ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1 - ตอนที่ 261 สิบสองยอดเขา (3) ตอนที่ 262 แย่งคน (1)
- Home
- ทรราชหญิงเจ้าหัวใจจักรพรรดิมาร เล่ม 1
- ตอนที่ 261 สิบสองยอดเขา (3) ตอนที่ 262 แย่งคน (1)
ตอนที่ 261 สิบสองยอดเขา (3)
เมื่อการทดสอบครั้งสุดท้ายเริ่มต้นขึ้น คนหนุ่มสาวทั้งหลายต่างก็พยายามอย่างเต็มที่เพื่อแสดงทักษะการเรียนรู้ตลอดทั้งชีวิตของพวกเขาต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโสและเจ้าสำนักชิงอวิ๋น บางคนร่ายตำราแพทย์ที่ท่องจำมาออกมาต่อหน้าหมู่คนจำนวนมาก บางคนหยิบเอาภาพวาดสรีระของมนุษย์ออกมาแล้วชี้จุดฝังเข็มแต่ละจุด บางคนก็ควานหาเม็ดยาที่พวกเขาหลอมมาเองกับมือออกมาแสดงให้ดู…
ลูกเล่นวิธีการต่างๆ ที่พวกเขาแสดงออกมานี้ มีให้ดูมากมายไม่รู้จบ เสียงจ้อกแจ้กจอแจดังไปทั่วตำหนักใหญ่จนเปลี่ยนสถานที่แห่งนี้ให้กลายเป็นคึกคักวุ่นวายราวกับตลาดสดก็มิปาน
จวินอู๋เสียไม่ได้เร่งรีบอะไร ตั้งแต่ต้นจนจบนางเพียงแค่จับตาดูเหล่าคนหนุ่มสาวเหล่านี้ที่พยายามอย่างหนักเพื่อแสดงความสามารถของตัวเองออกไปอย่างเงียบๆ เท่านั้น
ฉินเย่ว์และคนอื่นๆ ขมวดคิ้วเมื่อพวกเขามองดูฉากที่วุ่นวายมากขึ้น สีหน้าของทุกคนเกือบจะถูกแทนที่ด้วยการแสดงออกที่มืดมน
“เหลวไหลสิ้นดี! ในอนาคตเรื่องแบบนี้อย่าได้มารบกวนข้าอีก พวกเจ้าจัดการกันเอาเองเถิด ใครถูกใจคนไหนก็เลือกไป ส่วนคนไหนที่ไม่เข้าตาก็ไล่ลงเขาไปเสีย!” ฉินเย่ว์ไม่สามารถทนกับพฤติกรรมที่เหมือนลิงค่างไร้การศึกษาของเหล่าเด็กหนุ่มสาวกลุ่มนี้ได้อีกต่อไปแล้ว เขาสะบัดแขนเสื้อแล้วเดินออกไปจากตำหนักใหญ่ด้วยสีหน้าที่ไม่น่ามองอย่างถึงที่สุด ทั้งโกรธและไม่พอใจมาก
ไม่ใช่ทุกวันที่สิบห้าของทุกเดือนที่ฉินเย่ว์จะปรากฏตัวออกมาให้กับเหล่าศิษย์ใหม่ได้เห็น น้อยครั้งนักที่เขาจะเข้าร่วมกับการทดสอบเช่นนี้ แต่ในครั้งนี้เพราะสนใจเรื่องการทดสอบศิษย์ใหม่เป็นพิเศษจึงอยากจะออกมาร่วมครึกครื้นด้วย ทว่าฉากตรงหน้าทำเอาอารมณ์ดีๆ ของเขาป่นปี้ไปจนหมด
ครั้งนี้ทำเอาความอดทนของฉินเย่ว์หมดลงไปจริงๆ เขาจากไปทันทีและไม่คิดรั้งรออยู่ต่อแม้แต่เค่อเดียว
มู่เฉินมองตามฉินเย่ว์ที่เดินออกไปด้วยสายตาเย็นชา มุมปากของเขาหยักขึ้นเล็กน้อยแสดงออกถึงการหยามหยัน
ฉินเย่ว์ยังคงรู้จักวางตัวเสแสร้งเช่นเคย ต้นกล้าที่ดีที่มาสมัครเข้าเป็นศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นนั้น ถูกเขาคัดเลือกไปก่อนที่จะมาสอบเข้าแล้ว ที่เหลืออยู่ตรงนี้ก็มีเพียงแต่หัวผักกาดที่เขาไม่เห็นอยู่ในสายตา การที่เขาปรากฏตัวออกมาให้ทุกคนได้เห็น ก็มาพอเป็นพิธีให้คนเคารพนับถือเขาเท่านั้นแหละ ดูสิ ไม่ใช่ว่าพอจบการแสดงแล้วก็รีบแจ้นเผ่นหนีไปหรอกหรือ น่ากลัวว่ากำลังรีบไปหาศิษย์สายในกลุ่มใหม่ที่เขาเพิ่งรับเข้ามากระมัง
การแสดงของฉินเย่ว์วันนี้ ไม่มีอะไรเลยนอกจากแสดงบทบาทให้เหล่าผู้อาวุโสสองสามคนได้เห็นถึงความใจกว้างของเขา พร้อมทั้งบอกเป็นนัยว่าพวกเขาสามารถคัดเลือกศิษย์ได้เต็มที่โดยที่เขาจะไม่ไปแย่งแต่อย่างใด
มู่เฉินเก็บสายตากลับมา มองดูคนหนุ่มสาวเบื้องล่างโดยไม่มีร่องรอยของความสงสารหรือเห็นใจอยู่ในสายตาสักนิด
อายุน้อยเลือดร้อนไปบ้างก็ไม่ผิด แต่ก็ต้องมีสมองด้วย ทว่าส่วนมากล้วนแต่โง่งม เหล่าว่าที่ศิษย์ใหม่พวกนี้มัวแต่พยายามแสดงความสามารถของตัวเองออกมาอย่างหน้ามืดตามัว โดยไม่ได้ตระหนักถึงสถานการณ์ของสำนักชิงอวิ๋นเลยว่าเป็นอย่างไร และผู้อาวุโสแต่ละคนของแต่ละยอดเขานั้นต้องการอะไรจากพวกเขากันแน่
ขณะที่มู่เฉินกำลังรู้สึกเบื่อๆ อยู่นั่นเอง เขาก็สังเกตเห็นสิ่งหนึ่งที่น่าสนใจมาก
เด็กหนุ่มร่างเล็กคนหนึ่งที่ยืนอยู่ท่ามกลางฝูงชนที่ส่งเสียงอึกทึก กำลังกวาดสายตามองเหล่าผู้เข้าทดสอบที่มีอายุรุ่นราวคราวเดียวกันด้วยสายตาเย็นชา ราวกับว่าความโกลาหลทั้งปวงตรงหน้านี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับเขา และความเฉยเมยในดวงตาเหล่านั้นที่ไม่ควรมีในวัยของเขานั้นเองที่สะดุดตามู่เฉิน
โดยไม่มีที่มาที่ไป มู่เฉินเริ่มรู้สึกสนใจเด็กหนุ่มร่างเล็กคนนั้น บางทีอาจเป็นเพราะลักษณะที่เด็กหนุ่มคนนั้นแสดงออกมามันช่างเย็นชามากเกินไป หรือไม่ก็อาจเป็นสายเพราะสายตาคู่นั้นที่เปี่ยมไปด้วยความไม่แยแส ทั้งหมดทั้งมวลนี้ล้วนแต่ทำให้มู่เฉินรู้สึกว่าเด็กหนุ่มที่อยู่ตรงหน้าเขานี้แตกต่างจากเด็กทุกคนที่เขาเคยเจอราวฟ้ากับเหว
คล้ายกับจะรู้สึกได้ถึงการจ้องมองของเขา เด็กหนุ่มร่างเล็กเงยหน้าขึ้นสบตากับมู่เฉินไม่แม้แต่จะหลบสายตา เขาไม่ได้ถ่อมตัวหรือวางตัวเย่อหยิ่ง เพียงแต่ก้าวขึ้นมาข้างหน้าผ่านฝูงชน แล้วเดินตรงมาหยุดอยู่ด้านหน้ามู่เฉินอย่างไม่รีบร้อนอะไร
มู่เฉินมองไปที่เด็กหนุ่มจากระยะไกลโดยไม่มีการเคลื่อนไหวอื่นใด
เหล่าศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นหลายคน เมื่อเห็นจวินอู๋เสียเดินออกจากฝูงชนแล้วมุ่งหน้าไปที่ด้านหน้าของเหล่าผู้อาวุโส พวกเขาก็รีบก้าวขึ้นไปขว้างไว้เพื่อไม่ให้เด็กคนนั้นเข้าใกล้เหล่าผู้อาวุโสได้มากไปกว่านี้
“การทดสอบยังไม่จบ เจ้าไม่ได้รับอนุญาตให้เดินเพ่นพ่านไปทั่วสำนักชิงอวิ๋นได้!” ศิษย์คนหนึ่งของสำนักชิงอวิ๋นที่มีอายุราวยี่สิบปีต้นๆ ขมวดคิ้วและมองไปที่จวินอู๋เสียด้วยความโกรธ เจ้าเด็กนี่กล้ามากที่เดินเข้าไปหาเหล่าผู้อาวุโส!
อันที่จริงเรื่องเช่นนี้ก็เคยเกิดขึ้นมาก่อนแล้ว อย่างเช่นเมื่อเดือนที่แล้ว ทว่าหลังจากศิษย์สำนักชิงอวิ๋นเอ่ยปากเตือนออกไป คนเหล่านั้นก็ล้วนยอมถอยกลับไปแต่โดยดี
แต่จวินอู๋ไม่ได้มีวี่แววว่าจะยอมถอยกลับไปสักนิด ในทางกลับกันนางหยุดยืนอยู่ตรงนั้น แหงนหน้าขึ้นไปมองเหล่าผู้อาวุโสที่ยืนอยู่ด้านบน
“ขออภัย! พวกเราจะไปเดี๋ยวนี้แหละขอรับ!” เป็นเฉียวฉู่ที่ตามหลังจวินอู๋เสียมาติดๆ ปรี่เข้ามาพยายามลากตัวหญิงสาวให้ออกไปจากตรงนั้น เขาก้มหัวลง เอ่ยขอโทษต่อศิษย์สำนักชิงอวิ๋นที่เข้ามาตักเตือน แล้วก้มหน้าลงทั้งดึงทั้งเกลี้ยกล่อมให้จวินอู๋เสียออกไปพร้อมกับเขา
ตอนที่ 262 แย่งคน (1)
จวินอู๋เสียยืนยังคงยืนนิ่งอยู่ตรงนั้นไม่เคลื่อนไหว ในขณะที่เฉียวฉู่ยังไม่ทันจะได้ตอบสนอง มือข้างหนึ่งก็ยื่นออกไปคว้าแขนของศิษย์สำนักชิงอวิ๋นคนนั้นเอาไว้แน่น
ศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นคนนั้นระเบิดโทสะในทันที!
“ไอ้เด็กเวร! เจ้าอยากตายจริงๆ สินะถึงได้กล้าก่อเรื่องในสำนักชิงอวิ๋นแบบนี้!” กบฏแล้ว! ยังไม่ทันจะได้ก้าวเข้าประตูสำนักก็กล้าลงมือกับลูกศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นแบบนี้!
เสียงคำรามนั้น ทำให้กลุ่มคนหนุ่มสาวที่กำลังแสดงความสามารถของตัวเองออกมาต่อหน้าเหล่าผู้อาวุโสเงียบไปแล้วพร้อมใจกันมองไปทางจวินอู๋เสียเป็นตาเดียว
ภาพที่ได้เห็นตรงหน้าทำเอาทุกคนชะงักไป
เจ้าหนุ่มนั่นมันกำลังรนหาที่ตายอยู่หรือไง กล้าลงมือทำร้ายลูกศิษย์สำนักชิงอวิ๋น นางคงไม่อยากเข้าร่วมกับสำนักชิงอวิ๋นแล้วสินะ!
มีบางคนตกใจ แน่นอนว่าย่อมมีบางคนลอบหัวเราะเยาะ พวกเขาไม่ได้รู้จักกันเสียหน่อย ในเมื่อไอ้เด็กนั่นมันกล้าสร้างเรื่อง เช่นนั้นไม่เท่ากับว่าเป็นเรื่องดีต่อพวกเขาหรือ คู่แข่งจะได้ลดไปคนหนึ่ง หลายคนลอบยินดีในใจ
ไม่ว่าใครต่างก็คิดว่าจวินอู๋เสียจบสิ้นแล้วทั้งนั้น!
เฉียวฉู่ถูกการกระทำของจวินอู๋เสียทำให้ตกใจจนหลั่งเหงื่อเย็นไปทั้งกาย เด็กคนนี้เห็นเงียบๆ ไม่ค่อยพูดจา ไม่คิดเลยว่าจะก่อเรื่องปวดหัว สร้างเรื่องใหญ่ได้หน้าตาเฉยขนาดนี้!
พวกเขากำลังอยู่ระหว่างการทดสอบเข้าร่วมสำนัก ต่อหน้ากลุ่มผู้อาวุโสมากมาย จวินอู๋เสียกลับกล้าลงมือกับลูกศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋น นี่นางไม่กลัวถูกพวกเขาจับโยนลงจากภูเขาหรืออย่างไร!
“จบสิ้นแล้ว! ครั้งนี้พี่ฮวาต้องฆ่าข้าแน่ๆ” เฉียวฉู่ยืนอยู่ด้านข้างจวินอู๋เสีย ร้องไห้โดยปราศจากน้ำตา แม้จะรู้อยู่แล้วว่าจวินอู๋เสียก่อเรื่องใหญ่แล้ว เฉียวฉู่ก็ยังเตรียมพร้อมรับมือกับสำนักชิงอวิ๋น อย่างมากสุดก็แค่ถูกจับโยนลงจากภูเขาด้วยกัน แต่เขาจะให้เจ้าเด็กนี่ถูกคนของสำนักชิงอวิ๋นทุบตีไม่ได้
มองไปที่แขนขาเล็กๆ ดูไร้เรี่ยวแรงเหล่านั้น นางคงทนรับการทุบตีไม่ไหว ถ้าเกิดว่ามันใช้การไม่ได้ขึ้นมา ทีนี้ไม่ใช่แค่พี่ฮวาแล้วที่จะหักฆ่าเขา
ไม่เพียงแต่กลุ่มคนหนุ่มสาวเท่านั้นที่ถูกจวินอู๋เสียดึงดูดความสนใจ แม้แต่เหล่าผู้อาวุโสจากยอดเขาต่างๆ ก็ยังพากันมองไปที่จวินอู๋เสีย
ผู้อาวุโสซึ่งไว้เครายาวสีขาวผู้หนึ่งขมวดคิ้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “เด็กสมัยนี้นี่มันไม่รู้จักกฎระเบียบกันเอาเสียเลย ท่านเจ้าสำนักกล่าวไว้ไม่ผิด นี่มันเหลวไหลสิ้นดี!”
มู่เฉินลอบมองไปที่จวินอู๋เสียโดยไม่พูดอะไร ไม่มีใครสังเกตเห็น แววตาของเคอฉังจวีที่ยืนเงียบมาโดยตลอดกลับวาววาบขึ้นอย่างอันตราย ทว่าประกายในดวงตานั้นก็ถูกปิดซ่อนไปอย่างรวดเร็ว
ในขณะที่ศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋นคนนั้นำลังเตรียมจะลงมือโต้กลับ เสียงของจวินอู๋เสียก็ดังโพล่งขึ้นก่อนว่า “พลังวิญญาณระดับสีส้มขั้นสาม เส้นลมปราณส่วนบนอุดตัน ส่วนล่างไร้กำลังและว่างเปล่า เมื่ออากาศเย็นลง เส้นเอ็นและเส้นเลือดในร่างของเจ้าก็จะหดตัว…”
คำอธิบายที่โพล่งออกมาเป็นชุด ทำเอาศิษย์คนนั้นดวงตาเบิกกว้างจ้องไปที่จวินอู๋เสียด้วยร่างกายแข็งทื่อราวกับคนโง่ มือที่ยกขึ้นสูงของเขา ชะงักค้างอยู่กลางอากาศไม่เคลื่อนไหวไปพักหนึ่ง
สิ่งที่จวินอู๋เสียเพิ่งพูดออกมาเมื่อสักครู่นี้ ก็คือเส้นลมปราณหลักๆ ในร่างกายที่มีส่วนเกี่ยวข้องและสำคัญอย่างยิ่งต่อการบ่มเพาะพลังวิญญาณ และสภาพร่างกายของศิษย์คนนั้น ก็เป็นอย่างที่จวินอู๋เสียเพิ่งกล่าวออกมาทุกประการ! ในฐานะลูกศิษย์ของสำนักชิงอวิ๋น เขาย่อมเข้าใจร่างกายและเส้นลมปราณในตัวของตัวเองดีอยู่แล้ว ระดับพลังวิญญาณขั้นสีส้มในวัยยี่สิบปี สำหรับสำนักชิงอวิ๋นแห่งนี้ไม่นับว่าเป็นอัจฉริยะอะไร เขาเคยคิดว่าตัวเองจะพยายามศึกษาทักษะทางการแพทย์และบ่มเพาะพลังวิญญาณให้หนักยิ่งขึ้น แตน่าเสียดายที่ท่านอาจารย์ของเขาเองก็ได้บทสรุปเช่นเดียวกันกับจวินอู๋เสียหลังจากที่ท่านตรวจสอบเส้นเลือดและเส้นลมปราณในร่างกายของเขาจนละเอียดดีแล้ว!
“เจ้า…เจ้ารู้ได้อย่างไรกัน!”ศิษย์คนนั้นถามออกไปด้วยสีหน้าแข็งทื่อ
จวินอู๋เสียปล่อยข้อมือของเขาลง ดึงผ้าเช็ดหน้าที่อยู่ในแขนเสื้อออกมาแล้วเช็ดปลายนิ้วมือของนางเบาๆ ตอบกลับไปด้วยน้ำเสียงไม่ช้าไม่เร็วว่า “เส้นลมปราณส่วนบนที่อุดตันนั้นสามารถแก้ไขได้ด้วยการใช้ว่านหางกิ้งก่าเพลิงบดผสมลงในตัวยา ส่วนเส้นลมปราณในส่วนล่าง คิดว่าใช้ใบน้ำค้างหยกอรุณหย่อนลงในอ่างน้ำยามแช่ตัวก็น่าจะเพียงพอช่วยขจัดปัญหาให้เจ้าได้แล้ว สำหรับ…”
จวินอู๋เสียสาธยายวิธีการรักษาออกไปให้ศิษย์ผู้นั้นฟังทีละข้อๆ อย่างไม่รีบร้อน กล่าวจบก็ถอยกลับไปหนึ่งก้าว แล้วมองไปทางศิษย์สำนักชิงอวิ๋นผู้นั้นที่ยืนแข็งทื่อเป็นท่อนไม้ยังไม่ได้สติดี
คำพูดเหล่านี้ของนาง กลุ่มคนหนุ่มสาวที่รายล้อมอยู่ด้านข้างล้วนรับฟังด้วยหัวสมองที่อื้ออึ้งไม่เข้าใจอะไรทั้งนั้น แต่นั่นไม่ใช่กับเหล่าผู้อาวุโสของสำนักชิงอวิ๋นที่มีทักษะทางการแพทย์สูงล้ำกว่าคนทั่วไป อย่างไรก็ตามพวกเขาก็ยังไม่มั่นใจนักว่าคำพูดของจวินอู๋เสียนี้สามารถเชื่อถือได้กี่ส่วนกันแน่