาโดยไม่จำเป็นเท่านั้น
กู่ซินเยียนไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องจัดการกับจูเก๋ออินอย่างอดทน
พวกผู้เยาว์ผลัดกันขึ้นเวทีประลองคนแล้วคนเล่า ตอนนี้บนเวทีประลองมีผู้เยาว์สองคนที่มีพลังวิญญาณขั้นสีครามแล้ว
แต่สำหรับยอดฝีมือที่แท้จริงซึ่งยังยืนนิ่งอยู่ที่ด้านล่างเวทีนั้น พลังอ่อนแอเช่นนี้ยังไม่มีค่าให้พวกเขาลงมือ
จูเก๋ออินยังคงหาข้ออ้างพูดคุยกับกู่ซินเยียนต่อไป ไม่พูดไม่ได้ ด้วยหน้าตา ฐานะชาติกำเนิด และพลังของจูเก๋ออินนั้น ก็เพียงพอจะดึงดูดคนจำนวนมากมาชื่นชมเขาได้ แต่ใจของกู่ซินเยียนไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวเลย นางตอบอย่างใจลอย สายตาคอยแต่จะมองหาอะไรบางอย่างในฝูงชน
เมื่อนางเห็นเยว่อี้กับจื่อจิน สายตาของนางก็แสดงความผิดหวังอย่างมาก
สองคนนั้นจากตำหนักเงาจันทราอยู่ที่นี่แล้ว แต่ไม่มีวี่แววของจวินอู๋ ดูเหมือนว่าวันนี้เขาจะไม่มาจริงๆ
จูเก๋ออินแอบสังเกตเห็นความรู้สึกในแววตาของกู่ซินเยียน ความผิดหวังในแววตานั้นทำให้เขารู้สึกขัดหูขัดตาอย่างมาก จากนั้นเขาก็หันมองตามสายตาของกู่ซินเยียน…
ตอนที่ 1692 เวทีประลอง (4)
ท่ามกลางฝูงชน เขาเห็นเด็กหนุ่มและเด็กสาวยืนอยู่ด้วยกัน พวกเขากำลังดูการประลองบนเวที ดูเหมือนเด็กสาวจะถามคำถามที่ข้างหูของเด็กหนุ่มอยู่เป็นระยะ และเด็กหนุ่มคนนั้นก็ตอบนางอย่างใจเย็น
เด็กหนุ่มคนนั้นมีใบหน้าที่หล่อและโดดเด่นอย่างยิ่ง กระทั่งจูเก๋ออินก็ยังต้องชมว่าอีกฝ่ายหน้าตาดี แต่…
จูเก๋ออินหรี่ตาลงเล็กน้อย เขาดูเครื่องแบบที่ทั้งสองคนใส่ไม่ผิดแน่ พวกเขาคือศิษย์ของตำหนักเงาจันทรา ต่อหน้าตำหนักมังกรสวรรค์แล้ว ตำหนักเงาจันทราจะนับเป็นอะไรได้ นี่เขายืนอยู่ข้างๆ กู่ซินเยียนแล้วแท้ๆ แต่ทำไมกู่ซินเยียนถึงไม่ยอมมองเขา แต่กลับไปมองเจ้าคนจากตำหนักเงาจันทรานั่น
จูเก๋ออินยอมรับเรื่องนั้นไม่ได้ เขาข่มความไม่พอใจเอาไว้ข้างใน แล้วพูดกับกู่ซินเยียนด้วยรอยยิ้มว่า ”น้องซินเยียนว่าการประลองนี้น่าเบื่อหรือเปล่า”
กู่ซินเยียนชะงักไปนิดหนึ่ง แล้วพยักหน้าแบบส่งๆ
นางไม่ได้สนใจการประลองบนเวทีเลยด้วยซ้ำ
ดวงตาของจูเก๋ออินทอแววชั่วร้าย เขาพูดกับกู่ซินเยียนว่า ”น้องซินเยียนรอสักครู่ ข้าจะทำให้การประลองที่น่าเบื่อนี้น่าสนใจขึ้นมาเอง”
กู่ซินเยียนยังไม่ทันเข้าใจว่าจูเก๋ออินหมายความว่าอย่างไร จูเก๋ออินก็เดินออกไปแล้ว
ตั้งแต่ตอนที่จูเก๋ออินเข้าไปคุยกับกู่ซินเยียน เฟยเยียนก็ไปซ่อนตัวอยู่ในมุมมืดเพื่อไม่ให้เป็นที่ขัดหูขัดตา แต่ยังแอบสังเกตการกระทำของจูเก๋ออินอยู่ แน่นอนว่าเขาย่อมสังเกตเห็นแววตาชั่วร้ายของจูเก๋ออินด้วย เมื่อเห็นจูเก๋ออินเดินตรงเข้าไปในฝูงชน เฟยเยียนก็เดินตามไปทันทีด้วยความรู้สึกไม่สบายใจ
จื่อจินกำลังคุยกับเยว่อี้เรื่องบนเวทีประลอง แม้ว่าเยว่อี้จะค่อนข้างมืดมนเงียบขรึม แต่สิ่งที่ต้องพูดเขาก็พูดออกมา เสียงของเขาทุ้มต่ำ ไม่เคยหงุดหงิดแม้แต่น้อย ทำให้จื่อจินรู้สึกพอใจมาก มุมปากของนางจึงยกยิ้มเล็กน้อย
ขณะที่จื่อจินกำลังจะถามคำถามต่อ เสียงหนึ่งก็ดังขึ้นด้านหลังพวกเขา
“พวกเจ้าเป็นคนของตำหนักเงาจันทราใช่หรือไม่”
เสียงนั้นค่อนข้างดัง เหล่าผู้เยาว์ที่อยู่รอบๆ จึงพากันหันมามอง
จื่อจินและเยว่อี้หันหน้ามาและเห็นจูเก๋ออินยืนอยู่ต่อหน้าพวกเขา พัดในมือของเขาโบกช้าๆ อย่างไม่ใส่ใจ ใบหน้าเชิดขึ้นเล็กน้อยแฝงความหยิ่งยโส
จื่อจินตื่นตระหนกขึ้นมาเล็กน้อย สองมือของนางจับแขนของเยว่อี้ไว้โดยไม่รู้ตัว เยว่อี้ขมวดคิ้วมองจูเก๋ออิน ดูจากการแต่งกายและหน้าตาของจูเก๋ออิน เขาก็รู้แล้วว่าจูเก๋ออินเป็นใคร
“ข้าเป็นศิษย์ของตำหนักเงาจันทราจริง ไม่ทราบว่าคุณชายจูเก๋อมีเรื่องอะไรอย่างนั้นหรือ” เยว่อี้พูดอย่างสงบ ชื่อเสียงของจูเก๋ออินในสิบสองตำหนักไม่ค่อยดีนัก หยิ่งยโสจองหอง ทำอะไรไม่คิดถึงผลลัพธ์ที่จะตามมา เป็นคนที่รับมือยากที่สุดในบรรดาเด็กรุ่นใหม่ของตำหนักมังกรสวรรค์
จูเก๋ออินมองจื่อจินที่หน้าซีด แล้วยิ้มเยาะอยู่ในใจ เขาเลิกคิ้วและพูดว่า ”ไม่มีอะไร แต่ดูเหมือนพวกเจ้าสนใจการประลองมากเลยนี่ อย่างไร ไม่อยากขึ้นไปลองเองบ้างหรือ”
น้ำเสียงของจูเก๋ออินเต็มไปด้วยความเป็นปฏิปักษ์อย่างรุนแรง ทำให้เยว่อี้งุนงงเล็กน้อย
ตำหนักเงาจันทรากับตำหนักมังกรสวรรค์นั้นเป็นน้ำบ่อไม่ยุ่งกับน้ำคลองมาตลอด พวกเขากับจูเก๋ออินก็ไม่ได้มีเรื่องอะไรกัน ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวติดต่อกันเลย แล้วทำไมจู่ๆ จูเก๋ออินถึงมาหาเรื่องพวกเขา
“ไม่ล่ะ พลังของข้ายังอ่อนด้อย ไม่พอจะขึ้นแสดงในงานใหญ่เช่นนี้หรอก จะออกไปขายหน้าเสียเปล่าๆ” เยว่อี้พูดอย่างระมัดระวัง และบังจื่อจินไว้ด้านหลังของเขา