ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 253 การเดินทางไกล ตอนที่ 254 เทือกเขาเมฆา (1)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 253 การเดินทางไกล ตอนที่ 254 เทือกเขาเมฆา (1)
ตอนที่ 253 การเดินทางไกล
เมื่อไม่มีหนทางอื่นที่จะใช้บ่มเพาะพลังวิญญาณได้ จวินอู๋เสียก็เริ่มหันความสนใจไปที่พืชและต้นไม้ชนิดอื่นๆ
พลังวิญญาณของนางนั้นสามารถเติบโตขึ้นได้โดยการปลูกบัวหิมะซังอวี้ เช่นนั้นหากนางปลูกพืชชนิดอื่นๆ มันจะให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกันหรือไม่
เพื่อพิสูจน์ข้อสันนิษฐานนี้ จวินอู๋เสียจึงเริ่มทดลองปลูกพืชสมุนไพรชนิดต่างๆ ในลานเรือนพักของนาง หลังจากพยายามมากว่าสิบวัน ในที่สุดนางก็ค้นพบว่าพืชธรรมดาไม่สามารถให้พลังวิญญาณใดๆ แก่นางได้ จะมีก็แต่สมุนไพรล้ำค่าหายากบางตัวเท่านั้นที่พอจะให้นางสะสมพลังวิญญาณได้เพียงเล็กน้อย แต่อัตราการเติบโตนี้แทบจะเรียกได้ว่าไม่มีความคืบหน้าเลยเมื่อเทียบกับการปลูกบัวหิมะซังอวี้
แต่…มีน้อยก็ยังดีกว่าไม่มีเลย
อีกสิบเจ็ดวันก็จะถึงวันที่สิบห้าของเดือนหน้าแล้ว จวินอู๋เสียบอกลาจวินเสี่ยนกับจวินชิงที่มายืนส่งนางถึงที่หน้ารถม้า ก่อนจะขึ้นรถม้าไปแล้วมุ่งหน้าสู่สำนักชิงอวิ๋น การเดินทางในครั้งนี้ มั่วเฉี่ยนยวนที่ร่างกายเริ่มฟื้นตัวแล้วปีนขึ้นไปยืนบนกำแพงเมืองหลวงอย่างเงียบๆ แล้วมองส่งนางจากไปท่ามกลางการอารักขาของสกุลจวินด้วยแววตาเศร้าสร้อย
การจากลากันในครั้งครั้งนี้ ไม่รู้ว่าอีกนานแค่ไหนกว่าจะได้พบกันอีกครั้ง ดวงตาของมั่วเฉี่ยนยวนดิ่งลึก มองดูรถม้าของจวินอู๋เสียที่หายไปจากสายตาของเขาทีละเล็กละน้อยราวกับว่าเขาไม่สามารถถอนมันกลับคืนมาได้
ในรถม้าเด็กหนุ่มรูปงามนั่งอยู่ด้านในอย่างเงียบๆ โดยมีเจ้าแมวดำตัวน้อยที่แสนรู้ความเหยียดร่างนอนอยู่ในอ้อมแขนของเขา
ก่อนออกจากจวนหลินอ๋อง จวินอู๋เสียได้เปลี่ยนรูปโฉมของนางให้กลายเป็นเด็กหนุ่มที่เข้าไปในเมืองผีในวันนั้น การเดินทางในครั้งนี้มีเพียงเจ้าแมวดำตัวน้อยและเจ้าดอกบัวขาวเท่านั้นที่ติดตามนางไปด้วย ในรถม้าจวินอู๋เสียยังนำยอดสุราธาราหยกติดตัวมาด้วยหลายไห นางจะใช้พวกมันบ่มเพาะพลังระหว่างที่เดินทางไปยังสำนักชิงอวิ๋นในครั้งนี้
ก่อนหน้าที่นางจะจากมา จวินอู๋เสียเองก็อยากที่จะไปร่ำลาจวินอู๋เย่าอยู่เหมือนกัน แต่นางหาตัวเขาอย่างไรก็หาไม่พบเสียที จึงได้แต่ตัดใจและยอมแพ้ไป
“เจ้านาย ท่านจะไปเป็นศิษย์ที่สำนักชิงอะไรนั่นจริงๆ หรือ” เจ้าแมวดำตัวน้อยถามแล้วถูตัวของมันในอ้อมแขนของจวินอู๋เสียอย่างสบายใจ เด็กสาวในคราบของเด็กหนุ่มยกมือขึ้นลูบขนมันอย่างอ่อนโยน พลางขยับตัวเล็กน้อยเพื่อให้เจ้าแมวดำตัวน้อยเหยียดกายนอนได้สบายยิ่งขึ้น ไม่ใช่ว่ามันจะไม่รู้จุดประสงค์ที่จวินอู๋เสียไปเยือนสำนักชิงอวิ๋นในครั้งนี้ แต่เจ้าแมวดำตัวน้อยทำใจรับไม่ได้จริงๆ ที่จะให้ใครมาเป็นอาจารย์หลอกๆ ของเจ้านายมัน ยิ่งคิดมันก็ยิ่งรู้สึกไม่สบายตัว…
บนโลกใบนี้ น่ากลัวว่าคนที่มีทักษะทางการแพทย์สูงล้ำมากพอที่จะมาเป็นอาจารย์ของจวินอู๋เสียยังไม่เกิดกระมัง!
“สำนักชิงอวิ๋น” จวินอู๋เสียเอ่ยเตือนมันอย่างระวัง
ตามข้อมูลที่ไป๋อวิ๋นเซียนให้มา เป้าหมายของการเดินทางไปสำนักชิงอวิ๋นในครั้งนี้ของจวินอู๋เสียก็คือการแฝงตัวเข้าสู่สำนักชิงอวิ๋นในฐานะศิษย์ของยอดเขาเทียมเมฆาภายใต้การดูแลของผู้อาวุโสสูงสุดนามมู่เฉิน
ศัตรูของศัตรูก็คือมิตร จวินอู๋เสียไม่ถือสาแม้มิตรที่ต้องการหานี้จะเป็นสมาชิกในสำนักของศัตรูก็ตาม
รถม้าแล่นออกไป คนผู้หนึ่งซึ่งซ่อนตัวอยู่ตรงมุมหนึ่งของเมืองหลวงไม่อาจเห็นเงาของรถม้าคันนั้นได้อีก
ด้านนอกประตูเมือง จวินอู๋เย่ามองตามรถม้าคันที่จวินอู๋เสียนั่งอยู่จนมันค่อยๆ เลือนหายไปจากสายตา นัยน์ตาสีเข้มของเขาหรี่ลงอย่างครุ่นคิด
ชายชุดดำที่ติดตามแฝงเป็นเงาของเขามาโดยตลอดก็ปรากฏตัวออกมาคุกเข่าลงตรงปลายเท้าของจวินอู๋เย่า สายตาของเขาบ่งบอกได้ถึงความประหลาดใจ ทั้งๆ ที่นายท่านเองก็รู้ดีว่าวันนี้เป็นวันออกเดินทางของคุณหนูใหญ่ แต่กลับหลบซ่อนตัวไม่ยอมออกไปพบ จนกระทั่งคุณหนูใหญ่จากไปแล้ว นี่ถึงได้ปรากฏตัวออกมายืนมองรถม้าคันนั้นวิ่งหายลับไป ตั้งแต่ติดตามนายท่านมาเป็นเวลานานแสนนานจนถึงบัดนี้ เขารู้สึกแปลกใจมากว่าเหตุใดนายท่านถึงไม่ร่วมเดินทางไปกับคุณหนูใหญ่ด้วย
“เยี่ยซา” จวินอู๋เย่าเอ่ยขึ้นทันใด
“ข้าน้อยอยู่นี่แล้วขอรับ” เงาดำที่มีชื่อว่าเยี่ยซาคุกเข่าลงกับพื้น
“ติดตามนางไป แล้วปกป้องนางให้ดี” จวินอู๋เย่าหรี่ตาลง หากเขาไม่มีธุระที่ต้องจัดการที่นี่ เขาคงตามนางไปแล้ว จะปล่อยให้เด็กน้อยของเขาออกไปวิ่งเล่นนอกบ้านตามลำพังเช่นนี้ได้อย่างไร
“ข้าน้อยรับบัญชา” เยี่ยซารับคำสั่ง แต่กลับลอบร้องอุทานในใจว่า…ว่าแล้วเชียว!
“แต่หากไม่มีอันตรายใดๆ ก็อย่าปล่อยให้นางรับรู้ถึงการมีตัวตนของเจ้า” จวินอู๋เย่าย้ำด้วยน้ำเสียงเย็นชา
แค่สำนักชิงอวิ๋นเล็กๆ แห่งหนึ่งไม่ได้อยู่ในสายตาของเขาอยู่แล้ว ในเมื่อเสี่ยวเสียเอ๋อร์ของเขาคิดจะจัดการกับพวกมัน เขาก็เชื่อว่านางสามารถทำมันได้ด้วยตัวเอง แต่สิ่งที่เขาติดใจก็คือ ขุมพลังที่ซ่อนอยู่เบื้องหลังสำนักชิงอวิ๋น
หนึ่งในสิบสองตำหนัก ไม่ว่าจะเป็นตำหนักไหน ก็ไม่ใช่สิ่งที่พลังของจวินอู๋เสียสามารถรับมือกับมันได้ในเวลานี้
ตอนที่ 254 เทือกเขาเมฆา (1)
ในวันที่สิบห้าของทุกเดือนจะเป็นวันที่เทือกเขาเมฆาของสำนักชิงอวิ๋นมีชีวิตชีวาและคึกคักมากที่สุด เทือกเขาเมฆาตั้งอยู่ติดขอบพรมแดนระหว่างรัฐ ถูกรัฐต่างๆ ล้อมรอบเอาไว้ แต่มันก็เป็นอิสระไม่ขึ้นตรงต่อรัฐใด เนื่องจากเทือกเขาเมฆามียอดเขาทั้งสิ้นสิบสองยอด ถนนที่จะใช้ไปถึงยอดเขาจึงมีเพียงเส้นทางเดียวและต้องเดินด้วยเท้าเท่านั้น
สิ่งที่มีชื่อเสียงที่สุดของเทือกเขาเมฆาไม่ใช่ที่ตัวของมันเอง แต่เป็นสำนักชิงอวิ๋นที่ตั้งอยู่ด้านบน!
สำนักชิงอวิ๋นคือสำนักที่ดีที่สุดในโลกใบนี้ ขึ้นชื่อด้านการแพทย์และการปรุงโอสถมากที่สุด ในทุกๆ วันที่สิบห้าของทุกเดือน ประตูของหุบเขาจะถูกเปิดออกเพื่อรับสมัครศิษย์ที่มีพรสวรรค์ด้านการแพทย์รุ่นใหม่ ขอเพียงแค่พวกเขาผ่านการทดสอบเข้าไปได้ ก็จะถูกนับว่าเป็นศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นทันที
สำนักชิงอวิ๋นตั้งอยู่บนพื้นที่ที่กว้างใหญ่ มีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน และนั่งอยู่ในใจของผู้คนมาแล้วนับหลายร้อยปี เจ้าสำนักชิงอวิ๋นในแต่ละรุ่นก็ยิ่งเป็นที่น่าเคารพยกย่อง มีทักษะทางการแพทย์ที่ล้ำเลิศน่าอัศจรรย์ใจ นอกจากนี้แล้วเนื่องจากสำนักชิงอวิ๋นเป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ซึ่งศึกษาเรื่องโอสถและการแพทย์มาแล้วหลายร้อยปี มันจึงมีคัมภีร์และทักษะตำราการแพทย์ซึ่งหาได้ยากมากมายถูกเก็บไว้ในหอตำราของสำนัก ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่ามันเป็นสถานที่ที่ผู้ที่ไขว่คว้าและหมกมุ่นในด้านการแพทย์และโอสถจะต้องมาเยือนให้ได้สักครั้งในชีวิต ยิ่งหมายมั่นปั้นมือว่าจะต้องเข้าไปเป็นศิษย์หรือสมาชิกของสำนักชิงอวิ๋นให้ได้
ต้องรู้ก่อนว่าด้วยอำนาจทั้งเบื้องหน้าและเบื้องหลัง เม็ดยาวิเศษ และทักษะตำรา ใดๆ ล้วนแต่เป็นสิ่งที่ผู้คนมากมายในโลกนี้ใฝ่ฝันถึง เมื่อพวกเขาเข้าสู่สำนักชิงอวิ๋นสถานะของพวกเขาก็จะทะยานพุ่งสูงขึ้นทันที
จึงเป็นที่เข้าใจได้ถึงฉากที่แออัดและกระโจมเล็กใหญ่มากมายหลายร้อยของแต่ละขุมกำลังที่มาจับจองสถานที่ด้านล่างเทือกเขาเมฆาเอาไว้ เพราะรู้ดีอยู่แล้วว่าในวันที่ประตูของหุบเขาถูกเปิดออก ท้องถนนจะต้องแออัดเนืองแน่นไปด้วยผู้คนจนขยับเขยื้อนไม่ได้อย่างแน่นอนเนื่องจากผู้คนจะหลั่งไหลมาจากทั่วทุกสารทิศ
รถม้าคันหนึ่งซึ่งไม่สะดุดตาจอดอยู่ที่ตีนเขาของเทือกเขาเมฆา เด็กหนุ่มใบหน้างดงามรูปร่างเล็กในชุดอาภรณ์คล้ายกับบัณฑิตดูเรียบง่ายและไม่หวือหวามากนักก้าวลงมาจากรถม้า ก่อนจะกระซิบบอกกับคนขับรถม้าสองสามคำ จากนั้นเด็กหนุ่มผู้นั้นก็มุ่งตรงขึ้นไปยังเทือกเขาเมฆาทันที
ถนนที่มุ่งสู่ยอดเขาเมฆาคลาคล่ำไปด้วยผู้คน กลุ่มคนเหล่านี้คนที่ดูมีอายุมากที่สุดก็มีอายุไม่เกินสิบแปดปีเท่านั้น ส่วนคนที่มีอายุน้อยที่สุดเห็นจะอยู่ที่ราวๆ สิบสี่ปีขึ้นไป
สำนักชิงอวิ๋นมีกฎในการรับศิษย์ที่เคร่งครัดและเข้มงวดมาก โดยพวกเขาจะเลือกเฉพาะเด็กหนุ่มและเด็กสาวที่มีอายุระหว่างสิบสี่ถึงสิบแปดปีเท่านั้น ไม่ว่าคนผู้นั้นจะมีความสามารถมากเพียงใดหรือว่ามีพรสวรรค์โดดเด่นแค่ไหน แม้ว่าจะมีอายุอยู่เพียงแค่แปดหรือสิบปีเท่านั้น ก็ล้วนถูกปัดตกทิ้งไปทั้งสิ้น
กฎข้อนี้แม้ในสายตาของผู้คนจำนวนมากจะไม่นับว่าเป็นอันใดและไม่เห็นว่ามีส่วนไหนที่พิเศษ แต่จวินอู๋เสียกลับไม่คิดเช่นนั้น
ช่วงอายุสิบสี่ถึงสิบแปดปี เป็นช่วงอายุที่สำคัญมากที่สุดที่ภูติวิญญาณจะใช้พัฒนาและเติบโต เนื่องจากตั้งแต่ตอนที่ภูติวิญญาณถูกปลุกให้ตื่นขึ้นมาไปจนถึงหล่อหลอมจิตวิญญาณของพวกมันให้ประสานเข้ากับจิตของมนุษย์โดยสมบูรณ์ ในช่วงสี่ปีสั้นๆ นี้จึงเป็นช่วงที่จิตของพวกมันจะบริสุทธิ์มากที่สุด หรืออีกนัยหนึ่งก็หมายความว่าเป็นช่วงที่ง่ายต่อการล้างสมองมากที่สุดนั่นเอง สำนักชิงอวิ๋นสามารถฉวยโอกาสนี้ปลูกฝังความจงรักภักดีและความคิดที่มีต่อสำนักลงไปในหัวของพวกเขาได้
ท่ามกลางฝูงชนที่พลุกพล่าน เด็กหนุ่มสาวหลายคนที่กระฉับกระเฉง เปี่ยมไปด้วยพลังงานและจิตวิญญาณ บอกลาญาติและครอบครัวที่มาส่งพวกเขาด้วยใบหน้าที่แดงก่ำ ก่อนจะก้าวขึ้นไปข้างหน้าอย่างภาคภูมิใจที่ตัวเองได้เป็นความหวังของตระกูล
มีเพียงคนหนุ่มสาวที่มาสมัครสอบเข้าสำนักชิงอวิ๋นเท่านั้นที่มีคุณสมบัติที่จะก้าวไปในเทือกเขาเมฆาได้ ส่วนสมาชิกในครอบครัวเหล่านั้นทำได้เพียงแต่ต้องยืนรอฟังข่าวอยู่ที่ตีนเขา หากฝ่าฝืนไม่เพียงเด็กที่มาสมัครสอบจะถูกตัดสิทธิ์ แต่พวกเขาทั้งครอบครัวจะถูกผู้คุ้มกันที่คอยรักษาการอยู่ที่เชิงเขาจับโยนออกไปจากเทือกเขาเมฆาในทันที
ในบรรดาเด็กหนุ่มสาวจำนวนมากที่กำลังปีนเข้าขึ้นไปด้วยความหวังที่ล้นปรี่ ยังมีคนหนุ่มสาวอีกหลายคนที่รั้งรออยู่ที่ตีนเขา พวกเขาพลิกตำราแพทย์อย่างบ้าคลั่ง หน้าดำคร่ำเครียดอยากจะฝังตำราเหล่านั้นเข้าไปในหัวของพวกเขาเสียเหลือเกิน
จวินอู๋เสียหัวเราะขบขันให้กับฉากที่ได้เห็นตรงหน้า น้อยนักที่จะมีภาพฉากหรือสถานการณ์ใดที่ทำให้คนที่เฉยเมยเช่นนางหลุดยิ้มได้ จึงยังไม่ได้รีบปีนขึ้นไปบนเขาทันที แต่รั้งรออยู่ตรงนั้นอีกครู่หนึ่ง นางไม่เข้าใจจริงๆ ว่าสำนักที่มีทักษะทางการแพทย์ธรรมดาๆ เช่นนี้ เหตุใดถึงได้ดึงดูดผู้คนจำนวนมากถึงขั้นที่ต่อสู้แย่งชิงกันเพื่อที่จะเข้าไปยังสำนักนี้ให้ได้
จวินอู๋เสียไม่ได้สังเกตเห็นเลยว่าความสงบและไม่แยแสของนาง ดึงดูดสายตาของเด็กหนุ่มสาวรุ่นราวคราวเดียวกันให้หันมามองด้วยความสงสัย พวกเขารู้สึกผิดปกติมาก หลายคนถึงขั้นกวาดสายตามองพิจารณาเสื้อผ้าอาภรณ์ที่นางสวมใส่อยู่ ชุดเสื้อผ้าธรรมดา ไม่ได้มีเครื่องประดับล้ำค่าใด แต่กลิ่นอายที่แผ่ออกมาจากตัวของเด็กคนนี้กลับให้ความรู้สึกที่โดดเด่นและเหนือล้ำกว่า พาลให้หลายคนต้องก้มหน้าลงด้วยความอับอาย
แน่นอนว่าก็มีอีกหลายคนที่เห็นว่านางอายุยังน้อย ทั้งยังแต่งกายธรรมดาเหมือนชาวบ้านทั้วไป ไม่มีเครื่องประดับสูงค่า จึงพากันเบ้ปาก ชักสีหน้ากล่าววาจาเยาะเย้ยถากถางออกไปด้วยความรังเกียจ
“แม้แต่เด็กอย่างมัน ก็คิดจะสอบเข้าสำนักชิงอวิ๋นรึ”
“ไม่เอาน่า เด็กบ้านนอกที่ไม่เคยเห็นโลกกว้างก็อย่างนี้ ไม่เห็นหรือว่าเขาไม่ได้เตรียมตัวอะไรเลย”
“ก็จริง คิดจะเข้าสำนักชิงอวิ๋น แต่ไม่ได้เตรียมตัวเตรียมความพร้อมอะไรสักอย่าง…ถึงจะเข้าร่วมกับสำนักชิงอวิ๋นไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ได้มาเปิดหูเปิดตา เห็นถึงความแข็งแกร่งยิ่งใหญ่ของโลกใบนี้ล่ะนะ ฮ่าๆๆ…เฮ้อ แต่จะว่าไปแล้ว ธรณีประตูของสำนักชิงอวิ๋นต่ำเกินไปหรือเปล่า หมาแมวที่ไหนก็เข้าร่วมทดสอบได้” เด็กหนุ่มหลายคนที่เกิดในครอบครัวที่นับว่าพอมีความรู้ทางด้านการแพทย์อยู่บ้าง วางตำราในมือลงแล้วชี้นิ้วมาทางจวินอู๋เสียอย่างดูถูกดูแคลน
โดยที่ไม่รู้อะไรเลยว่าบุคคลที่พวกเขากำลังเยาะเย้ยอยู่นั้น ในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้าจะกลายเป็นตัวตนที่คนทั้งสำนักชิงอวิ๋นต้องหวาดกลัวและจดจำภาพของเขาฝังลึกลงไปในจิตใจ ผู้ที่จะทำให้สำนักอันดับหนึ่งที่ยิ่งใหญ่ต้องล่มสลายกลายเป็นเพียงเศษผง!