ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 259 สิบสองยอดเขา (1) ตอนที่ 260 สิบสองยอดเขา (2)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 259 สิบสองยอดเขา (1) ตอนที่ 260 สิบสองยอดเขา (2)
ตอนที่ 259 สิบสองยอดเขา (1)
สำนักชิงอวิ๋นมีการทดสอบคัดเลือกศิษย์เบื้องต้นทั้งหมดสามด่าน ด่านแรกจวินอู๋เสียพบกับเจ้าโง่ทั้งสองคนนั้น ส่วนอีกสองด่านที่เหลือนางผ่านมันไปได้อย่างง่ายดาย
จากการทดสอบทั้งสามด่านนี้ มีผู้ประสบความสำเร็จในการกวาดล้างผู้คนนับหมื่นที่มาร่วมทดสอบเข้าสำนักด้วยรวมกันหลายร้อยคน
ถนนที่เคยพลุกพล่านบัดนี้กลายเป็นพื้นที่ว่างเปล่า บนภูเขาที่เคยแออัดแต่แรกบัดนี้โล่งขึ้นมากทีเดียว
แต่ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่านั้นก็คือ เฉียวฉู่ที่เอ้อระเหยลอยชายเป็นพ่อพวงมาลัยเองก็ผ่านการทดสอบทั้งหมดมาอย่างราบรื่นเหมือนกัน ตอนนี้เขากำลังเดินตามหลังจวินอู๋เสียด้วยรอยยิ้ม ปากก็พลางชวนนางคุยอย่างอารมณ์ดีไปตลอดทาง
ผู้ที่ผ่านการทดสอบคัดเลือกเท่านั้น ถึงจะมีโอกาสเข้าร่วมกับสำนักชิงอวิ๋น ในบรรดาผู้ที่ผ่านการทดสอบหลายร้อยคน เมื่อได้มาเห็นทัศนียภาพที่งดงามของตำหนักใหญ่ของสำนักชิงอวิ๋นบนยอดเขา ก็ทำให้หัวใจของทุกคนก็เต้นรัวด้วยความตื่นเต้น จะมีก็เพียงแต่จวินอู๋เสียเท่านั้นกระมังที่ไม่ได้แยแสหรือมีอารมณ์ร่วมกับภาพที่เห็นเท่าไหร่
ตราบเท่าที่พวกเขาได้เข้าร่วมกับสำนักชิงอวิ๋น อนาคตของพวกเขาก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไปแล้ว จะต้องทะยานก้าวไกลอย่างแน่นอน!
ศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นที่ทำหน้าที่เป็นผู้นำทางส่งสัญญาณมือบอกให้กับกลุ่มเด็กใหม่ที่เพิ่งสอบผ่านที่ส่งเสียงดังในตำหนักให้เงียบเสียงลง
ร่างสูงของชายวัยกลางคนค่อยๆ ก้าวออกมาจากตำหนักใหญ่ของสำนักชิงอวิ๋นอย่างช้าๆ เขามีใบหน้าที่หล่อเหลา ดูมีอายุราวสามสิบต้นๆ แต่ทุกคนที่อยู่ในสำนักชิงอวิ๋นมานานล้วนทราบดีว่าแท้จริงแล้วเขามีอายุสี่สิบปีแล้ว คนผู้นี้ก็คือท่านเจ้าสำนักชิงอวิ๋นผู้ยิ่งใหญ่นามฉินเย่ว์นั่นเอง!
ข้างหลังฉินเย่ว์มีบุรุษสิบคนที่มีอายุแตกต่างกันเดินตามหลังมาไม่ห่าง บางคนก็มีผมขาวอยู่เต็มหัว บางคนก็อยู่ในช่วงวัยกลางคน แต่ละคนต่างมีบรรยากาศรอบตัวที่ไม่ธรรมดา แต่ไม่ว่าคนไหนก็ล้วนวางตัวสูงส่งห่างเหิน ทุกคนล้วนแต่งกายด้วยเสื้อผ้าอาภรณ์ที่สง่างามล้ำค่า พวงเขาเดินตามหลังฉินเย่ว์เข้ามาอย่างเงียบๆ
เฉียวฉู่ยืนอยู่ด้านข้างจวินอู๋เสีย แหงนหน้ามองเหล่าผู้มีอำนาจทั้งหมดที่ก้าวออกมาจากตำหนักใหญ่ของสำนักชิงอวิ๋นด้วยความตะลึงพรึงเพริด เขาก้มหน้าลงกระซิบพูดกับนางด้วยเสียงเบาอย่างอดไม่อยู่ว่า “คนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าสุดก็คือท่านเจ้าสำนักชิงอวิ๋นนามฉินเย่ว์ ส่วนอีกสิบเอ็ดคนที่ตามหลังมาก็คือเหล่าผู้อาวุโสทั้งสิบเอ็ดของสำนักชิงอวิ๋น…เอ๋! ทำไมมีแค่สิบคนเล่า ผู้อาวุโสเจียงเฉินชิงแห่งยอดเขาเมฆาเขียวหายไปไหนแล้ว”
เจียงเฉินชิงหายไปไหนน่ะหรือ…
แน่นอนว่าถูกภูติวิญญาณของคนที่ยืนอยู่ข้างๆ เจ้าตอนนี้ฉีกกระชากจนเละไม่เหลือชิ้นดีแล้วอย่างไรเล่า!
จวินอู๋เสียหรี่ตาของนางลงเล็กน้อยและกวาดสายตามองไปยังฉินเย่ว์และเหล่าผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ข้างหลังเขา ไป๋อวิ๋นเซียนเคยย้ำเตือนนางไว้ก่อนจะมาที่นี่แล้วว่าให้ระวังใครและสถานที่ใดในสำนักชิงอวิ๋นบ้าง รวมไปถึงได้บอกกล่าวลักษณะของผู้อาวุโสแต่ละคนให้นางได้ฟัง ในบรรดาผู้อาวุโสทั้งหมดสิบเอ็ดคน จวินอู๋เสียสนใจมู่เฉินแห่งยอดเขาเทียมเมฆาและเคอฉังจวีแห่งยอดเขาเร้นเมฆามากเป็นพิเศษ
มู่เฉินเป็นผู้อาวุโสที่อายุน้อยที่สุดในบรรดาผู้อาวุโสทั้งสิบเอ็ดคนของสำนักชิงอวิ๋น จึงง่ายต่อการระบุตัวตน เพียงกวาดตามองครั้งเดียวนางก็เห็นบุรุษในชุดอาภรณ์สีครามซึ่งตัดเย็บขึ้นจากผ้าไหมชั้นดี เขาดูมีอายุน้อยมาก แถมยังมีหน้าตาหล่อเหลา บุคลิกของเขาเองก็ดูไม่ธรรมดา เปี่ยมไปด้วยอำนาจและความสงบ เขาไม่สนทนากับพวกผู้อาวุโสคนอื่นๆ เลย แถมยังยืนอยู่ห่างเกือบจะรั้งท้ายแถว เห็นได้ชัดว่าเขาไม่ค่อยลงรอยกับผู้อาวุโสคนอื่นๆ เท่าไหร่
เช่นเดียวกันกับมู่เฉินที่ถูกผู้อาวุโสคนอื่นๆ เมิน รอบกายเคอฉังจวีเองก็ไม่มีผู้อาวุโสคนใดกล้าขยับเข้ามายืนใกล้เขา อย่างไรก็ตาม ก็ยังมองออกได้ถึงความแตกต่างเล็กน้อยที่เหล่าพวกผู้อาวุโสปฏิบัติต่อคนทั้งคู่ กับมู่เฉินเป็นการจงใจกีดกันและเว้นระยะห่างกับเขา แต่ส่วนเคอฉังจวีนั้นเป็นความหวาดระแวงและกลัวเกรง
เคอฉังจวีแทบจะเรียกได้ว่าแตกต่างกับมู่เฉินไปคนละขั้ว เขามีใบหน้าที่อัปลักษณ์ หลังโก่งค่อม เมื่อประกอบกับความสูงของเขาที่แต่เดิมก็ไม่ค่อยสูงเท่าไรอยู่แล้วจึงยิ่งดูเตี้ยเข้าไปใหญ่ เขาสวมใส่ชุดผ้าไหมสีม่วงเข้ม ใบหน้าไว้หนวดเครายาวเฟื้อย ยิ่งมีบรรยากาศรอบตัวที่อึมครึมมืดมน สภาพโดยรวมของเขาจึงเหมือนผีที่เพิ่งคลานออกมาจากหลุมฝังศพก็ไม่ปาน ตามที่ไป๋อวิ๋นเซียนพูดมา เคอฉังจวีแทบจะไม่มีปฏิสัมพันธ์กับผู้อาวุโสคนใดเลย นอกเสียจากติดต่อกับเจ้าสำนักบ้างเป็นครั้งคราว เขาก็แทบไม่เห็นผู้อาวุโสอื่นอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ เนื่องจากบุคลิกภาพและอุปนิสัยของเขาที่ดูเป็นคนลึกลับและหม่นหมองมืดมน จึงไม่มีผู้อาวุโสคนใดอยากจะเข้าไปยุ่มย่ามด้วย เป็นเหตุให้เขาถูกทอดทิ้งให้โดดเดี่ยวนั่นเอง
อย่างไรก็ตาม เป็นความจริงที่เคอฉังจวีได้รับการปฏิบัติที่พิเศษอย่างมากจากฉินเย่ว์ และฉินเย่ว์เองก็ให้ความสำคัญกับเขามาก แม้กระทั่งเจียงเฉินชิงที่เป็นผู้ติดตามคนสนิทเปรียบเสมือนดั่งมือขวาของเขาที่แทบยืนอยู่เหนือผู้อาวุโสคนอื่นๆ ในสำนักก็ยังไม่ได้รับสิทธิพิเศษเช่นเคอฉังจวีผู้นี้
ฉินเย่ว์มอบทรัพยากรที่ดีที่สุดของสำนักชิงอวิ๋นให้กับเคอฉังจวี และแม้กระทั่งสั่งไม่ให้อาวุโสและศิษย์คนใดเข้าไปในยอดเขาเร้นเมฆาโดยไม่ได้รับอนุญาตอีกด้วย
ตอนที่ 260 สิบสองยอดเขา (2)
การปรากฏตัวของเจ้าสำนักชิงอวิ๋นและเหล่าผู้อาวุโส ทำให้กลุ่มคนหนุ่มสาวที่ผ่านการทดสอบทั้งสามด่านเข้ามา ต่างพากันตื่นเต้นไปกับการที่ได้พบปะกับเหล่าผู้สูงศักดิ์แห่งสำนักชิงอวิ๋น พวกเขาพยายามยืดตัวให้ตรงที่สุดเท่าที่ร่างกายของพวกเขาจะยืดได้ เพื่อที่จะสร้างความประทับใจแรกพบให้แก่ท่านเจ้าสำนักและผู้อาวุโสสำนักชิงอวิ๋นทั้งสิบเอ็ดท่าน ให้เหล่าผู้เฒ่าทั้งหลายเห็นว่าพวกเขา ‘ทรงพลังและสง่างาม’ เพียงใด
ช่างเป็นเรื่องที่น่าสงสาร เหล่าลูกแกะตัวน้อยทั้งหลายไม่ได้รับรู้เลยว่าการทดสอบที่แท้จริงเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้นในตอนนี้ ส่วนในท้ายที่สุดแล้วจะมีคนเหลือรอดอยู่กี่มากน้อยนั้น นั่นคงต้องรอดูกันต่อไป
ฉินเย่ว์ที่ยืนอยู่ด้านหน้าสุดเชิดคางขึ้น เขาเอียงศีรษะเล็กน้อยมองไปยังกลุ่มคนหนุ่มสาวที่กำลังตื่นเต้นเหมือนกำลังตรวจสอบวัตถุดิบ เขาพยักหน้าให้กับศิษย์คนหนึ่งซึ่งทำหน้าที่ดูแลเกี่ยวกับการต้อนรับศิษย์ใหม่ จากนั้นศิษย์คนนั้นก็ก้าวขึ้นไปข้างหน้าเพื่อประกาศการทดสอบครั้งสุดท้ายแก่ทุกคน
“คิดจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสำนักชิงอวิ๋น ก็ต้องดูก่อนว่าพวกเจ้ามีความสามารถเพียงพอหรือไม่ สำนักชิงอวิ๋นไม่ใช่สถานที่ที่ผู้ใดอยากจะเข้าก็สามารถเข้ามาได้ การทดสอบก่อนหน้านี้ทั้งสามด่านของพวกเจ้านั้น เป็นเพียงแค่การประเมินเบื้องต้นถึงความรู้พื้นฐานที่พวกเจ้ามี ยังไม่ใช่การทดสอบรับสมัครศิษย์ที่แท้จริงของสำนักชิงอวิ๋นแต่อย่างใด ต่อจากนี้ต่างหากถึงจะเป็นตัวกำหนดว่าพวกเจ้ามีสิทธิ์ที่จะเข้าร่วมกับสำนักชิงอวิ๋นหรือเปล่า จงแสดงออกให้ดี งัดไม้เด็ดลูกเล่นที่พวกเข้าเก็บซ่อนไว้ทั้งหมดออกมาแสดงเสีย…”
การทดสอบครั้งสุดท้ายนี้ พูดไปแล้วก็ไม่ได้มีข้อกำหนดหรือว่ากฎเกณฑ์จำเพาะใดๆ ในบรรดาผู้เข้าร่วมทดสอบหลายร้อยคน ขอเพียงแค่เจ้าแสดงทักษะทางการแพทย์ของตัวเองที่น่าตื่นตาตื่นใจออกมาต่อหน้าท่านเจ้าสำนักและเหล่าผู้อาวุโส ผู้ที่มีความสามารถเข้าตาก็จะถูกพวกผู้อาวุโสหรือไม่ก็ท่านเจ้าสำนักคัดเลือกไปเอง
แน่นอนว่าทักษะทางการแพทย์หรือความสามารถในการหลอมโอสถของเจ้านั้นจะต้องโดดเด่นเหนือผู้ใดด้วย ถึงจะมีคุณสมบัติมากพอในการเข้าร่วมกับสำนักชิงอวิ๋น
จวินอู๋เสียหรี่ตาลงเล็กน้อย การทดสอบนี้ดูเหมือนจะธรรมดาก็จริง เพียงแค่ให้เหล่าผู้อาวุโสเลือกตัวเองเข้าไปเป็นศิษย์ก็พอ
แต่ผู้อาวุโสทั้งสิบเอ็ดคนจากสิบเอ็ดยอดเขานั้น ต่างก็มีจุดแข็งที่แต่งต่างกันออกไป การเลือกศิษย์ของพวกเขาจึงขึ้นอยู่กับความสามารถเฉพาะทางที่พวกเขาต้องการ
สิ่งที่มู่เฉินเชี่ยวชาญมากที่สุด ก็คือการพัฒนากล้ามเนื้อและเส้นลมปราณ ส่วนเคอฉังจวี ชื่อเสียงที่ผู้คนภายนอกต่างรับรู้ก็คือเชี่ยวชาญในด้านการเพาะปลูกพืชสมุนไพรชนิดต่างๆ
จวินอู๋เสียตัดสินใจเข้าร่วมกับยอดเทียมเมฆาของมู่เฉินก่อนที่จะเดินทางมาถึงสำนักชิงอวิ๋นแห่งนี้แล้ว โดยธรรมชาติแล้วนางจึงควรแสดงความสำเร็จในด้านการบำรุงเส้นเลือดและเส้นลมปราณของนางให้เขาเห็น
“นี่…เจ้าคิดไว้แล้วหรือยังว่าจะไปที่ยอดเขาไหน” เฉียวฉู่เมื่อเห็นว่าจวินอู๋เสียไม่พูดอะไรเลยตั้งแต่เมื่อครู่ ก็ใช้ศอกสะกิดถามนางเบาๆ อย่างใคร่รู้
จวินอู๋เสียเหลือบมองเขาตาขุ่น คิ้วเรียวขมวดเล็กน้อย
หลายคนที่ยืนอยู่ใกล้ๆ กับคนทั้งคู่ เมื่อได้ยินคำพูดของเฉียวฉู่ก็หันไปมองชายหนุ่มด้วยสายตาที่ไม่ค่อยจะพอใจเหมือนกัน
หมายความว่าอย่างไร!
ดูจากสภาพการแต่งตัวที่เหมือนขอทานของเฉียวฉู่ กับชุดเสื้อผ้าธรรมดาไร้เครื่องประดับของจวินอู๋เสีย เด็กหนุ่มสาวหลายคนที่มาจากตระกูลที่มีพื้นเพก็ลอบเบ้ปากอย่างรังเกียจ
ก็แค่คนบ้านนอกคอกนาที่เผอิญโชคดีสอบผ่านเข้ามา กล้าดีอย่างไรถึงได้พูดจาโอหังว่าอยากจะเลือกเข้าไปที่ยอดเขาไหนเช่นนี้!
แล้วดูสภาพของพวกเจ้าสิ คิดว่าจะมีท่านผู้อาวุโสท่านไหนสนใจพวกเจ้าหรืออย่างไรกัน หน้าด้านจริงๆ!
ในที่สุดเฉียวฉู่ก็สังเกตเห็นสายตาที่จ้องมองมาอย่างดูถูกเหยียดหยามของกลุ่มคนเสียที เขาหันหน้ากลับไปมอง เมื่อทราบว่าอีกฝ่ายก็คือเหล่าเด็กหนุ่มที่เพิ่งถูกเขาอัดยับไปเมื่อตอนอยู่ที่ด่านทดสอบแรก ก็ให้แสยะยิ้มแล้วหรี่ตาลงเล็กน้อย พร้อมกับชูกำปั้นไปทางเด็กหนุ่มเหล่านั้น กลุ่มเด็กหนุ่มที่กำลังสาปแช่งด่าทอพวกเขาอยู่รีบพากันก้มหน้างุด หลบหน้าหลบตาทันทีไม่กล้าสบสายตาด้วย
“ชั้นต่ำ!” เสียงสบถเบาๆ ดังมาจากกลุ่มเด็กหนุ่ม
เฉียวฉู่ไม่สนใจพวกเขา ยังคงหันไปคะยั้นคะยอถามเกี่ยวกับความต้องการของจวินอู๋เสียอย่างกระตือรือร้น จวินอู๋เสียทนความรำคาญไม่ไหว สุดท้ายจึงตอบกลับไปอย่างเหนื่อยใจว่า “ยอดเขาเทียมเมฆา”
“ยอดเขาเทียมเมฆาหรือ เหตุใดเจ้าถึงอยากไปที่ยอดเขาเทียมเมฆาเล่า” เฉียวฉู่ชะงักไป ในบรรดายอดเขาทั้งสิบเอ็ดยอด ยอดเขาเทียมเมฆาเล็กที่สุดและชื่อเสียงก็อ่อนด้อยที่สุดด้วย มิหนำซ้ำผู้อาวุโสของยอดเขาเทียมเมฆาเพิ่งจะมีอายุเพียงยี่สิบกว่าปีเท่านั้น ด้วยวัยของเขาจะมีความสามารถมากมายแค่ไหนกันเชียว! “เฮ้อ…สหายข้า ให้ข้าแนะนำอะไรเจ้าหน่อยนะ ทำไมพวกเราไม่ไปที่ยอดเขาเร้นเมฆาแทนเล่า เจ้าไม่เห็นหรือว่าที่ยอดเขาเร้นเมฆานั้นเชี่ยวชาญด้านการปลูกสมุนไพรมากที่สุด วันทั้งวันไม่ต้องทำอะไรนอกจากเพาะปลูกอย่างเดียว ต่อให้พวกเราเข้าไปเป็นศิษย์ใหม่ ก็คงไม่มีงานให้พวกเราทำมากมายนักหรอก ไม่คิดอย่างนั้นหรือ”
อีกอย่างเกณฑ์ในการรับศิษย์ที่นั่นก็ต่ำที่สุดอีกด้วย แต่เฉียวฉู่ไม่กล้าพูดประโยคสุดท้ายนี้ออกไป
“ไม่ไป” จวินอู๋เสียปฏิเสธอย่างเย็นชา
ยอดเขาเร้นเมฆาดีอย่างนั้นหรือ
เหอะ คงมีแค่คนที่ตายไปโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัวพวกนั้นเท่านั้นแหละที่จะรู้ซึ้งดีถึงสถานที่แห่งนั้นว่า ‘ดี’ เพียงใด!