ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 179 พลังของสำนักชิงอวิ๋น (1) ตอนที่ 180 พลังของสำนักชิงอวิ๋น (2)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 179 พลังของสำนักชิงอวิ๋น (1) ตอนที่ 180 พลังของสำนักชิงอวิ๋น (2)
ตอนที่ 179 พลังของสำนักชิงอวิ๋น (1)
อดีตฮ่องเต้ที่ถูกคุมขังร่วมกับมั่วเซวี่ยนเฝ่ยมองไปยังไป๋อวิ๋นเซียนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามอย่างเงียบๆ และแววตาที่ขุ่นเคืองก็ปรากฏขึ้นในดวงตาของเขา หากไป๋อวิ๋นเซียนไม่ให้ผีเสื้อครวญจิตออกไปหาคนของสำนักชิงอวิ๋น ตอนนี้พวกเขาก็คงรอดแล้ว หากไป๋อวิ๋นเซียนไม่ใช้วิธีชั่วร้ายแบบนั้นจัดการกับประชาชนในเมืองหลวงทั้งหมด จวินอู๋เสียและมั่วเฉี่ยนยวนก็คงไม่มีข้ออ้างในการนำทัพทหารบุกเข้ามาในวังหลวง!
เขาจะไม่ถูกบังคับให้สละราชสมบัติ และมั่วเซวี่ยนเฝ่ยก็จะไม่กลายเป็นสภาพไม่เป็นผู้เป็นคนอย่างที่เขาเป็นในตอนนี้!
ทั้งหมดเป็นเพราะผู้หญิงคนนี้!
เพราะความโง่เขลาของนางจึงทำให้พวกเขาแพ้ทุกอย่าง!
ไป๋อวิ๋นเซียนกำลังหวาดกลัวอยู่จึงไม่ได้สังเกตเห็นดวงตาที่ชั่วร้ายของอดีตฮ่องเต้ นางแค่ภาวนาให้ตัวเองอย่าตกอยู่ในสภาพเดียวกันกับมั่วเซวี่ยนเฝ่ยก็เป็นพอ
ณ เวลานี้ในสายตานาง ความรักอะไรก็ไม่สำคัญเท่ากับชีวิตของนาง
อดีตฮ่องเต้มองไป๋อวิ๋นเซียนอย่างเย็นชา เรื่องราวมาถึงจุดนี้แล้ว เขาก็ไม่มีความหวังอะไรแล้ว แต่หากจวินอู๋เสียต้องการหลอกลวงคนของสำนักชิงอวิ๋นผ่านไป๋อวิ๋นเซียน…ข้าเกรงว่ามันจะไม่ง่ายอย่างนั้น
มีบางอย่างที่เป็นข้อตกลงส่วนตัวระหว่างเขากับเจ้าสำนักชิงอวิ๋นที่แม้แต่ไป๋อวิ๋นเซียนก็ยังไม่รู้ คนที่สำนักชิงอวิ๋นส่งมาไม่ได้มาเพื่อช่วยไป๋อวิ๋นเซียนเท่านั้น…
เขาจะรอดู รอดูจวินอู๋เสีย รอดูมั่วเฉี่ยนยวน รอดูไป๋อวิ๋นเซียนไม่ตายดี
ความคิดที่ชั่วร้ายของอดีตฮ่องเต้ทำให้เขาหัวเราะออกมาเบาๆ ไป๋อวิ๋นเซียนที่ยังอยู่ในความกลัวมองไปทางอดีตฮ่องเต้ และเห็นว่าอดีตฮ่องเต้มองนางด้วยสายตาที่เกลียดชังราวกับว่านางเป็นศัตรูที่เขาอยากทำลายทันที
ไป๋อวิ๋นเซียนย่อไหล่ลง นางไม่ได้รู้สึกผิดหรือรู้สึกว่าทั้งหมดนี้เกิดจากความโง่เขลาของนางเอง นางเป็นเหยื่อของเรื่องราวทั้งหมด หากไม่ใช่เพราะรัฐชีมีคนบ้าอย่างจวินอู๋เสีย นางจะต้องมาทนทุกข์ทรมานเช่นนี้ได้อย่างไร เพราะอดีตฮ่องเต้และมั่วเซวี่ยนเฝ่ยไร้ความสามารถ จึงทำให้นางต้องลำบากไปด้วยไม่ใช่หรือ นางมีสติสามารถเอาตัวรอดได้ผิดอะไรกัน!
ห้าวันต่อมา ขบวนรถม้าที่งดงามค่อยๆ เคลื่อนตัวเข้ามาจากนอกเมืองหลวงรัฐชี ธงที่ประดับอยู่ด้านนอกรถม้าเป็นรูปเมฆาคล้อย ทหารนอกประตูเมืองจึงปล่อยรถม้าเข้าไปทันทีไม่กล้าขัดขวางเมื่อพวกเขาเห็นธงนั่น
ธงรูปเมฆาคล้อย เป็นตราสัญลักษณ์ของสำนักชิงอวิ๋น ไม่มีใครกล้าที่จะเป็นศัตรูกับขบวนที่มีธงนี้ประดับอยู่
ตรงกลางของขบวนรถ ภายในรถม้าที่งดงามที่สุด หญิงสาวในชุดสีฟ้าอ่อนมีใบหน้าที่งดงามมาก นางนั่งอยู่ในรถม้า ดวงตาที่เป็นประกายมองผ่านหน้าต่างของรถม้า มองดูประชาชนรัฐชีที่ยืนมองอยู่บนถนน ริมฝีปากสีดอกกุหลาบของนางคลี่ยิ้มออกมาเล็กน้อย ทั้งดูอ่อนโยนและสง่างาม
“ที่นี่ก็คือเมืองหลวงของรัฐชีอย่างนั้นหรือ” หญิงสาวชุดฟ้าหันกลับมาแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม
“ใช่แล้วขอรับ คุณหนูใหญ่” ชายชราผมหงอกนั่งอยู่บนรถม้าด้วยกัน แม้ว่าเขาจะอายุมากแล้ว แต่ดวงตาที่เฉียบแหลมของเขาเผยให้เห็นว่าพลังของเขาไม่ได้แตกต่างไปจากวัยหนุ่มสาวเลย
“ยัยเด็กอวิ๋นเซียนนั่นกลับติดอยู่ในสถานที่เล็กๆ แบบนี้ มันช่าง…” หญิงสาวถอนหายใจออกมาเบาๆ ใบหน้าที่อ่อนโยนของนางแสดงสีหน้าจนใจออกมา แต่ดวงตาที่หลบอยู่ของนางกลับแสดงความดูถูกเหยียดหยัน
“ข่าวจากผีเสื้อครวญจิตที่คุณหนูอวิ๋นเซียนส่งมาบอกแบบนี้ขอรับ” ชายชรากล่าวอย่างเคารพ
“ข้าเห็นทหารเฝ้าเมืองทั้งในและนอกกำแพงเมืองนั้นมีไม่มาก อวิ๋นเซียนบอกว่าเมืองนี้ถูกล้อมรอบไปด้วยกองทัพทหารที่มีชื่อว่ากองทัพรุ่ยหลินไม่ใช่หรือ หญิงสาวเท้าคางอย่างไม่เห็นด้วย ตลอดทางที่ขบวนรถม้าของสำนักชิงอวิ๋นเดินทางมา ไม่พบสิ่งผิดปรกติใดเลย ทหารทั้งในและนอกเมืองหลวงก็ไม่ได้มีมากขนาดนั้น ซึ่งไม่สอดคล้องกับข่าวที่ผีเสื้อครวญจิตบอกมาอย่างสิ้นเชิง
ตอนที่ 180 พลังของสำนักชิงอวิ๋น (2)
“การเดินทางครั้งนี้ไม่เพียงแต่เพื่อคุณหนูอวิ๋นเซียนเท่านั้น แต่เรายังมาเพื่อนำสิ่งที่ท่านเจ้าสำนักต้องการกลับไปด้วย คุณหนูใหญ่ท่านไม่ได้ออกเดินทางมาเป็นเวลานานมากแล้ว ดังนั้นถือว่าออกมาพักผ่อนก็ดีขอรับ” ชายชรากล่าวด้วยรอยยิ้ม
หญิงสาวในชุดสีฟ้ายิ้มและไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก
บนถนนที่พลุกพล่าน สายตาของประชาชนถูกดึงดูดด้วยรถม้าขบวนนี้ ผู้คนที่แออัดอยู่บนถนนทั้งสองฝั่งเงยหน้าขึ้นแล้วมองไปรอบๆ บนชั้นสองของเหลาอาหารข้างถนน จวินอู๋เสียนั่งอยู่ที่โต๊ะริมหน้าต่างแล้วมองขบวนรถม้าเคลื่อนเข้ามาในเมืองหลวง
“สำนักชิงอวิ๋น” จวินอู๋เสียหรี่ตาลง ขบวนนี้มีรถม้าสิบคัน นอกจากคนที่ขี่ม้าแล้ว ในรถม้ามีคนอย่างน้อยสองคน
“ไป๋อวิ๋นเซียนบอกว่าคนของสำนักชิงอวิ๋นที่มาในครั้งนี้มีประมาณสิบคน ผู้นำในครั้งนี้คือฉินอวี่เยียนบุตรีของเจ้าสำนักชิงอวิ๋น และยังมีเจียงเฉินชิงผู้อาวุโสของสำนักชิงอวิ๋นที่ตามมาด้วย อีกแปดคนที่เหลือคือศิษย์สายในของสำนักชิงอวิ๋นทั้งหมด นอกจากคนของสำนักชิงอวิ๋นแล้ว ยังมีผู้เชี่ยวชาญอีกสิบห้าคนที่ไม่ใช่คนของสำนักชิงอวิ๋นติดตามมาด้วย” มั่วเฉี่ยนยวนซึ่งนั่งอยู่ด้านข้างกำลังตรวจข้อมูลที่ไป๋อวิ๋นเซียนส่งมาซ้ำแล้วซ้ำเล่า สำนักชิงอวิ๋นเป็นที่หนึ่งของการรักษา มีคนที่แข็งแกร่งมากมายในโลกที่เต็มใจทำงานให้กับพวกเขา และคนสิบห้าคนที่ไม่ทราบที่มาก็เป็นส่วนหนึ่งในนั้น
“สิบห้าคนนั้นเป็นใคร ไป๋อวิ๋นเซียนก็ไม่รู้ แต่นางบอกข้อมูลทุกอย่างที่เกี่ยวกับคนของสำนักชิงอวิ๋นที่มาด้วยทั้งหมด ตอนนี้เจียงเฉินชิงได้ผ่านพลังระดับปราณสีน้ำเงินมาแล้ว เป็นผู้เชี่ยวชาญที่หายาก นอกจากเขาแล้ว ศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นทุกคนล้วนผ่านพลังระดับปราณสีเหลืองแล้ว ครั้งนี้เจ้าสำนักชิงอวิ๋นลงทุนใหญ่จริงๆ ไม่เพียงแต่ปล่อยคนระดับปราณสีน้ำเงินออกมาเท่านั้น เขายังเชิญผู้ช่วยอีกสิบห้าคนมาด้วย ข้าเดาว่าพลังของสิบห้าคนนั้นไม่ด้อยกว่าเจียงเฉินชิงอย่างแน่นอน”
จวินอู๋เสียฟังอย่างเงียบๆ ตามความเร็วปกติของการฝึกฝนแล้ว หากคนหนึ่งต้องการผ่านพลังระดับปราณสีน้ำเงินนั้นอายุของเขาจะต้องเกินร้อยปี แต่จากข้อมูลที่ไป๋อวิ๋นเซียนกล่าว ตอนนี้เจียงเฉินชิงมีอายุเพียงเจ็ดสิบปีต้นๆ เท่านั้น จากพลังระดับปราณสีแดงจนถึงระดับปราณสีน้ำเงิน เขาใช้เวลาน้อยกว่าคนทั่วไปเป็นเวลาสามสิบปี นั่นหมายความว่าเขามีพรสวรรค์จริงๆ
กวาดตามองไปทั่วทั้งรัฐชี ไม่มีผู้เชี่ยวชาญคนใดที่ผ่านพลังระดับปราณสีน้ำเงินเลย พรสวรรค์ของท่านอาเล็กของนางนั้นโดดเด่นมาก แต่เขาก็อยู่แค่ขั้นสูงของระดับปราณสีเหลืองเท่านั้น และท่านปู่ของนางอยู่ระดับปราณสีเขียวมายี่สิบกว่าปีแล้วก็ยังไม่ผ่านระดับปราณสีน้ำเงินเสียที
จากระดับปราณสีเขียวสู่ปราณสีน้ำเงิน แม้ว่าจะมีความแตกต่างเพียงระดับเดียวเท่านั้น แต่ต้องใช้เวลาเกือบหกสิบปีสำหรับคนที่มีความสามารถระดับกลาง…
แม้ว่าคนธรรมดาที่ต้องการจะอยู่ระดับปราณสีเขียวจะฝึกฝนอย่างหนักหน่วงทุกวันหลังจากปลุกภูติวิญญาณก็ต้องใช้เวลาถึงหนึ่งร้อยเจ็ดปี และจะต้องเป็นการในเลื่อนขั้นที่ไม่มีอุปสรรคและสำเร็จลุล่วงไปได้ด้วยดี
หากเกิดอะไรขึ้นระหว่างเลื่อนขั้น เกรงว่าจะต้องใช้เวลาเพิ่มขึ้นเป็นสองเท่า
การพัฒนาพลังวิญญาณดูเหมือนจะง่าย ขอแค่ตั้งใจก็พอ แต่การเลื่อนในแต่ละระดับได้ทำลายความหวังของคนเป็นจำนวนมาก
การฝึกฝนพลังวิญญาณไม่จำเป็นต้องมีพรสวรรค์ แต่การฝ่าฟันระดับเลื่อนขั้นขึ้นไปในทุกครั้งจำเป็นต้องมีพรสวรรค์
มีคนมากมายที่ฝึกฝนมาครึ่งชีวิต แต่ก็อยู่แค่ระดับปราณสีส้มเท่านั้น
จวินอู๋เสียกัดฟัน ตอนนี้นางอยู่แค่ระดับปราณสีแดงตัวน้อยๆ แม้ว่าตอนนี้นางจะมีความรู้สึกว่าจะเลื่อนระดับเป็นปราณสีส้มในเร็วๆ นี้ แต่เมื่ออยู่ต่อหน้าปราณสีน้ำเงินนางอาจสลายไปทันทีในพริบตาเดียว
ยังไม่พอ
นางยังไม่แข็งแกร่งมากพอ
สำนักชิงอวิ๋นส่งออกมาก็ระดับปราณสีน้ำเงินเลย พลังแบบนี้เหมือนกับภูเขาที่กดทับหัวใจของจวินอู๋เสียทำให้นางหายใจช้าลง
ความแข็งแกร่งของสำนักชิงอวิ๋น ทำให้หัวใจของจวินอู๋เสียมั่นใจมากขึ้นว่าไม่ว่าจะอย่างไร นางไม่อาจปล่อยให้สกุลจวินเผชิญหน้ากับสำนักชิงอวิ๋นได้ในตอนนี้